สายน้ำม้วนเป็นเกลียวดุจคมดาบ สายลมฉวัดเฉวียนโกรธเกรี้ยวราวกับคมมีด ใบมีดน้ำแข็งจำนวนมหาศาลถูกขับเคลื่อนด้วยแรงลมรวดเร็วดุจพายุผสานขนนกสีทองที่มีปลายแหลมคมยิ่งกว่าอาวุธใด เป้าหมายคืออสูรร้ายที่มีเปลวไฟลุกโชนรอบตัวมัน
"อย่าคิดว่าข้าจะกลัวพวกเจ้า" นิลกาฬตวัดมือสร้างเกราะกำแพงไฟป้องกันคมมีดน้ำแข็งจากพญานาคและหอกขนนกจากพญาครุฑที่ล้อมรอบตัวมัน
"อย่าอวดดีนักนิลกาฬ" พญาครุฑสุบรรณกางสองมือสร้างพลังพายุหมุนลมกรดสีขาวที่รุนแรงจนป่าเบื้องล่างโยกไหวราวกับจะหักโค่น
"อสูรชั้นต่ำเช่นเจ้าอย่าได้ผยองกับพวกข้า" พญาอนันตนาคราชกางสองมือสร้างคมมีดน้ำแข็งจำนวนมหาศาลเกินนับได้หมุนวนอยู่รอบตัว ก่อให้เกิดกระแสความเย็นยะเยือกสุดขั้วต่ำกว่าจุดเยือกแข็งราวกับเลือดในกายจะแข็งตัว
"พวกแกต่างหากที่ผยองและอวดดี เจ้าสัตว์ชั้นต่ำ" นิลกาฬยิ้มเยาะ สองมือกางออกสร้างลูกไฟจำนวนมหาศาลรอบกายก่อให้เกิดความร้อนแรงยิ่งกว่าดวงอาทิตย์
"หุบปาก!" พญาครุฑกับพญานาคสะบัดมือพร้อมกัน
ใบมีดน้ำแข็งจำนวนมหาศาลของพญาอนันตนาคราชกับพายุลมกรดของพญาครุฑสุบรรณก็พุ่งใส่นิลกาฬพร้อมกันจากทุกทิศทุกทาง เสียงปะทะดังสนั่นของพลังธาตุทั้งสามก่อให้เกิดการสะเทือนสั่นไหวไปทั้งสามภพ
เหล่านาคาและครุฑาที่อยู่รอบบริเวณสนามรบกางม่านพลังน้ำและสายลมป้องกันไม่ให้การสู้รบระหว่างพญาครุฑและพญานาคกับอสูรนิลกาฬสร้างความเสียหายให้กับทั้งสามภพ
"พวกแก..." นิลกาฬกัดฟันกรอด เปลวไฟปะทุออกจากร่างกายด้วยความโกรธแค้นพลางมองไปรอบ ๆ สนามรบที่อยู่ระหว่างภพสวรรค์และยมโลก
"อย่าคิดว่าเป็นอมตะแล้วพวกข้าจะจัดการเจ้าไม่ได้" พญาอนันตนาคราชชูมือขึ้นก่อนตวัดลง มวลน้ำระดับมหาศาลจากบนท้องฟ้าพุ่งเป็นเกลียวหอกคมกริบลงมายังร่างที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟ
"ไฟของเจ้า หากไร้เชื้อเพลิงมันก็มอดดับได้" พญาครุฑสุบรรณตวัดสองมือไขว้กัน มวลอากาศร้อนและเปลวไฟรอบตัวนิลกาฬดับวูบด้วยพลังตัดอากาศจนกลายเป็นสุญญากาศในทันที
"พวกแก!" นิลกาฬตะโกนด้วยความโกรธแล้วระเบิดพลังไฟในตัวออกมา แต่ถึงจะมีพลังงมหาศาลแล้วยังมีชีวิตที่เป็นอมตะ แต่สองต่อหนึ่งยังไงก็เสียเปรียบ
การโจมตีแบบผสานพลังของพญาครุฑและพญานาคทำให้อสูรอมตะอย่างนิลกาฬเริ่มเข้าสู่ภาวะอับจนหนทาง มันกวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาจุดที่ม่านน้ำกับกำแพงลมอ่อนที่สุดเพื่อจะฝ่าหนีออกไป แต่เหล่าเทพที่อยู่รายล้อมรอบนอกคงไม่ทำให้มันฝ่าไปได้โดยง่าย
"หมดเวลาของเจ้าแล้วนิลกาฬ!"
พญาครุฑสุบรรณกับพญาอนันตนาคราชโจมตีมาอีกครั้งด้วยสายลมคมมีดและใบมีดน้ำแข็ง จอมอสูรนิลกาฬยกสองแขนตั้งรับพลังแห่งน้ำและลมที่อัดเข้ามาพร้อมกัน แล้วมันก็เห็นอาวุธที่ทรงพลังชิ้นหนึ่งพุ่งแหวกพลังของน้ำกับลมเข้าหาตัวมันด้วยความรวดเร็วเกินกว่าจะป้องกันหรือหนีได้ทัน
"จักรสุทรรศน์!"
กงจักรที่มีเปลวไฟร้อนแรงมากกว่าเปลวไฟและความร้อนใด ๆ ในจักรวาลของงมหาเทพวิษณุหมุนวนอยู่รอบตัวมัน กระแสความร้อนเผาไหม้อากาศรอบข้างจนกลายเป็นสุญญากาศ ตรึงให้มันหยุดนิ่งอยู่กับที่และขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้
"พอแค่นี้แหละนิลกาฬ" เสียงทุ้มนุ่มของมหาเทพสูงสุดดังขึ้นก่อนจะปรากฏกายต่อหน้ามัน
"ท่านจะทำอะไรข้าได้พระศิวะ ในเมื่อท่านเป็นผู้ที่ให้พรอมตะแก่ข้าเอง" นิลกาฬพูดด้วยน้ำเสียงยิ้มเยาะ
"ใช่ ข้าเป็นผู้ที่ให้พรแก่เจ้าเพราะเจ้าบำเพ็ญเพียรและถวายเครื่องบูชาแก่ข้านับพันปี แต่เจ้ากลับผยองและคิดเป็นใหญ่เหนือบรรดาเทพทั้งปวง ดังนั้นข้าจะเป็นผู้จัดการเจ้าเอง" พระศิวะผู้เป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"แต่ข้าเป็นอมตะด้วยพรของท่าน ไม่มีอาวุธใดหรือพลังอำนาจใดจะฆ่าข้าได้ และท่านก็ถอนพรไม่ได้ แล้วท่านจะทำอะไรข้าได้" นิลกาฬยิ้มเยาะด้วยท่าทีไม่เกรงกลัว
"ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่ข้าผนึกเจ้าได้" พระศิวะเอ่ยแล้วยื่นมือไปที่นิลกาฬ เปลวไฟร้อนแรงของจอมอสูรดับลงในพริบตา
"ท่าน!" นิลกาฬร้องออกมาด้วยความตระหนก พลังของมันลดระดับลงจนแทบจะหมดไปจากร่าง ร่างกายใหญ่โตของอสูรถูกลดขนาดลงจนเหลือเพียงแก่นพลังสีดำที่ลุกโชนดั่งเปลวไฟ พุ่งเข้าไปในผลึกเทพที่สร้างขึ้นด้วยพลังของมหาเทพสูงสุดทั้งสามองค์
จักรสุทรรศน์พุ่งไปกระแทกหินผาจนเกิดเป็นโพรงขนาดใหญ่ พระศิวะก็เหวี่ยงผลึกผนึกอสูรลงไปในโพรงหินนั้น แล้วพระพรหมก็เหวี่ยงหินผาขนาดใหญ่เท่าภูเขาให้หล่นลงมาทับผลึกอสูรขังมันเอาไว้ข้างใน จากนั้นมหาเทพสูงสุดทั้งสามองค์ก็กางผนึกคลุมภูเขาอีกชั้นเพื่อกักขังอสูรนิลกาฬเอาไว้ มันจะได้ไม่หลุดออกมาสร้างความเดือดร้อนให้กับภพทั้งสามอีก
"ต่อไปท่านก็อย่าให้พรผู้ใดแบบไม่คิดอีกล่ะ" พระพรหมตำหนิออกมา
"ข้ารู้แล้ว ต่อไปหากจะให้พรผู้ใดอีกข้าจะตรวจสอบประวัติกับสันดานมันก่อน" พระศิวะเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายจะสำนึกผิดแต่สีหน้าไม่สำนึกเลยแม้แต่นิดเดียว
"พรของท่านทำให้โลกเกือบวอดวายหายนะหลายครั้งแล้ว ดีนะที่ข้าไม่ได้ให้พรใครง่ายเช่นท่านจึงไม่เคยเกิดเรื่องวุ่นวายเพราะพรของข้า" พระพรหมพูดเหน็บให้เจ็บจี๊ดอีกที
"ท่านอย่ากล่าวโทษข้าเพียงผู้เดียวสิพรหม อย่างน้อยข้าก็ยังตามกวาดล้างผลงานของตัวเองนะ" พระศิวะโบกมือปัดทำนองไม่ใส่ใจ
"ข้าต่างหากที่ตามเก็บกวาดผลงานของท่านมาตลอดศิวะ มันกี่ครั้งแล้วที่พรของท่านสร้างความเดือดร้อนจนโลกแทบจะพินาศน่ะ" พระวิษณุแย้งพลางจิกตาใส่มหาเทพผู้แสนจะใจดีมีน้ำใจชอบแจกพรให้ผู้ที่บำเพ็ญเพียรตามแบบที่ตนเองพอใจโดยไม่คิดว่ามันจะส่งผลกระทบภายหลังอย่างไรบ้าง
"ก็ได้วิษณุ ข้าผิดเองก็ได้ พวกท่านเลิกรุมข้าเถอะ" พระศิวะยกมือยอมแพ้และไม่โต้เถียงต่อ มิเช่นนั้นจะโดนมหาเทพทั้งสององค์พูดเหน็บแนมไม่เลิก
"ช่างเถอะ ไหน ๆ ก็จบเรื่องแล้ว ข้าจะกลับวิมานแล้วนะ" พระพรหมบอกแล้วหายวับกลับวิมานของตนเองไป
"ข้าก็จะกลับเหมือนกัน" พระวิษณุบอกแล้วหายวับไปพร้อมกับพญาครุฑสุบรรณและพญาอนันตนาคราช
"ข้าก็กลับไปดื่มชาฟังเพลงดีกว่า" พระศิวะว่าแล้วหายวับไป
เหล่าครุฑาและนาคารวมถึงบรรดาเทพทั้งปวงที่มาร่วมปราบอสูรนิลกาฬก็ทยอยกลับวิมานหรือปราสาทของตนเองไปจนหมด แล้วเรื่องการปราบอสูรนิลกาฬที่เป็นอมตะก็กลายเป็นเรื่องเล่าลือไปอีกนาน
แต่กาลเวลาที่ไหลผ่านไปทำให้ตำนานการสู้รบกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าในนิทานยามค่ำคืนที่ผู้ใหญ่ใช้กล่อมเด็กให้หลับ และไม่มีใครเชื่ออีกต่อไปว่าอสูรอมตะเช่นนั้นเคยมีอยู่จริง
มนุษย์ขยายเผ่าพันธุ์และเติบโตอย่างรวดเร็ว เรื่องเล่าโบราณเกี่ยวกับสงครามสามภพถูกกลืนหายไปตามยุคสมัย ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยให้จดจำ แม้แต่ที่ที่เคยเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่าริมทะเลสาบ และมีชุมชนหมู่บ้านทำการเกษตรอยู่ไม่ไกล
ที่ว่างเปล่าริมทะเลสาบถูกทางการก่อสร้างเป็นมหาวิทยาลัยตั้งตระหง่านอยู่กลางหุบเขาเขียวขจี บรรยากาศเงียบสงบรายล้อมด้วยป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์และทะเลสาบสีมรกตที่สวยงามจนน่าทึ่ง
เนื่องด้วยเป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ในหุบเขาห่างไกลจากเมืองใหญ่ นักศึกษาส่วนมากจึงอาศัยในหอพักนักศึกษา จะมีส่วนน้อยที่จะเดินทางไปกลับจากบ้านเพื่อมาเรียน
บรรยากาศยามเย็นของมหาวิทยาลัยหลังเลิกเรียนดูสงบสุขและสนุกสนาน นักศึกษาชวนกันไปเล่นบอลเป็นกลุ่ม บ้างก็ชวนกันไปตกปลาริมทะเลสาบ บ้างก็นั่งอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมยามว่างที่ศาลาพักผ่อนริมสระบัวในสวนหย่อม เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายไม่วุ่นวายแบบสังคมเมืองหลวง
แต่ก็มีนักศึกษาบางคนที่ไม่สนใจกิจกรรมยามว่างพวกนั้นและขลุกอยู่แต่ในหอสมุดของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นที่เงียบสงบไร้เสียงรบกวน และสิ่งที่เขาสนใจก็อยู่ในหนังสือกองโตพวกนี้
ตำนานโบราณที่กล่าวถึงจอมอสูรนิลกาฬผู้เป็นอมตะและถูกเทพเจ้าผนึกเอาไว้ในผลึกสีดำ อ่านไปอ่านมาก็ดูจะคล้ายนิทานเสียมากกว่า เรื่องราวแฟนตาซีหลุดโลกที่มีเทพเจ้า อสูรที่เป็นอมตะ ครุฑ นาค และสารพัดเทพเจ้าที่มาจากสวรรค์ ถึงจะเหมือนนิทานมันก็สนุกดี
แต่ที่ทำให้เขาสนใจคือสภาพแวดล้อมที่บรรยายในหนังสือต่างหาก ในหนังสือเขียนเอาไว้ว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าเทพเจ้าผนึกอสูรเอาไว้คือหน้าผาหินที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า ด้านทิศใต้ของป่าคือทะเลสาบสีมรกต ทิศตะวันออกคือพื้นที่ว่างเปล่าที่ถูกทำลายจากการต่อสู้ มีแนวเขาล้อมรอบ
พอลองเอามาเทียบกับแผนที่ปัจจุบันแล้วที่ว่างเปล่าที่เคยเป็นสนามรบศักดิ์สิทธิ์ก็คือมหาวิทยาลัยสิขรแห่งนี้เอง จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นเรื่องที่ชาวบ้านในสมัยก่อนแต่งขึ้นมาเพื่อสร้างเรื่องราวให้หมู่บ้านน่าสนใจก็ไม่รู้ได้
"สนใจตำนานโบราณเหรอ"
เสียงทักทายไม่ไกลทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากเนื้อหาในหนังสือหันไปมองต้นเสียง เพียงชั่วแวบก็กลับไปอ่านหนังสือต่อ ไม่สนใจนักศึกษาแปลกหน้าที่มาทักทาย
"คุณนี่เย็นชาจังนะ ผมแค่อยากมาคุยด้วยเพราะสนใจตำนานโบราณเหมือนกัน"
ชายหนุ่มหันไปมองนักศึกษาที่มารบกวนอีกครั้งแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"แล้วไง"
"ไม่เอาน่า อย่าเย็นชาแบบนั้นสิ ผมชื่อภานุ คุณล่ะ"
"อริยะ"
"อ้อ เป็นชื่อที่ดีนะ แล้วคุณสนใจอะไรในตำนานนั่นล่ะ" ภานุชวนคุยอีก แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ ทำไม่สนใจด้วยซ้ำ เขาจึงชวนคุยต่อ
"ผมได้ยินมาว่า ผลึกนั่นมันมีพลังพิเศษที่ใครได้มันมาจะสามารถทำอะไรก็ได้ จะครองโลกยังได้เลย น่าสนใจดีนะ ว่าไหม"
"ก็แค่ตำนานหลอกเด็ก มันจะมีจริงได้ยังไง" อริยะตอบด้วยเสียงเรียบ
"ไม่รู้สิ ผมเคยเอาแผนที่มาเทียบกับในตำนานนั่น ผมว่าพื้นที่มันทับซ้อนกันเป๊ะเลยนะ ไม่แน่ว่าในป่านั่นอาจจะมีถ้ำที่ซ่อนผลึกนิลกาฬก็ได้"
"ก็แค่บังเอิญคล้ายกัน ในโลกนี้พื้นที่คล้ายกันมีเยอะแยะไป"
"ก็ใช่นะ แต่ผมก็อยากลองค้นหาถ้ำผนึกนั่นดู ผมไปอ่านเจอในหนังสือเล่มไหนสักเล่มบอกว่า พลังของสุริยคราสจะทำให้ผนึกอ่อนลงแล้วพลังของอสูรจะออกมา ใครได้พลังนั่นก็จะสามารถทำอะไรได้ตามใจชอบ แล้วอีกครึ่งปีก็จะเกิดสุริยคราสด้วย ผมลองไปค้นหาถ้ำนั่นดีกว่า"
"ตามใจคุณสิ" อริยะตอบด้วยความไม่ใส่ใจ
"คุณไม่สนใจไปค้นหาถ้ำนั่นบ้างเหรอ"
"ไม่ล่ะ ผมไม่สนใจเรื่องหลอกเด็ก"
"ไม่สนใจเรื่องหลอกเด็ก แต่เอาหนังสือเรื่องตำนานผนึกอสูรมาอ่านตั้งสิบกว่าเล่มนี่นะ" ภานุหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
"ผมก็แค่เบื่อและไม่มีอะไรทำ คุณจะไปไหนก็ไปสิ จะมารบกวนผมทำไม" อริยะเอ่ยไล่แล้วหันไปดูหนังสือเล่มอื่น
"โทษทีที่รบกวน งั้นผมไปละ บายครับ" ภานุบอกแล้วเดินจากไป
อริยะกลับมาอ่านตำนานโบราณอีกครั้ง แต่สมาธิเขาไม่ได้อยู่ในเนื้อความตามหนังสือ เขากำลังคิดถึงคำพูดของภานุที่บอกว่า หากใครได้พลังจากผลึกนั่นจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ... ตามใจชอบงั้นหรือ
หากทำอะไรได้ตามใจชอบเขาก็คงหลุดพ้นจากชีวิตที่เหมือนตุ๊กตาหุ่นเชิดของพ่อแม่ ตั้งแต่จำความได้เขาต้องอยู่ใต้คำสั่งของพ่อแม่มาตลอด ห้ามโต้แย้ง ห้ามโต้เถียง ห้ามออกความเห็น ห้ามเที่ยว ห้ามคบเพื่อน ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ห้ามทำแบบนั้นแบบนี้ ต้องเดินตามเส้นที่พ่อแม่ขีดไว้ ต้องทำตัวให้สมกับเป็นลูกชายประธานบริษัท ต้องเรียนบริหารธุรกิจจะได้ไปช่วยพ่อทำงาน ต้องแบกความหวังของพ่อแม่ที่จะสืบสานงานธุรกิจของตระกูลต่อไป
แล้วยังไงล่ะ หากได้พลังนั่นมา… หากพลังนั่นมีจริงเขาก็จะหลุดพ้นจากกรอบของพ่อแม่ ได้ทำอะไรตามใจตัวเอง ได้เรียนโบราณคดีที่อยากเรียน ได้ไปเที่ยวต่างประเทศที่อยากไป ได้มีสังคมเพื่อนฝูงเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ไม่ต้องอยู่ในกรอบระเบียบที่ไม่ใช่ตัวเอง แต่ความเป็นจริงคือเขาทำไม่ได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากเงาของพ่อแม่ที่ควบคุมบังคับได้เลย มันน่าเบื่อและน่าอึดอัดจริง ๆ
แล้วผลึกในตำนานนั่นมีจริงหรือเปล่านะ…
เสียงประกาศตามสายภายในหอสมุดแจ้งว่าหมดเวลาใช้บริการหอสมุดแล้ว ชายหนุ่มมองเวลาหกโมงตรงแล้วปิดหนังสือ หอบหนังสือทั้งหมดเอาไปวางไว้บนโต๊ะบรรณารักษ์ประจำชั้น จากนั้นก็ออกจากหอสมุดลงลิฟต์ไปชั้นล่าง เอากระเป๋าที่ฝากไว้ตรงแผนกฝากของแล้วสะพายกลับหอพัก