การเดินทางไปยังเมืองจี้โจวเมืองที่อยู่แดนเหนือสุดของแคว้นเป่ยฉีนั้นใช้เวลาเดินทางมามากกว่าเจ็ดวันแล้ว ผ่านเส้นทางทุรกันดานของชนบทที่ห่างไกลความเจริญในที่สุดก็เข้าสู่เขตชายแดนของเมืองจี้โจวในวันที่แปดพอดี
ขบวนกองทัพเคลื่อนเข้าใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางที่ต้องผ่านเข้าไปยังประตูเมืองนั้นต้องพบเจอกับหมู่บ้านน้อยใหญ่ ทิวทัศน์โดยรอบแสดงให้เห็นถึงความแร้นแค้นของชาวบ้านเป็นอย่างมาก
แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องรอดเข้ามาในรถม้ากับสายลมอ่อนๆ ทำให้ลู่เหยียนซินอยากที่จะชื่นชมบรรยากาศด้านนอกขึ้นมาทันที มือเรียวเสียวขาวผ่องนั้นเลิกม่านขึ้นแต่เมื่อมองออกไปกลับพบกับสภาพของชุมชนทั้งสองข้างทางที่แห้งแล้งพืชผลทางการเกษตรล้มตายเกือบทั้งหมดทำให้นางรู้สึกอนาจใจยิ่งนัก ใบหน้าของชาวบ้านเหล่านั้นแลดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด
‘เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันนะ’
เมื่อกองทัพอ๋องฉินเดินทางถึงหมู่บ้านมู่หลางหมู่บ้านสุดท้ายก่อนเข้าสู่ประตูเมืองจี้โจว ก็มองเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังยืนมุงกันอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งเป็นจำนวนมาก ซากปรักหักพังของบ้านเรือน ซากไฟไหม้บางส่วนปรากฏให้เห็นดูแล้วน่าสะเทือนใจยิ่งนัก
ขบวนกองทัพหยุดเดินลงเนื่องจากนายทหารแนวหน้าเข้ามารายงานกับอ๋องฉินว่าหมู่บ้านแห่งนี้และหมู่บ้านบริเวณโดยรอบนั้นถูกโจรภูเขาบุกปล้นสะดมเมื่อคืนเวลายามจื่อ[1] ของเมื่อคืนวานนี้อ๋องฉินได้ยินดังนั้นจึงรีบสั่งการกับองค์รักษ์ของตนทันที
โจรป่าหรือโจรภูเขาที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้นนับวันยิ่งเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเหล่านั้นมาจากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกันที่หุบเขาหูซานซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านเหมยหลัน หมู่บ้านเหมยหลันนั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองจี้โจวราวๆ 40ลี้[2]
หุบเขาหูซานที่ซึ่งกลุ่มโจรป่าเหล่านั้นอาศัยอยู่ตั้งอยู่ใจกลางระหว่างหมู่บ้านเหมยหลันกับตัวเมืองจี้โจว อาจจะเพราะความอุดมสมบูรณ์ของตัวป่าพวกเขาจึงเลือกที่จะลงหลักปักฐานที่แห่งนั้นและลงเขาเพื่อออกปล้นชาวบ้านแทบจะทุกหมู่บ้านและเมืองอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน
ทหารรักษาประตูเมืองที่มองเห็นขบวนกองทัพของอ๋องฉินมาแต่ไกลแล้วได้สั่งการให้ทหารเปิดประตูเมืองคอยต้อนรับและรีบไปรายงานที่จวนแม่ทัพฮั่วอย่างรวดเร็ว
ทางด้านอ๋องฉินได้แบ่งกองกำลังออกเป็นสองฝ่าย ทหารส่วนหนึ่งที่เก่งกาจมีฝีมือดีที่สุดไปกับเขาและสั่งให้ขบวนกองทัพที่เหลือเดินหน้าต่อเพื่อเข้าไปในเมืองแจ้งแก่แม่ทัพฮั่วว่าเขาจะอยู่ดูสถานการณ์ตรงนี้ก่อน
ลู่เหยียนซินเลิกผ้าม่านขึ้นมองดูสถานการณ์ข้างหน้าอีกครั้ง เมื่อเห็นชิงอีขี่ม้าเข้ามาใกล้รถม้าจึงได้เอ่ยถามเขาไปว่า
“เกิดอะไรขึ้นหรือชิงอี”
“ชาวบ้านถูกโจรภูเขาเข้าบุกปล้นบ้านเรือนเมื่อคืนนี้ ท่านอ๋องรุดหน้าเข้าไปตรวจสอบแล้วพระชายาอย่าเพิ่งลงจากรถม้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นคำบอกกล่าวของเขา ลู่เหยียนซินก็หันไปมองยังบ้านเรือนของชาวบ้านที่ถูกเผาบ้างก็ถูกพังข้าวของกระจัดกระจายดูแล้วน่าอนาจใจยิ่งนัก
ชาวบ้านบางส่วนกำลังยืนมุงอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่งด้านข้างมีศาลากว้างภายในนั้นแออัดไปด้วยผู้คนที่บาดเจ็บนอนเรียงรายกันจนเต็มลานกว้าง
ไม่ทันที่นางจะสำรวจต่อขณะนั้นก็มีอาชาตัวใหญ่สีดำทมิฬมายืนขวางสายตาของนางเอาไว้ ลู่เหยียนซินไล่สายตาขึ้นไปก็พบว่าเป็นอ๋องฉินที่มองมาที่นางอยู่ก่อนแล้ว
“ข้าจะนำทหารออกลาดตระเวนบริเวณรอบๆ เมือง เจ้าเข้าไปในเมืองก่อนแล้วอย่าเที่ยวเดินเพ่นพ่านไปทั่วอยู่แค่ในจวนเจ้าเมืองเท่านั้นเข้าใจหรือไม่”
“ไม่เข้าใจ”
อ๋องฉินถลึงตาใส่นางเขาพูดชัดถ้อยชัดคำใช้คำพูดที่รวบรัดฟังดูเข้าใจง่ายถึงเพียงนี้แล้ว นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
“ข้าหมายถึงท่านนำข้ามาที่นี่ด้วยแล้วจะปล่อยให้ข้าดักดานอยู่เพียงในจวนเช่นนั้นหรือ ไม่ค่อยจะตรงกับเจตนาของท่านสักเท่าใดกระมังและข้าก็ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของท่านนะเหตุใดต้องกักขังกันด้วย”
“เจ้าไม่เข้าใจหรืออย่างไรที่นี่มีโจรป่าข้าต้องออกไปลาดตระเวนจัดการพวกนั้นก่อน หากเจ้าเดินเพ่นพ่านไปทั่วพบเจอโจรพวกนั้นเข้าชีวิตนี้ของเจ้าคงจบสิ้นตั้งแต่ยังไม่ออกปากร้องขอความเห็นใจจากพวกมันแล้ว”
“ข้าไม่ได้จะเดินเพ่นเพ่นเพียงแค่อยากไปสำรวจหมู่บ้านนี้ก็เท่านั้น ดูเสร็จแล้วข้าจะเข้าเมืองทันที”
“ไม่ได้!”
“อะไรนะเพคะ ได้เช่นนั้นหรือดีจังเลยขอบพระทัยมากเพคะท่านอ๋อง”
นางพูดจบก็รีบกระโดดลงจากรถม้าทันที อ๋องฉินเบิกตากว้างกิริยามารยาทของสตรีสูงศักดิ์นั้นหายไปไหนหมดช่างแตกต่างจากก่อนหน้านี้เสียจริง
“เหตุใดเจ้าถึงพูดจาไม่รู้ความเช่นนี้กันเล่า”
“ข้าแค่จะไปดูๆ เสร็จก็จะไป”
“ที่นี่อันตรายเจ้าฟังรู้เรื่องหรือไม่”
“ท่านก็แค่ทิ้งทหารไว้ให้ข้าก็พอแล้ว ท่านจะไปไหนก็ไปสิพูดมากทำไมกัน”
นางพูดจบก็เดินมุ่งตรงไปยังบ้านเรือนของพวกเขาเหล่านั้นโดยมีสาวใช้คนสนิทเดินตามไปติดๆ เมื่อเห็นว่าไม่สามารถยั้งนางได้เขาจึงสั่งให้ชิงอีคอยตามประกบนางแทน อ๋องฉินทิ้งทหารฝีมือดีไว้อีกสี่ห้าคนเพื่อดูแลนางโดยเฉพาะก่อนจะออกเดินทางไปลาดตระเวนยังหุบเขาข้างหน้า
คล้อยหลังอ๋องฉินจากไปแล้วลู่เหยียนซินก็พาลี่ถิงเดินลัดเลาะไปยังเรือนพักของผู้บาดเจ็บด้วยความรวดเร็ว ชิงอีพร้อมทหารเหล่านั้นเดินตามนางไปติดๆ
‘พระชายาตัวก็เล็กเพียงนั้นเหตุใดถึงได้เดินไวเสียจริง’
เมื่อชาวบ้านเห็นกลุ่มคนแปลกหน้าเดินเข้ามาในหมู่บ้านอีกทั้งด้านหลังยังมีทหารในชุดเครื่องแบบเต็มยศก็ตั้งท่าขัดขวางทันที
“พวกท่านเป็นใครอย่าเข้ามาใกล้พวกเรานะ!”
ชายหนุ่มคนหนึ่งลุกขึ้นไปยืนขวางด้านหน้านางพร้อมทั้งยกมือขึ้นเพื่อปกป้องคนด้านหลังของพวกเขา
“บังอาจ! ถอยออกไปเสีย”
“พอแล้วชิงอี พวกเจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ” นางส่งสายตาเพื่อห้ามปรามองค์รักษ์หนุ่มของผู้เป็นสามี
‘เจ้านายกับลูกน้องนี่เหมือนกันไม่มีผิดเลย ใจร้อนเสียจริง’
เมื่อเห็นว่าลู่เหยียนซินมีอาการเหมือนไม่พอใจเล็กน้อยพวกเขาจึงจำต้องถอยออกไปตามคำสั่งของนางแต่ก็ยังอยู่ในระยะที่สามารถปกป้องนายหญิงของพวกเขาได้
“ข้าเป็นหมอ ข้ารักษานางได้”
“ท่านเป็นหมอเช่นนั้นหรือ?” ชาวบ้านเหล่านั้นมองดูนางด้วยความไม่เชื่อถือเท่าใดนัก นางแต่งกายด้วยชุดธรรมดาแต่กลับมีผิวพรรณผุดผ่องไม่น่าจะใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอนทั้งยังมีทหารคอยติดตามอีกด้วย
‘หรือว่านางอาจจะเป็นหมอหญิงจริงๆ ก็ได้กระมัง’
“เวลานี้พวกเจ้าก็ทำได้แค่ยืนดูนางเจ็บปวดจวนจะขาดใจอยู่โดยไม่สามารถทำอันใดได้ไม่สู้ปล่อยให้ข้ารักษานางไม่ดีกว่าหรือ หากว่าข้ารักษานางไม่ได้ถึงเวลานั้นพวกเจ้าอยากจะทำอะไรกับข้าก็สุดแล้วแต่ใจของพวกเจ้าเถอะ”
เมื่อพวกเขาเห็นว่านางมาดีไม่ได้มีท่าทีหยิ่งยโสหรือตั้งใจจะก่อกวนใดๆ ทั้งยังเสนอช่วยบุตรสาวของผู้ใหญ่บ้านจึงยอมถอยล่นออกไปด้านหลังทันที
“ขออภัยแม่นางที่พวกข้าเสียมารยาท เมื่อคืนพวกเราถูกโจรภูเขาบุกปล้นพวกมันสังหารชาวบ้านไปหลายชีวิตทั้งยังจับตัวผู้หญิงในหมู่บ้านไปอีกหลายคนใครขัดขืนพวกมันฆ่าทิ้งทันที ลูกสาวของข้าต่อสู้กับพวกมันจึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ทางการส่งท่านหมอมาเพียงคนเดียวไม่สามารถรักษาทุกคนได้ทันการท่านหมอมาดูอาการของนางเมื่อครู่เขาพูดเพียงว่าไม่สามารถรักษานางได้แล้วขอรับ”
“อาการนางเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“ถูกแทงไปหลายแผลตั้งแต่ยามอิ๋น[3] ท่านหมอห้ามเลือดให้แล้วแต่ก็ถือว่าเสียเลือดไปมากอยู่ขอรับ”
ลู่เหยียนซินมองดูหญิงสาวตรงหน้าลมหายใจที่รวยรินคล้ายใกล้หมดลมหายใจอยู่ทุกวินาที นางจึงตัดสินใจเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าไปด้านในเพราะที่ตรงนี้นั้นมีคนอยู่มากเกินไปนางไม่สะดวกที่จะหยิบกล่องยาออกมารักษาต่อหน้าผู้คนโดยตรง
“ท่านสามารถรักษานางได้ใช่หรือไม่ขอรับ”
“ข้าจะลองดู พวกท่านรอข้างนอกเถอะข้าต้องใช้สมาธิ”
“ได้…ได้ขอรับ”
ผู้ใหญ่บ้านสั่งให้ชาวบ้านถอยไปพักและให้คนส่วนหนึ่งไปช่วยกันเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บมาที่ศาลาพักด้านข้างนี้ ท่านหมอที่มีเพียงคนเดียวกำลังวุ่นวายรักษาคนบาดเจ็บจนมือเป็นพัลวัน หูของเขาได้ยินแว่วมาว่าเวลานี้มีหมอหญิงเดินทางมาที่หมู่บ้านและอาสาช่วยรักษาบุตรสาวของผู้ใหญ่บ้าน ครั้นอยากจะไปดูวิธีการรักษาของนางแต่ก็ไม่สามารถละทิ้งหน้าที่ที่ต้องรักษาคนเจ็บตรงหน้าของตนเองได้จึงทำได้เพียงแค่ลอบมองไปเท่านั้น
ทางด้านแม่ทัพฮั่วเมื่อได้ยินว่าขบวนกองทัพของอ๋องฉินเดินทางมาถึงแล้วเขาจึงนำหัวหน้าจวนปกครองและลูกน้องใต้บังคับบัญชาออกมาด้วย เดิมคิดว่าจะมาพบปะกันที่ประตูเมืองแต่ม้าเร็วของอ๋องฉินได้เข้ามารายงานว่าเวลานี้ท่านอ๋องนั้นได้นำกองทหารออกไปลาดตระเวนบริเวณโดยรอบของเมืองแล้ว รับสั่งให้ทหารส่วนหนึ่งเดินทางเข้าเมืองมาก่อนและส่วนหนึ่งเดินทางไปกับเขา ทั้งยังฝากมาบอกแม่ทัพฮั่วอีกว่าให้ไปรอเขาที่หมู่บ้านมู่หลาง พระชายาฉินยังอยู่ที่นั่น
“พระชายาเช่นนั้นหรือ?”
“ขอรับนายท่าน”
“ไหนบอกว่าเกลียดนางแม้แต่หน้านางยังไม่อยากมอง แล้วจะนำนางมาด้วยทำไมกัน”
“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ”
แม่ทัพฮั่วเหล่ตามองลูกน้องคนสนิทของตนเองทันที
“ข้าก็เพียงแค่ครุ่นคิดไม่ได้ถามเจ้า”
“นายท่านคิดดังไปนะขอรับ”
“เฮ้อ…..ช่างเถอะไปหมู่บ้านมู่หลางกัน”
“ขอรับ”
ลู่เหยียนซินนั่งอยู่ในห้องข้างเตียงนอนของหญิงสาวคอยลอบมองดูอาการของนางเป็นระยะ เนื่องจากอยู่ในยุคโบราณเครื่องไม้เครื่องมือที่จะใช้ตรวจรักษาก็ไม่มีสักชิ้นนางจึงอาศัยประสบการณ์ที่เคยทำงานมาก่อนคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ลู่เหยียนซินขยับเข้าไปตรวจดูอาการของนางแต่เมื่อเห็นบาดแผลฉกรรจ์จากคมกระบี่บนตัวหญิงสาวนางก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจทันที
บาดแผลจากคมกระบี่พาดผ่านช่องท้องแผลเหวอะหวะหากลึกไปมากกว่านี้เพียงเล็กน้อยก็จะคว้างท้องของนางแล้ว
‘บาดแผลน่ากลัวทั้งเลือดที่ไหลออกมามากเกือบจะหมดตัวเช่นนี้ มิน่าเล่าท่านหมอผู้นั้นถึงได้เอาแต่พูดว่าไม่สามารถรักษาได้แล้ว’
ลู่เหยียนซินเปิดเปลือกตาของนางขึ้นแล้วหันไปหยิบกล่องยาออกมาเปิด หยิบขวดยาหนึ่งขวดออกมาก่อนจะเทยาเม็ดหนึ่งเม็ดและยัดมันเข้าปากนางทันที จากนั้นก็หยิบเข็มออกมาฝังเข็มให้นางตามจุดสำคัญๆ หลายจุด โชคยังดีเมื่อครั้งที่นางเรียนหมอในยุคปัจจุบันนั้นนางได้เรียนวิชาการฝังเข็มแบบแพทย์แผนจีนมาด้วย นางจึงใช้วิชานี้ได้อย่างคล่องมือเป็นที่สุด
บาดแผลที่สำคัญอยู่ที่ช่องท้อง ยาห้ามเลือดที่นางป้อนไปแล้วส่งผลให้เลือดที่เคยออกจากบาดแผลนั้นก็ค่อยๆ หยุดไหลลงในที่สุด
“เอาน้ำสะอาดให้ข้าที”
นางตะโกนเสียงดังจนคนข้างนอกได้ยินพวกเขารีบลุกขึ้นไปหยิบเอาน้ำสะอาดส่งให้นางในห้อง ลู่เหยียนซินทำความสะอาดคราบเลือดอย่างเบามือ
ด้วยวัยของนางอาจจะทนการเย็บแผลสดๆ ได้ไม่ดีเท่าบุรุษอย่างแน่นอน ดังนั้นการจะเย็บบาดแผลฉกรรจ์นี้ได้คงต้องใช้ยาชาช่วยเสียแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้นลู่เหยียนซินจึงค้นหายาชาที่มีในกล่องแล้วฉีดไปหนึ่งเข็มรอไม่นานคาดว่ายาเริ่มออกฤทธิ์แล้วนางจึงตัดเอาส่วนเนื้อที่ตายแล้วออกไปทำให้บาดแผลดูน่ากลัวยิ่งขึ้นจากนั้นจึงลงมือเย็บแผลให้นาง
การเคลื่อนไหวของลู่เหยียนซินนั้นรวดเร็วมากมือไม่มีอาการสั่นเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เย็บบาดแผลเสร็จจึงใช้ผ้าตาข่ายม้วนหนึ่งมาพันแผลไว้
เมื่อทำการรักษาบาดแผลเรียบร้อยแล้วนางจึงตรวจลมหายใจและก้มลงฟังเสียงหัวใจอีกครั้ง เมื่ออัตราการเต้นของหัวใจกลับมาเป็นปกติแล้วนางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาทันที
‘เฮ้อ…หากว่านางไม่รอดข้าก็คงไม่รอดเหมือนกันสินะ’
- - - - - - - - - - - - - - - - -
[1] ยามจื่อ = 23.00-00.59 น.
[2] 40 ลี้ = 20 กิโลเมตร
[3] ยามอิ๋น = 03.00-04.59 น.