ตอนที่ 9 ถึงเมืองจี้โจว

2352 Words
การเดินทางไปยังเมืองจี้โจวเมืองที่อยู่แดนเหนือสุดของแคว้นเป่ยฉีนั้นใช้เวลาเดินทางมามากกว่าเจ็ดวันแล้ว ผ่านเส้นทางทุรกันดานของชนบทที่ห่างไกลความเจริญในที่สุดก็เข้าสู่เขตชายแดนของเมืองจี้โจวในวันที่แปดพอดี ขบวนกองทัพเคลื่อนเข้าใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางที่ต้องผ่านเข้าไปยังประตูเมืองนั้นต้องพบเจอกับหมู่บ้านน้อยใหญ่ ทิวทัศน์โดยรอบแสดงให้เห็นถึงความแร้นแค้นของชาวบ้านเป็นอย่างมาก แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องรอดเข้ามาในรถม้ากับสายลมอ่อนๆ ทำให้ลู่เหยียนซินอยากที่จะชื่นชมบรรยากาศด้านนอกขึ้นมาทันที มือเรียวเสียวขาวผ่องนั้นเลิกม่านขึ้นแต่เมื่อมองออกไปกลับพบกับสภาพของชุมชนทั้งสองข้างทางที่แห้งแล้งพืชผลทางการเกษตรล้มตายเกือบทั้งหมดทำให้นางรู้สึกอนาจใจยิ่งนัก ใบหน้าของ​ชาวบ้านเหล่านั้นแลดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ‘เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันนะ’ เมื่อกองทัพอ๋องฉินเดินทางถึงหมู่บ้านมู่หลางหมู่บ้านสุดท้ายก่อนเข้าสู่ประตูเมืองจี้โจว ก็มองเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังยืนมุงกันอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งเป็นจำนวนมาก ซากปรักหักพังของบ้านเรือน ซากไฟไหม้บางส่วนปรากฏให้เห็นดูแล้วน่าสะเทือนใจยิ่งนัก ขบวนกองทัพหยุดเดินลงเนื่องจากนายทหารแนวหน้าเข้ามารายงานกับอ๋องฉินว่าหมู่บ้านแห่งนี้และหมู่บ้านบริเวณโดยรอบนั้นถูกโจรภูเขาบุกปล้นสะดมเมื่อคืนเวลายามจื่อ[1] ของเมื่อคืนวานนี้อ๋องฉินได้ยินดังนั้นจึงรีบสั่งการกับองค์รักษ์ของตนทันที โจรป่าหรือโจรภูเขาที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้นนับวันยิ่งเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ​ พวกเขาเหล่านั้นมาจากทั่วทุกสารทิศมา​รวมตัวกันที่หุบเขาหูซานซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านเหมยหลัน หมู่บ้านเหมยหลันนั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองจี้โจว​ราวๆ 40ลี้[2] หุบเขาหูซานที่ซึ่งกลุ่มโจรป่าเหล่านั้นอาศัยอยู่ตั้งอยู่ใจกลางระหว่างหมู่บ้านเหมยหลันกับตัวเมืองจี้โจว อาจจะเพราะความอุดมสมบูรณ์ของตัวป่าพวกเขาจึงเลือกที่จะลงหลักปักฐานที่แห่งนั้นและลงเขาเพื่อออกปล้นชาวบ้านแทบจะทุกหมู่บ้านและเมืองอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ทหารรักษาประตูเมืองที่มองเห็นขบวนกองทัพของอ๋องฉินมาแต่ไกลแล้ว​ได้สั่งการให้ทหารเปิดประตูเมืองคอยต้อนรับและรีบไปรายงานที่จวนแม่ทัพฮั่วอย่างรวดเร็ว ทางด้านอ๋องฉินได้แบ่งกองกำลังออกเป็นสองฝ่าย ทหารส่วนหนึ่งที่เก่งกาจมีฝีมือดีที่สุดไปกับเขาและสั่งให้ขบวนกองทัพที่เหลือเดินหน้าต่อเพื่อเข้าไปในเมืองแจ้งแก่แม่ทัพฮั่วว่าเขาจะอยู่ดูสถานการณ์ตรงนี้ก่อน ลู่เหยียนซินเลิกผ้าม่านขึ้นมองดูสถานการณ์ข้างหน้าอีกครั้ง เมื่อเห็นชิงอีขี่ม้าเข้ามาใกล้รถม้าจึงได้เอ่ยถามเขาไปว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือชิงอี” “ชาวบ้านถูกโจรภูเขาเข้าบุกปล้นบ้านเรือนเมื่อคืนนี้ ท่านอ๋องรุดหน้าเข้าไปตรวจสอบแล้วพระชายาอย่าเพิ่งลงจากรถม้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำบอกกล่าวของเขา ลู่เหยียนซินก็หันไปมองยังบ้านเรือนของชาวบ้านที่ถูกเผาบ้างก็ถูกพังข้าวของกระจัดกระจายดูแล้วน่าอนาจใจยิ่งนัก ชาวบ้านบางส่วนกำลังยืนมุงอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่งด้านข้างมีศาลากว้างภายในนั้นแออัดไปด้วยผู้คนที่บาดเจ็บนอนเรียงรายกันจนเต็มลานกว้าง ไม่ทันที่นางจะสำรวจต่อขณะนั้นก็มีอาชาตัวใหญ่สีดำทมิฬมายืนขวางสายตาของนางเอาไว้ ลู่เหยียนซินไล่สายตาขึ้นไปก็พบว่าเป็นอ๋องฉินที่มองมาที่นางอยู่ก่อนแล้ว “ข้าจะนำทหารออกลาดตระเวนบริเวณรอบๆ เมือง เจ้าเข้าไปในเมืองก่อนแล้วอย่าเที่ยวเดินเพ่นพ่านไปทั่วอยู่แค่ในจวนเจ้าเมืองเท่านั้นเข้าใจหรือไม่” “ไม่เข้าใจ” อ๋องฉินถลึงตาใส่นางเขาพูดชัดถ้อยชัดคำใช้คำพูดที่รวบรัดฟังดูเข้าใจง่ายถึงเพียงนี้แล้ว นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร? “ข้าหมายถึงท่านนำข้ามาที่นี่ด้วยแล้วจะปล่อยให้ข้าดักดานอยู่เพียงในจวนเช่นนั้นหรือ ไม่ค่อยจะตรงกับเจตนาของท่านสักเท่าใดกระมังและข้าก็ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของท่านนะเหตุใดต้องกักขังกันด้วย” “เจ้าไม่เข้าใจหรืออย่างไรที่นี่มีโจรป่าข้าต้องออกไปลาดตระเวนจัดการพวกนั้นก่อน หากเจ้าเดินเพ่นพ่านไปทั่วพบเจอโจรพวกนั้นเข้าชีวิตนี้ของเจ้าคงจบสิ้นตั้งแต่ยังไม่ออกปากร้องขอความเห็นใจจากพวกมันแล้ว” “ข้าไม่ได้จะเดินเพ่นเพ่นเพียงแค่อยากไปสำรวจหมู่บ้านนี้ก็เท่านั้น ดูเสร็จแล้วข้าจะเข้าเมืองทันที” “ไม่ได้!” “อะไรนะเพคะ ได้เช่นนั้นหรือดีจังเลยขอบพระทัยมากเพคะท่านอ๋อง” นางพูดจบก็รีบกระโดดลงจากรถม้าทันที อ๋องฉินเบิกตากว้างกิริยามารยาทของสตรีสูงศักดิ์นั้นหายไปไหนหมดช่างแตกต่างจากก่อนหน้านี้เสียจริง “เหตุใดเจ้าถึงพูดจาไม่รู้ความเช่นนี้กันเล่า” “ข้าแค่จะไปดูๆ เสร็จก็จะไป” “ที่นี่อันตรายเจ้าฟังรู้เรื่องหรือไม่” “ท่านก็แค่ทิ้งทหารไว้ให้ข้าก็พอแล้ว ท่านจะไปไหนก็ไปสิพูดมากทำไมกัน” นางพูดจบก็เดินมุ่งตรงไปยังบ้านเรือนของพวกเขาเหล่านั้นโดยมีสาวใช้คนสนิทเดินตามไปติดๆ เมื่อเห็นว่าไม่สามารถยั้งนางได้เขาจึงสั่งให้ชิงอีคอยตามประกบนางแทน อ๋องฉินทิ้งทหารฝีมือดีไว้อีกสี่ห้าคนเพื่อดูแลนางโดยเฉพาะก่อนจะออกเดินทางไปลาดตระเวนยังหุบเขาข้างหน้า คล้อยหลังอ๋องฉินจากไปแล้วลู่เหยียนซินก็พาลี่ถิงเดินลัดเลาะไปยังเรือนพักของผู้บาดเจ็บด้วยความรวดเร็ว ชิงอีพร้อมทหารเหล่านั้นเดินตามนางไปติดๆ ‘พระชายาตัวก็เล็กเพียงนั้นเหตุใดถึงได้เดินไวเสียจริง’ เมื่อชาวบ้านเห็นกลุ่มคนแปลกหน้าเดินเข้ามาในหมู่บ้านอีกทั้งด้านหลังยังมีทหารในชุดเครื่องแบบเต็มยศก็ตั้งท่าขัดขวางทันที “พวกท่านเป็นใครอย่าเข้ามาใกล้พวกเรานะ!” ชายหนุ่มคนหนึ่งลุกขึ้นไปยืนขวางด้านหน้านางพร้อมทั้งยกมือขึ้นเพื่อปกป้องคนด้านหลังของพวกเขา “บังอาจ! ถอยออกไปเสีย” “พอแล้วชิงอี พวกเจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ” นางส่งสายตาเพื่อห้ามปรามองค์รักษ์หนุ่มของผู้เป็นสามี ‘เจ้านายกับลูกน้องนี่เหมือนกันไม่มีผิดเลย ใจร้อนเสียจริง’ เมื่อเห็นว่าลู่เหยียนซินมีอาการเหมือนไม่พอใจเล็กน้อยพวกเขาจึงจำต้องถอยออกไปตามคำสั่งของนางแต่ก็ยังอยู่ในระยะที่สามารถปกป้องนายหญิงของพวกเขาได้ “ข้าเป็นหมอ ข้ารักษานางได้” “ท่านเป็นหมอเช่นนั้นหรือ?” ชาวบ้านเหล่านั้นมองดูนางด้วยความไม่เชื่อถือเท่าใดนัก นางแต่งกายด้วยชุดธรรมดาแต่กลับมีผิวพรรณผุดผ่องไม่น่าจะใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอนทั้งยังมีทหารคอยติดตามอีกด้วย ‘หรือว่านางอาจจะเป็นหมอหญิงจริงๆ ก็ได้กระมัง’ “เวลานี้พวกเจ้าก็ทำได้แค่ยืนดูนางเจ็บปวดจวนจะขาดใจอยู่โดยไม่สามารถทำอันใดได้ไม่สู้ปล่อยให้ข้ารักษานางไม่ดีกว่าหรือ หากว่าข้ารักษานางไม่ได้ถึงเวลานั้นพวกเจ้าอยากจะทำอะไรกับข้าก็สุดแล้วแต่ใจของพวกเจ้าเถอะ” เมื่อพวกเขาเห็นว่านางมาดีไม่ได้มีท่าทีหยิ่งยโสหรือตั้งใจจะก่อกวนใดๆ ทั้งยังเสนอช่วยบุตรสาวของผู้ใหญ่บ้านจึงยอมถอยล่นออกไปด้านหลังทันที “ขออภัยแม่นางที่พวกข้าเสียมารยาท เมื่อคืนพวกเราถูกโจรภูเขาบุกปล้นพวกมันสังหารชาวบ้านไปหลายชีวิตทั้งยังจับตัวผู้หญิงในหมู่บ้านไปอีกหลายคนใครขัดขืนพวกมันฆ่าทิ้งทันที ลูกสาวของข้าต่อสู้กับพวกมันจึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ทางการส่งท่านหมอมาเพียงคนเดียวไม่สามารถรักษาทุกคนได้ทันการท่านหมอมาดูอาการของนางเมื่อครู่เขาพูดเพียงว่าไม่สามารถรักษานางได้แล้วขอรับ” “อาการนางเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” “ถูกแทงไปหลายแผลตั้งแต่ยามอิ๋น[3] ท่านหมอห้ามเลือดให้แล้วแต่ก็ถือว่าเสียเลือดไปมากอยู่ขอรับ” ลู่เหยียนซินมองดูหญิงสาวตรงหน้าลมหายใจที่รวยรินคล้ายใกล้หมดลมหายใจอยู่ทุกวินาที นางจึงตัดสินใจเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าไปด้านในเพราะที่ตรงนี้นั้นมีคนอยู่มากเกินไปนางไม่สะดวกที่จะหยิบกล่องยาออกมารักษาต่อหน้าผู้คนโดยตรง “ท่านสามารถรักษานางได้ใช่หรือไม่ขอรับ” “ข้าจะลองดู พวกท่านรอข้างนอกเถอะข้าต้องใช้สมาธิ” “ได้…ได้ขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านสั่งให้ชาวบ้านถอยไปพักและให้คนส่วนหนึ่งไปช่วยกันเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บมาที่ศาลาพักด้านข้างนี้ ท่านหมอที่มีเพียงคนเดียวกำลังวุ่นวายรักษาคนบาดเจ็บจนมือเป็นพัลวัน หูของเขาได้ยินแว่วมาว่าเวลานี้มีหมอหญิงเดินทางมาที่หมู่บ้านและอาสาช่วยรักษาบุตรสาวของผู้ใหญ่บ้าน ครั้นอยากจะไปดูวิธีการรักษาของนางแต่ก็ไม่สามารถละทิ้งหน้าที่ที่ต้องรักษาคนเจ็บตรงหน้าของตนเองได้จึงทำได้เพียงแค่ลอบมองไปเท่านั้น ทางด้านแม่ทัพฮั่วเมื่อได้ยินว่าขบวนกองทัพของอ๋องฉินเดินทางมาถึงแล้วเขาจึงนำหัวหน้าจวนปกครองและลูกน้องใต้บังคับบัญชาออกมาด้วย เดิมคิดว่าจะมาพบปะกันที่ประตูเมืองแต่ม้าเร็วของอ๋องฉินได้เข้ามารายงานว่าเวลานี้ท่านอ๋องนั้นได้นำกองทหารออกไปลาดตระเวนบริเวณโดยรอบของเมืองแล้ว รับสั่งให้ทหารส่วนหนึ่งเดินทางเข้าเมืองมาก่อนและส่วนหนึ่งเดินทางไปกับเขา ทั้งยังฝากมาบอกแม่ทัพฮั่วอีกว่าให้ไปรอเขาที่หมู่บ้านมู่หลาง พระชายาฉินยังอยู่ที่นั่น “พระชายาเช่นนั้นหรือ?” “ขอรับนายท่าน” “ไหนบอกว่าเกลียดนางแม้แต่หน้านางยังไม่อยากมอง แล้วจะนำนางมาด้วยทำไมกัน” “ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ” แม่ทัพฮั่วเหล่ตามองลูกน้องคนสนิทของตนเองทันที “ข้าก็เพียงแค่ครุ่นคิดไม่ได้ถามเจ้า” “นายท่านคิดดังไปนะขอรับ” “เฮ้อ…..ช่างเถอะไปหมู่บ้านมู่หลางกัน” “ขอรับ” ลู่เหยียนซินนั่งอยู่ในห้องข้างเตียงนอนของหญิงสาวคอยลอบมองดูอาการของนางเป็นระยะ เนื่องจากอยู่ในยุคโบราณเครื่องไม้เครื่องมือที่จะใช้ตรวจรักษาก็ไม่มีสักชิ้นนางจึงอาศัยประสบการณ์ที่เคยทำงานมาก่อนคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ลู่เหยียนซินขยับเข้าไปตรวจดูอาการของนางแต่เมื่อเห็นบาดแผลฉกรรจ์จากคมกระบี่บนตัวหญิงสาวนางก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจทันที บาดแผลจากคมกระบี่พาดผ่านช่องท้องแผลเหวอะหวะหากลึกไปมากกว่านี้เพียงเล็กน้อยก็จะคว้างท้องของนางแล้ว ‘บาดแผลน่ากลัวทั้งเลือดที่ไหลออกมามากเกือบจะหมดตัวเช่นนี้ มิน่าเล่าท่านหมอผู้นั้นถึงได้เอาแต่พูดว่าไม่สามารถรักษาได้แล้ว’ ลู่เหยียนซินเปิดเปลือกตาของนางขึ้นแล้วหันไปหยิบกล่องยาออกมาเปิด หยิบขวดยาหนึ่งขวดออกมาก่อนจะเทยาเม็ดหนึ่งเม็ดและยัดมันเข้าปากนางทันที จากนั้นก็หยิบเข็มออกมาฝังเข็มให้นางตามจุดสำคัญๆ หลายจุด โชคยังดีเมื่อครั้งที่นางเรียนหมอในยุคปัจจุบันนั้นนางได้เรียนวิชาการฝังเข็มแบบแพทย์แผนจีนมาด้วย นางจึงใช้วิชานี้ได้อย่างคล่องมือเป็นที่สุด บาดแผลที่สำคัญอยู่ที่ช่องท้อง ยาห้ามเลือดที่นางป้อนไปแล้วส่งผลให้เลือดที่เคยออกจากบาดแผลนั้นก็ค่อยๆ หยุดไหลลงในที่สุด “เอาน้ำสะอาดให้ข้าที” นางตะโกนเสียงดังจนคนข้างนอกได้ยินพวกเขารีบลุกขึ้นไปหยิบเอาน้ำสะอาดส่งให้นางในห้อง ลู่เหยียนซินทำความสะอาดคราบเลือดอย่างเบามือ ด้วยวัยของนางอาจจะทนการเย็บแผลสดๆ ได้ไม่ดีเท่าบุรุษอย่างแน่นอน ดังนั้นการจะเย็บบาดแผลฉกรรจ์นี้ได้คงต้องใช้ยาชาช่วยเสียแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นลู่เหยียนซินจึงค้นหายาชาที่มีในกล่องแล้วฉีดไปหนึ่งเข็มรอไม่นานคาดว่ายาเริ่มออกฤทธิ์แล้วนางจึงตัดเอาส่วนเนื้อที่ตายแล้วออกไปทำให้บาดแผลดูน่ากลัวยิ่งขึ้นจากนั้นจึงลงมือเย็บแผลให้นาง การเคลื่อนไหวของลู่เหยียนซินนั้นรวดเร็วมากมือไม่มีอาการสั่นเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เย็บบาดแผลเสร็จจึงใช้ผ้าตาข่ายม้วนหนึ่งมาพันแผลไว้ เมื่อทำการรักษาบาดแผลเรียบร้อยแล้วนางจึงตรวจลมหายใจและก้มลงฟังเสียงหัวใจอีกครั้ง เมื่ออัตราการเต้นของหัวใจกลับมาเป็นปกติแล้วนางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาทันที ‘เฮ้อ…หากว่านางไม่รอดข้าก็คงไม่รอดเหมือนกันสินะ’ - - - - - - - - - - - - - - - - - [1] ยามจื่อ = 23.00-00.59 น. [2] 40 ลี้ = 20 กิโลเมตร [3] ยามอิ๋น = 03.00-04.59 น.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD