“เมื่อไหร่จะเลิกทำนิสัยแบบนี้ ถ้ายังดื้อไม่เชื่อฟังอีก ต่อไปพ่อจะไม่ให้อะไรอีกแล้วนะ!” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอย่างเข้มงวดกับเด็กน้อยวัยสี่ขวบตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าลูกชายของตัวเอง
“.....” เด็กชาย รัล หรือ สรัล ลูกชายวัยสี่ขวบกอดอกนิ่งด้วยใบหน้าบึ้งตึงไม่ได้เกรงกลัวท่าทางโมโหของผู้เป็นพ่อตัวเองเลยสักนิด
“ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พ่อจะยอมให้มีพี่เลี้ยง ถ้าเกิดลูกยังต่อต้านและสร้างความวุ่นวายไม่เลิก ของเล่นทุกชิ้นพ่อจะเอาไปบริจาคให้หมด พี่เลี้ยงก็ไม่ต้องมี แล้วพ่อจะส่งลูกไปอยู่ที่อื่นเพื่อดัดนิสัยเอาแต่ใจแบบนี้!” วัชญ์ หรือ สรวัชญ์ เอ่ยทั้งคำขู่และออกคำสั่งออกมาอย่างเด็ดขาดราวกับไม่ได้พูดกับลูกตัวเอง ราวกับลูกตัวเองโตแล้วอย่างนั้น
แต่นี่แหละคือวิธีการของเลี้ยงลูกของเขา อะไรที่ว่าดีก็สั่งให้ลูกทำ อะไรที่ไม่ดีก็ห้าม ใช้เงินและคนอื่นในการเลี้ยงลูกส่วนตัวเองก็ทุ่มเทเวลาให้กับงานซะมากกว่า จากเด็กน้อยที่มีปมเพราะไม่มีแม่แล้วยังต้องมีปมกับการขาดความอบอุ่นจากพ่อและปู่ย่าตัวเองอีก เพราะแบบนั้นเด็กชายสรัลกลับไม่ร่าเริงอย่างเด็กวัยเดียวกัน กลับเป็นเด็กที่พูดน้อยจนไปถึงไม่พูดอะไร
และที่สำคัญอารมณ์ร้อนเอาแต่ใจตัวเองจนพี่เลี้ยงที่ถูกจ้างมาต่างก็ลาออกไปเรื่อยๆ ทั้งเต็มใจลาออกเพราะไม่สามารถทำให้เด็กน้อยกลับมาเหมือนเด็กปกติได้เลย ส่วนบางคนก็ทนพฤติกรรมของเด็กน้อยไม่ไหวจึงอยู่ต่อไม่ได้
“พอแล้วๆ เราขึ้นไปพักได้แล้วไป” คุณกมนทัตผู้เป็นย่าเอ่ยกับลูกชายขึ้นอย่างเหนื่อยใจกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนแทบจะชินชาไปแล้ว แม้เธอจะห่วงหลานแต่เธอก็เข้าใจลูกชายของตัวเองเหมือนกัน เพราะหลานของเธอเกินเยียวยาไปแล้วจริงๆ
สรวัชญ์หันไปจ้องมองลูกชายของตัวเองอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปอย่างหัวเสีย แน่นอนว่าหลังจากผู้เป็นพ่อกำลังขึ้นห้องไป เด็กชายสรัลเองก็ลุกออกจากห้องนั่งเล่นเดินขึ้นบันไดเพื่อขึ้นห้องของตัวเองไปโดยไม่ต้องให้ใครไปส่งเหมือนกันนั่นทำให้คุณกมนทัตได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“สมน้ำหน้ามัน อยากทำตัวสิ้นคิดไข่ไม่เลือกเอง” คุณสรวิทย์ผู้เป็นพ่อของสรวัชญ์ที่นั่งอยู่ด้วยตั้งแต่แรกก็เอ่ยขึ้นอย่างสมน้ำหน้าลูกชายที่ต้องเจอกับปัญหาที่ไม่ควรเป็นปัญหาแบบนี้
แต่จะให้ทุกคนรู้สึกเห็นอกเห็นใจหรือไงในเมื่ออดีตที่ลูกชายอกหักเพราะผู้หญิงที่ตัวเองแอบรักกำลังจะแต่งงานจนเมามายและพลาดไปทำผู้หญิงที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าท้อง กว่าจะรู้ตัวผู้หญิงคนนั้นก็หอบท้องห้าเดือนมาเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองถึงบริษัท(เพราะไม่รู้จักที่อยู่บ้านแต่ค้นอินเตอร์เน็ตรู้บริษัท)จนทำให้ตอนนั้นคุณสรวิทย์และคุณกมนทัตขายหน้าไม่น้อย
แต่โชคดีหน่อยที่ผู้หญิงคนนั้นเห็นแก่เงินเลือกจะยกเด็กน้อยให้สรวัชญ์แลกกับเงินก้อนหนึ่ง แน่นอนว่าสรวัชญ์ที่ไม่ได้รักและไม่ได้ต้องการทั้งผู้หญิงและเด็ก แต่เพราะเขาหนีไม่พ้นคำว่าพ่อที่คนอื่นรับรู้กันทั่วถึงสุดท้ายจำต้องยอมรับข้อเสนอนี้เพราะตอนนั้นอายุครรภ์มันมากเกินกว่าจะให้เอาเด็กออก สุดท้ายเขาก็เลือกจะรับเด็กไว้กับตัวเอง
สุดท้ายหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นได้คลอดก็มีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่าห้ามมายุ่งเกี่ยวหรือเรียกร้องอะไรอีก ไม่เช่นนั้นจะต้องจ่ายเงินที่ได้รับไปกลับคืนมาเป็นห้าเท่าตัว และถ้าคิดจะมาเรียกร้องความเป็นแม่ก็จะยกลูกให้ไปเลี้ยงเองในทันที ซึ่งที่ผ่านมาผู้หญิงคนนั้นก็ถือว่ายังมีสมองอยู่ไม่น้อยจึงไม่เคยมายุ่งวุ่นวายอะไรที่ครอบครัวสรวัชญ์เลย
และความโชคดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ เด็กชายสรัลนั้นมีใบหน้าคล้ายคลึงกับผู้เป็นพ่อซะส่วนใหญ่ นั่นจึงทำให้ทั้งตัวสรวัชญ์ทำใจลืมสิ่งที่พลาดมาได้ ทำให้คุณสรวิทย์และคุณกมนทัตยอมรับในตัวหลานคนนี้ได้นั่นเอง