EP 4 - มีแฟนแล้ว?
วันต่อมา
แดดเก้าโมงเช้าตกกระทบพื้นปูนหน้าตึกเรียนเก่า ๆ ฉันยืนเหม่ออยู่ตรงหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ในชุดนักศึกษาสุดเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตแขนสั้น กระโปรงทรงเอยาวคลุมเข่า รองเท้าคัทชูสีดำถลอกนิด ๆ ตรงหัวรองเท้า ดูแล้วก็รู้ว่าเคยผ่านศึกมาไม่น้อย
หลังจากยืนนิ่งอยู่นาน มองคนรอบตัวเดินผ่านไปมาอย่างว่างเปล่า กลุ่มปีหนึ่งยิ้มแย้มคุยกันเสียงดัง ไม่มีใครก้มหน้าเล่น TikTok ไม่มีใครหิ้วสายชาร์จ MagSafe ยาวเป็นเมตร ไม่มีแม้แต่หูฟังไร้สายแบบที่เราเคยใช้ตอนทำงานในยุคปัจจุบัน
เพราะปีนี้คือปี 2560 และโลกทั้งใบที่ฉันเคยอยู่หายไปหมด
ฉันมองตึกคณะวิศวะที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าแล้วถอนหายใจออกมาอย่างปลง ๆ
เฮ้อ~ อย่างกับถอนหายใจจะทำให้ฉันตื่นจากฝันนี้ได้อย่างงั้นแหละ
“นี่มันฝันร้ายแบบคนโดนภาษีย้อนหลังหรือไงวะ…”
บ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ อย่างคนหมดสภาพ
ถ้าฉันบอกใครต่อไปว่าอีกแค่ 2 ปีจะมีโรคระบาดทั่วโลกอย่างโควิด แต่ละประเทศจะมี Lockdown และคนจะต้องใส่หน้ากากอนามัยทุกวัน แถมหน้ากากราคาจะพุ่งขึ้นสูงเกือบเป็นพัน รวมถึงต้องใช้แอลกอฮอล์ล้างมือตอนขึ้นรถเมล์ แล้วคนจะทะเลาะกันเรื่องวัคซีน
เชื่อเถอะ คนอื่นคงหาว่าฉันบ้า แล้วพาไปส่งศรีธัญญาแทนไปเรียนแน่ ๆ
หรือ ฉันควรผันตัวไปเอาดีด้วยการเป็นหมอดูอย่างหมอปลายดีไหมนะ?
หรือจะผันตัวเป็นอาจารย์ใบ้หวยแข่งกับแม่น้ำหนึ่งไปเลยดี?
แต่บ้าเถอะ! หวยงวดก่อนออกอะไร ฉันยังจำไม่ได้ แต่นี่ย้อนมาตั้ง 7-8 ปี ใครมันจะไปนึกออกวะ
ไม่เห็นเหมือนซีรีส์ย้อนเวลา ที่พระนางจำตัวเลขรางวัลที่ 1 จากลอตเตอรี่ได้เป๊ะ ๆ แถมยังเอาไปซื้อแล้วถูกหวย เล่นเอารวยชาตินี้ยันชาติหน้า
แต่ฉันละ นอกจากใบหน้าที่ตึงขึ้น เด้งขึ้น กับความสาวที่ย้อนวัยขึ้นนิดหน่อย ดูเหมือนว่าสวรรค์จะไม่ได้ให้อะไรฉันมาเพิ่มเลย
เฮ้อ สวรรค์นะสวรรค์ให้ฉันย้อนเวลามาแท้ ๆ แต่ดันไม่ให้เอาสมองที่ควรใช้ให้เกิดประโยชน์มาสักนิด
เอาเถอะ ก่อนที่ฉันจะบ้าหนักไปกว่านี้
ฉันก็มีงานตรงหน้าที่จะต้องทำ
ฉันยกกระเป๋าผ้าใบใหญ่ขึ้นพาดบ่า มันหนักพอจะฟาดหน้าใครให้สลบได้ สมุดจดสองเล่ม เครื่องคิดเลข Casio แล้วก็เศษกระดาษโพสต์อิทแปะหน้าสมุด ที่พึ่งดึงออกมาและเขียนเอาไว้ว่า
‘คิระ คุณาวัฒน์ อัครโชติสกุล วศ. ปี 3’
อ่านชื่อทีไร ได้แต่อยากกรี๊ดอยู่ในใจ
อยู่ ๆ ชื่อเขาก็ดันมาตกอยู่ในมือ เหมือนจุ่มได้ตัวซีเคร็ทยังไงยังงั้น
ก็นะ คิระในตอนนี้ เขาทั้งหล่อและดังมาก แต่ก็หยิ่งเกินต้านมาตั้งแต่สมัยไหน ถึงฉันจะเคยรู้จักเขามาก่อน รวมถึงรู้เรื่องเขาหมดทุกซอกและทุกมุม และรู้ยันขี้แมลงวันตรงแก้มก้นข้างซ้าย ก็ตามที
แต่ฉันก็ไม่สามารถเอามาใช้ในรายงานได้อยู่ดีเพราะมันต้องมีรูป ต้องมีคลิป ต้องมีฟุตเทจเป็นหลักฐาน มันไม่ใช่แค่การเขียนเล่าบรรยายแบบนิยายธรรมดาทั่ว ๆ ไป
“แม่ง ถ้ายุคนี้มีเอไอ จะเอาหน้าไปใส่ฟิลเตอร์ทำปากขยุบขยับใส่ในคลิปให้จบ ๆ”
เหมือนยุคที่ฉันเคยอยู่ อะไร ๆ ก็เอไอ ไปหมด จนบางครั้งความคลาสสิกของงานศิลปะก็แทบถูกกลืนลงไป ไม่เห็นค่า แต่ถึงแบบนั้นฉันก็ยังบูชางานศิลปะมากกว่าการใช้เอไออยู่ดี
ฉันได้แต่บ่นงึมงำกับตัวเองอย่างเซ็งจัด ก่อนจะก้มมองโพยในมือที่ขยำยับยู่ยี่จนแทบจะกลายเป็นลูกบอล
“ไอ้บ้าคิระเอ๊ย!”
“โวยวายอะไร เกะกะชะมัด!”
มือที่กำลังขว้างกระดาษหยุดชะงัก เพราะเสียงทุ้มเย็นผ่านหูของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง ฉันค่อยๆ หันไปหาต้นทางเสียงอย่างช้า ๆ เหมือนกลัวว่าคนที่เดินมาจะเป็นคนที่ฉันกำลังนึกถึงอยู่พอดี
และแน่นอน….
ดันใช่!
“แฮร่ คิระ …เจอตัวพอดีเลย”
ฉันยิ้มแหย เงยหน้ามองร่างสูงในเสื้อช็อปสีแดงกำลังยืนอยู่ในระยะประชิด
ผมสีน้ำตาลเข้มดูยุ่ง ๆ เหมือนเพิ่งลุกจากเตียงมาใหม่ ๆ เสื้อช็อปวิศวะสีแดงเลือดหมูพับแขนขึ้นเลยข้อศอก ใส่หูฟังข้างเดียว มือข้างหนึ่งถือสมุดโน้ต อีกข้างสอดกระเป๋ากางเกงเหมือนกำลังจะเดินผ่าน ใบหน้าคมจัดและนิ่งเรียบ หล่อเหมือนเดิมเป๊ะไม่มีเปลี่ยน
เขามองฉันด้วยสายตาว่างเปล่า ราวกับคนไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ฉันกลับรู้จักและจำสายตานี้ได้เป็นอย่างดี
“จะหลบได้หรือยัง”
และที่ไม่เปลี่ยนอีกอย่าง ก็คือปาก หมอนี่ปากดีเหมือนเดิมเปี๊ยบ!
“ยัง”
คนตัวโตเลิกคิ้วสูงคล้ายไม่พอใจกับคำตอบ
แต่ฉันกลับปั้นหน้ายิ้มไม่ใส่ใจแล้วยืนเฉย
“คือฉันชื่อมุกไหมนะ อยู่คณะนิเทศปี 3 พอดีฉันมีธุระกับนายนิดหน่อย”
ฉันทักไปเรียบ ๆ พยายามตีหน้าตายให้เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งที่ข้างในคือแบบ...อยากจะกรี๊ดใส่หน้าแล้วโวยวายว่าไอ้บ้า แต่จำต้องปั้นหน้าแล้วยิ้มให้
“ทำไม มีอะไร จะขอไลน์เหรอ ไม่มี ไม่เล่น” ปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยสุด ๆ
โอ๊ยยยย สงสารตัวเองตั้งแต่ชาตินี้ยันชาติหน้า
“ไม่ได้จะขอไลน์ แล้วก็ไม่ได้จะมาจีบ” ฉันพูดเสียงเรียบติดรำคาญ
“แต่คณะฉันมีงาน แล้วฉันดันจับสลากได้ชื่อนาย เลยต้องมาสัมภาษณ์”
สายตาคมตวัดมองฉันขึ้นลงนิดหน่อย สีหน้านิ่งคงเส้นคงวาไม่มีเปลี่ยน
โอเคจ้ะ มองใกล้ ๆ แบบนี้ยอมรับเลยว่าเขาหล่อมาก หล่อแบบวัวตายควายล้ม แถมสาว ๆ ทั้งมหาลัยยังกรี๊ดตรึม สมฐานะสมบัติวิศวะนะแหละ
แต่หล่อแล้วไง? หล่อ รวย ฉลาด ก็ใช่
แต่ผู้ชายคนนี้คือเหตุผลที่ทำให้ฉันเสียน้ำตาและร้องไห้หมดเป็นปี๊บ
“ว่าไง ได้ปะ แค่สัมฯ เสร็จ แล้วก็จบ ไม่สานต่อ”
ฉันยักคิ้วใส่
“ไม่ว่าง” เขาตอบกลับสั้น ๆ เหมือนไม่ต้องคิดก่อนพูด
แล้วตามด้วย
“ไม่ชอบทำอะไรไร้สาระ”
“ไร้สาระตรงไหน ฉันมาทำงาน”
“งานของเธอ ไม่ใช่งานของฉัน!” ว่าจบก็เดินกระแทกไหล่ฉันออกไป
ฉันได้แต่กำหมัดแน่น สูดลมหายใจฮึบใหญ่เข้าปอด ก่อนจะวิ่งไปดักตรงหน้าเขาอีกรอบ
“อย่าเล่นตัวนักได้ปะ นายคิดว่าฉันกำลังจะมาจีบนายยังงั้นเหรอ ฝันไปหรือเปล่า จะบอกให้นะ ต่อให้ผู้ชายทั้งโลกเหลือนายคนเดียวฉันก็ไม่เอามาทำพันธุ์”
“เหรอ? ขอบคุณที่บอกนะ”
เขามองฉันนิ่งพลางไหวไหล่เบา ๆ
ดูกวนตีน แต่ก็ดูเท่มากในขณะเดียวกัน
แต่แล้วไง ฉันไม่หวั่นไหวกับท่าทางแบบนี้เท่าไหร่หรอก ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องมาเวย์นี้ตามนิสัย
ชาติก่อนฉันก็เคยโดนพูดจาแบบนี้ตอนเจอเขาที่ผับใหม่ ๆ และฉันนี่แหละที่เป็นฝ่ายปิ๊งเขาก่อน คอยตามตื๊อเขาอยู่เป็นปี กว่าที่เขาจะยอมรับรักและคบด้วย
แต่ชาตินี้ No จ้ะ
เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือควาย
ชาตินี้ขอ Say Goodbye จากนี้และตลอดกาล
แต่เอาเถอะ ตอนนี้ฉันขอเอางานก่อนดีกว่า!
เอาเป็นว่าฉันรู้จุดอ่อนของคิระดี ดีกว่าที่เขาจะจำได้เสียอีก เมื่อคิดแบบนั้นฉันจึงยกยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก
“น่า จบงานนี้ ฉันเลี้ยงเหล้าตอบแทนนายก็ได้นะ”
ฉันกอดอก ส่งสายตากวนประสาทเล็ก ๆ ไปให้
ใช่! ชาติก่อนก็แบบนี้แหละ ฉันเคยตามตื๊อเขาจนเหนื่อย พอถึงจุดหนึ่ง เขาก็บอกว่าจะยอมคุยด้วยถ้าเลี้ยงเหล้า
ดังนั้นชาตินี้ ฉันเลยจัดให้ก่อนเลยจ้า จะได้ไม่เสียเวลาตามตื๊ออีก
แต่ทว่า…
สิ่งที่เขาตอบกลับมา…
“ฉันไม่ดื่มเหล้า!”
“หา? ไม่ดื่ม? เดี๋ยว นี่นายเลิกดื่มเหล้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ทีชาติก่อน เคยขอร้องจะเป็นจะตายไม่ให้ดื่ม แต่ตอนนี้กลับบอกง่าย ๆ ว่าไม่ดื่มเหล้าแล้วเนี่ยนะ!
คืออะไรก่อน?
“ทำไม ขอเหตุผล?”
“แฟนฉันไม่ชอบให้ดื่ม”
พูดจบ เขาก็กระแทกไหล่ฉันเบา ๆ เดินผ่านไปหน้าตาเฉย
เหลือแค่ฉันที่ยืนค้างเป็นหินริมตึก
แฟน?
แฟนเหรอ?
หัวสมองฉันหมุนติ้วทันที น้ำเสียงที่เขาพูดดูจริงจังไม่มีวี่แววการโกหกเลยสักนิด!
ว่าแต่ชาติก่อนหมอนั่นเคยบอกว่าไม่เคยมีแฟนมาก่อน และ ‘ฉัน’ คือ ‘แฟนคนแรก’ ของเขาไม่ใช่เหรอ?
แล้วนี่ยังไง...อะไรกันเนี่ย!