ในระหว่างคาบพักเที่ยงของวันนึง นานาเสะนั่งทบทวนบทเรียนตามปกติ ในมือเขาถือเมล่อนปังที่มีรอยกัดไปครึ่งนึง บนโต๊ะมีนมรสกาแฟวางอยู่ ส่วนมืออีกข้างก็กำลังจดเนื้อหาสรุปอย่างขะมักเขม้น
เรื่องแบบนี้กลายเป็นกิจวัตรของนานาเสะไปเสียแล้ว ซึ่งเขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไร แถมยังรู้สึกดีเสียอีก ที่ได้ความเงียบสงบกลับคืนมา
หลายวันมานี่ยัยเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนนั่นคอยแต่มากวนเขา จนเขาไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ แม้จะเมินและพูดจาร้ายกาจเพื่อไล่ไปก็ไม่มีท่าทีว่าจะย่อท้อเลยสักนิดเดียว
‘จะตามอะไรเรานักหนากันนะ ยัยนั่น’
นานาเสะคิดในใจ
แต่เขาก็ต้องสะดุ้งตัวโหยงเมื่อเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น
“เรียวอิจิคุง~”
พร้อมกับการปรากฏตัวของอันนา ที่เดินเตาะแตะเข้ามาหาเขาที่โต๊ะ
นานาเสะทำเมินเสียงเรียกของเธออีกครั้ง อันนาพองแก้มน้อยๆ พร้อมกับทำเสียง ‘ฮึ่มมม’ เบาๆ ก่อนจะมายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะของนานาเสะ และพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เย็นนี้ช่วยพาฉันไปดูรอบๆ โรงเรียนได้ไหม? ตั้งแต่มาที่นี่ฉันยังไม่ได้ดูบรรยากาศรอบๆ โรงเรียนเลย”
นานาเสะจึงหยุดปากกาที่กำลังเขียนอยู่ชั่วคราว
“ทำไมต้องเป็นฉัน?”
นานาเสะถาม พร้อมกับเงยหน้ามองอันนา ดวงตาสีดำฉายแววความเย็นชาจ้องมองดวงตาสีฟ้ากลมโตที่ทอประกายอย่างมีความหวัง พร้อมทั้งรอยยิ้มนุ่มนิ่มที่ชวนให้ใจสั่น มันทำให้เด็กหนุ่มจึงคิดว่าเธอต้องวางแผนอะไรเอาไว้อยู่แน่ๆ
“เพราะอาจารย์เป็นคนสั่งยังไงล่ะ”
อันนาตอบพร้อมกับยิ้มกว้างๆ
“………”
นานาเสะถอนหายใจยาวๆ เขาหลับตาลงครู่นึง ก่อนจะลืมตาขึ้นมา จ้องไปที่เธออีกครั้ง แต่คราวนี้แววตาของเขาดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่อ่อนลงในเชิงเอือมระอา มากกว่าที่จะเป็นความอ่อนโยนที่แท้จริง
“ก็ได้…แต่แค่พาเดินรอบโรงเรียนนะ”
“สำเร็จ!!!”
อันนายิ้มร่าอย่างผู้ชนะ ในที่สุดเธอก็ทำให้นานาเสะที่เอาแต่เมินเธอพูดคุยกับเธอได้ปกติแล้ว นับเป็นก้าวแรกที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
.
หลังเลิกเรียนนานาเสะจึงต้องพาอันนาเดินชมรอบๆ โรงเรียน ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมายังพวกเขาทั้งคู่
“ดูนั่นสิ ใช่นักเรียนแลกเปลี่ยนที่เขาร่ำลือหรือเปล่า? สวยจัง”
“ผู้ชายข้างๆ ก็หน้าตาดีไม่แพ้กันเลยไม่ใช่เหรอ?”
“จริงด้วย ฉันพึ่งรู้เลยนะเนี่ยว่าโรงเรียนของเรามีผู้ชายที่หน้าตาดีขนาดนี้ด้วย”
“หรือว่าจะเป็นแฟนกันงั้นเหรอ?”
เสียงซุบซิบที่ดังขึ้นตามทางที่พวกเขาเดินผ่านไป ซึ่งก็ไม่แปลกนักที่นักเรียนบางคนจะแปลกใจที่ได้เห็นพวกเขาทั้งสอง เพราะนานาเสะกับอันนานั้นแทบไม่เคยออกจากโซนห้องเรียนเลย หากไม่ใช่ช่วงพักเที่ยงหรือเปลี่ยนคาบ
อันนานั้นดีใจลิงโลดราวกับเด็กน้อยที่ได้เห็นโซนต่างๆ ของโรงเรียน ส่วนนานาเสะนั้นเหมือนมาเป็นผู้ปกครองที่คอยคุมความประพฤติเธอเสียมากกว่าจะเป็นคนคอยนำทาง เพราะอันนานั้นรังแต่จะคอยวิ่งไปตรงนั้นตรงนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
กว่าที่การทัวร์รอบโรงเรียนจะจบก็ทำเอานานาเสะเหงื่อตกเลยทีเดียว เขายืนหันหน้าเข้าผนังอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก พร้อมกับปล่อยบรรยากาศหม่นๆ ออกมา
“ยัยนี่จะพลังงานล้นมากเกินไปไหมเนี่ย?”
นานาเสะพึมพำเบาๆ
“นี่ๆ! ไปกันเถอะ”
อันนาดึงชายเสื้อของนานาเสะ พร้อมกับเอ่ยปากชวนเขา
“ฉันตกลงแค่ว่าจะพาเธอทัวร์รอบโรงเรียนแค่นั้นนะ”
“เรียวโกะจังกลับบ้านไปแล้วอ่ะ มันคงจะไม่ดีใช่ไหมล่ะ ถ้าปล่อยให้เด็กสาวที่น่ารักแบบนี้เดินกลับบ้านคนเดียวแบบนี้ ถ้าเกิดเจอคนน่ากลัวเข้ามาจู่โจมด้วยท่าทีที่หยาบคาย แล้วฉันจะทำยังไงล่ะ?”
อันนาพูดพร้อมกับทำเสียงกระซิกๆ น่าสงสารเพื่อเรียกความเห็นใจจากนานาเสะ
อันที่จริงมันเป็นแผนของเธอ เธอวางแผนมาตั้งแต่ตอนพักเที่ยงแล้ว เธอขอให้นานาเสะพาเธอทัวร์รอบโรงเรียนโดยอ้างว่าอาจารย์เป็นคนสั่งให้ทำ เธอรู้ว่าคนที่ไม่ชอบอะไรวุ่นวายอย่างนานาเสะคงจะไม่ลงทุนไปถามอาจารย์เองแน่นอน
หลังจากที่นานาเสะตอบตกลงแล้ว เธอก็ส่งข้อความบอกเรียวโกะให้กลับบ้านก่อนได้โดยที่ไม่ต้องรอเธอเหมือนทุกวัน โดยบอกเธอว่ามีธุระที่ต้องทำกับนานาเสะนิดหน่อยตอนเลิกเรียน ซึ่งเรียวโกะก็รับทราบและเข้าใจ
อันนาจะถือโอกาสนี้ชวนนานาเสะคุยและทำความรู้จักบัดดี้ของเธอให้มากขึ้นกว่านี้ มันเป็นแผนการที่รวบหัวรวบหางนานาเสะอันสมบูรณ์แบบที่ไร้ที่ติ หมดหนทางที่จะให้เด็กหนุ่มหนีเอาตัวรอด
“…ก็ได้”
นานาเสะทำสีหน้าเอือมระอา แต่ก็ตอบตกลงไป
มันคงจะไม่ดีอย่างที่เธอว่า เพราะเด็กสาวตรงหน้าเขา ถ้าหากจะถามว่าเธอหน้าตาดีไหม ก็คงพูดได้อย่างเต็มปากว่าใช่ และหน้าตาดีมากๆ เสียด้วย
ถ้าหากว่าถูกพวกโรคจิตวิตถารหรือพวกคนไม่ดีมาทำมิดีมิร้ายมันคงจะเป็นเรื่องใหญ่เอาได้ และถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างว่าขึ้น เขาในฐานะบัดดี้ของเธอคงจะโดนตำหนิเอาได้
ดังนั้นเพื่อตัดปัญหาที่จะเกิดตามมาภายหลัง สู้กลับบ้านพร้อมเธอตอนนี้ไปซะยังจะดีกว่า เพราะยังไงพวกเขาก็เป็นเพื่อนบ้านกัน แค่อาจจะต้องทนรำคาญในความช่างพูดของเธอระหว่างทางก็แค่นั้น
“เย้!! งั้นไปกันเลยไหม?”
อันนากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจที่นานาเสะตอบตกลง ก่อนจะเอียงคอน้อยๆ ถามเขา
“อืม…”
นานาเสะตอบรับอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
ทั้งคู่จึงเดินไปเปลี่ยนรองเท้าที่ล็อกเกอร์พร้อมกัน ก่อนจะเดินกลับบ้านด้วยกันเป็นครั้งแรก
.
ระหว่างทางกลับบ้าน พวกเขาจะต้องเดินผ่านย่านการค้าที่มีคนพลุกพล่าน เพื่อป้องกันการพลัดหลง อันนาจึงจับชายเสื้อของนานาเสะเอาไว้ แต่แล้วเธอก็หยุดเดินเมื่อเห็นสิ่งล่อตาล่อใจ มันทำให้นานาเสะเกือบหงายหลังเพราะเธอเบรกกะทันหัน
“ทำบ้าอะไรของเธอ?”
นานาเสะหันมาตวาดใส่เธอด้วยความไม่พอใจ
“ฉันอยากกินเค้กอ่ะ”
อันนาทำท่าทางน่าสงสารเหมือนเด็กน้อยโดนดุ พร้อมกับชี้ไปที่เค้กที่โชว์อยู่ที่ตู้กระจกหน้าร้าน พร้อมกับมองนานาเสะตาใสแป๋ว ราวกับจะบอกเขาว่า ‘ขอฉันกินได้ไหม’
นานาเสะยืนนิ่งเหมือนโดนแช่แข็ง เมื่อเห็นชื่อร้าน ความทรงจำในอดีตของเขาที่เกี่ยวกับร้านเค้กร้านนี้ผุดขึ้นมา และมันถูกฉายเล่นซ้ำในหัวของเขา
“นี่นานาเสะคุง~ อ้าม~”
เสียงของเด็กผู้หญิงคนนึงดังขึ้นมาในความทรงจำ
“ไม่เอานะ น่าอายจะตาย”
นานาเสะในวัยมัธยมต้นส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน
“เค้กนี่อร่อยมากเลยนะ เพราะงั้นอ้าม~”
เธอยังคงตื้อเขาไม่ยอมเลิก พร้อมกับยกช้อนที่ตักเค้กมาจ่อที่ปากของเขา
ท้ายที่สุดแล้วนานาเสะก็ทนลูกอ้อนของเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ไหว จึงอ้าปากทานเค้กคำนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ มันเต็มไปด้วยรสชาติและอารมณ์ความรู้สึกมากมาย เขารู้สึกว่าเค้กมันหวานกว่าปกติด้วยซ้ำไป
“นี่นานาเสะคุงรู้ไหม เค้กร้านนี้น่ะเป็นร้านที่ฉันชอบที่สุดเลยนะ”
เด็กผู้หญิงในความทรงจำของเขากล่าวขึ้น
“งั้นเหรอ? ไว้เรามาทานด้วยกันบ่อยๆ นะ”
นานาเสะยิ้มตอบเธอไป
“อื้ม!! เอาสิ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเป็นยังไง?”
“เธอจะได้เข้าโรงพยาบาลเพราะโรคเบาหวานกันพอดีน่ะสิ แค่สัปดาห์ละครั้งก็พอแล้ว”
“ฉันพูดเล่นหรอกน่า เอ้า! อ้าม~”
“อีกแล้วเหรอ?”
ถึงแม้นานาเสะจะพูดแบบนั้นออกไป แต่เขาก็ทานเค้กที่เธอป้อนด้วยความยินดี และมีความสุขทุกครั้งที่มองหน้าเธอคนนั้น
“…ระ…เรียว…เรียวอิจิ…เรียวอิจิคุง!”
ขณะที่เขากำลังหลุดเข้าไปสู่ช่วงเวลาในอดีตอยู่นั้น เสียงเรียกของอันนาก็ดังขึ้น เธอโบกมือผ่านหน้าเขาไปมา ดวงตาสีฟ้าอ่อนทอประกายสงสัยปนความห่วงใยเล็กๆ ก่อนจะถาม
“ฉันเห็นนายยืนเหม่ออยู่ตั้งนาน เรียกก็ไม่ตอบ ไหวหรือเปล่า? หรือว่าจะไม่สบายอย่างงั้นเหรอ?”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อย เธออยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
นานาเสะส่ายศรีษะช้าๆ ก่อนจะถามเธอ
“เอ๊ะ! จะเลี้ยงฉันงั้นเหรอ?”
อันนาอุทานด้วยความแปลกใจ เด็กหนุ่มที่เย็นชาคนนั้นเนี่ยนะจะเลี้ยงเค้กเธอ? เพื่อความแน่ใจเธอเลยเดินเตาะแตะเข้าไปหาเขา พร้อมกับเอากำปั้นไปเคาะที่ศรีษะนานาเสะเบาๆ
“ก๊อกๆ ฮัลโหล คุณเรียวอิจิคะ หัวคุณไปกระแทกอะไรมาหรือเปล่าคะ? หรือว่าตอนจะหงายหลังสมองได้หล่นหายไปแล้ว?”
นานาเสะตอบหน้าตายโดยที่ไม่หันมามองเธอด้วยซ้ำ
“สมองฉันยังอยู่ดี ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“งั้นเหรอ?”
“ตกลงจะกินอะไร เลือกได้หรือยัง?”
“อื้อ! เอาอันนั้น!”
อันนาชี้ไปที่เค้กหน้าบลูเบอร์รี่ หน้าเดียวกันกับที่เด็กสาวในความทรงจำของเขาชอบ
“เอาเค้กหน้าบลูเบอร์รี่ชิ้นนึงกับกาแฟเย็นแก้วนึงครับ”
นานาเสะสั่งพนักงาน ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน แล้วนั่งลงที่โต๊ะตัวนึงที่ตั้งอยู่ในมุมอับของร้าน
“รสนิยมการเลือกที่นั่งนายนี่เห่ยชะมัด”
อันนาบ่นนานาเสะเบาๆ
ทั้งๆ ที่มีมุมที่สวยงามเหมาะกับการถ่ายรูปมากกว่านี้แท้ แต่นานาเสะกลับเลือกมุมที่แย่ที่สุดซะอย่างงั้น
“หนวกหู”
นานาเสะพูดพร้อมกับนั่งกอดอกรอเครื่องดื่มที่เขาสั่งมาเสิร์ฟ
รอประเดี๋ยวเดียวเค้กหน้าบลูเบอร์รี่พร้อมกาแฟเย็นก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกเขา อันนาดูท่าจะตื่นเต้นมาก เธอทำตัวกระดี๊กระด๊าเหมือนเด็กน้อยที่ได้ของเล่นใหม่ พลางหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเค้กชิ้นนั้นไปหลายรูป
นานาเสะนั่งมองทุกการกระทำของอันนา และแล้วภาพความทรงจำในอดีตของเขาก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง
ภาพของเด็กผู้หญิงคนเดิมที่กำลังตื่นเต้นและทำตัวกระดี๊กระด๊าใส่ชิ้นเค้กเหมือนกับอันนาในตอนนี้ แถมยังเป็นเค้กหน้าบลูเบอร์รี่เหมือนกันเสียด้วย
“นี่นานาเสะคุง ดูสิ! เค้กหน้าบลูเบอร์รี่ล่ะ”
เด็กสาวคนนั้นพูดกับเขา
“รู้แล้วน่า ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ก็แค่เค้กบลูเบอร์รี่เองนะ”
นานาเสะถอนหายใจ
“เค้กบลูเบอร์รี่น่ะอร่อยที่สุดในบรรดาเค้กเลยนะรู้ไหม! นานาเสะคุงก็จำไว้ด้วยล่ะ ถ้าจะซื้อเค้กมาฝากฉันต้องเป็นเค้กบลูเบอร์รี่เท่านั้นนะ เข้าใจไหม?”
“ค้าบๆ เข้าใจแล้วค้าบ”
“ดีมาก”
เด็กสาวคนนั้นเอื้อมมือมาลูบหัวนานาเสะ
‘น่าคิดถึงจังนะ…’
นานาเสะยิ้มให้กับภาพความทรงจำด้วยความขมขื่น
เขายิ้มเศร้าๆ ให้กับเด็กสาวปริศนา ผู้ที่เป็นดั่งที่พักพิงให้กับเขา เป็นทั้งคนที่ร่วมหัวเราะในยามเขามีความสุข คนที่คอยปลอบประโลมเขาในยามเศร้า เธอคนนั้นเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ดุจดั่งแสงสว่างอันโชติช่วงในชีวิตเขา
แต่แล้วทุกอย่างก็…
“เรียวอิจิ!…เรียวอิจิคุง!”
ยังไม่ทันที่นานาเสะจะคิดอะไรไปมากกว่านั้น อันนาก็ตะโกนเรียกเขา พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ
นานาเสะที่พึ่งหลุดจากภวังค์สะดุ้งตัวเล็กน้อย ก่อนจะถามเธอกลับไป
“มีอะไร?”
“อื้อ! เห็นนายนิ่งไปน่ะ เลยเรียกดู อีกอย่างกลับกันเถอะ ฉันกินเค้กหมดแล้ว”
อันนาพูดพร้อมกับชี้ลงไปที่จานเค้กที่บัดนี้มันว่างเปล่า
“ห๊ะ?”
นานาเสะอุทานออกมาเบาๆ
เขามั่นใจว่าเขาอยู่ในภวังค์ไม่ถึงห้านาทีแน่ๆ ทำไมเด็กสาวตรงหน้าเขาถึงได้สวาปามเค้กได้เร็วขนาดนี้กัน
“กำลังคิดอะไรที่หยาบคายอยู่ใช่ไหม อย่างเช่น ‘ทำไมยัยเด็กผู้หญิงที่แสนน่ารักตรงหน้าฉันคนนี้ถึงได้กินเค้กเร็วถึงขนาดนี้กัน’”
อันนาพูดพร้อมกับหรี่ตามองเขาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ
“เธอคิดไปเองมากกว่า แล้วก็ช่วยอย่ามาแต่งเติมความคิดของชาวบ้านเขาซี้ซั้วด้วย”
นานาเสะพูด แต่ในใจก็คิดว่า ‘ยัยนี่เดาแม่นชะมัด’
“ก็หน้านายมันฟ้องว่ากำลังคิดอะไรไม่ดีอยู่”
“ก็บอกแล้วไงว่าเธอคิดไปเอง”
ทั้งคู่เถียงกันอยู่สักพัก ก่อนจะพากันออกจากร้านเค้กตอนที่ฟ้าเริ่มมืด
‘เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ได้คุยกับเขาขนาดนี้’
อันนาคิดในใจ พร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม ในขณะที่เดินอยู่ข้างๆ นานาเสะ
“ยิ้มอะไรของเธอ”
นานาเสะที่สังเกตเห็นเธอยิ้มได้ถามออกมา
“เปล่านี่~ นายแอบมองฉันด้วยงั้นเหรอ?”
อันนายักไหล่ พร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหันหน้ามามองเขา
“เปล่านี่…”
นานาเสะเบือนสายตามองตรงไปข้างหน้า
“เห~ ฉันจะเชื่อก็ได้ พ่อคนปากแข็ง”
“ก็แล้วแต่เธอจะคิด”
“วันนี้ขอบคุณนะ ที่ทำตามคำขอร้องที่เห็นแก่ตัวของฉันน่ะ”
อันนาพูดขอบคุณนานาเสะออกมาจากใจจริง
“ฉันก็แค่ทำในฐานะบัดดี้ของเธอ อย่าเข้าใจผิดไป”
นานาเสะตอบเสียงเรียบ
ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อหลังจากนั้น พวกเขาทำแค่เพียงเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ภายใต้แสงไฟที่แสนฉูดฉาดยามค่ำคืนของกรุงโตเกียว
.
.
“กลับมาแล้วค่า~”
อันนาเปิดประตูเข้ามาในบ้าน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เรียวโกะเดินออกมาจากห้องอาบน้ำพอดี
“กลับมาแล้วเหรออันนาจัง”
“อื้ม!”
แล้วก็มีเสียงของฮานาโกะตะโกนออกมาจากในห้องครัว
“ไปเตรียมตัวนะทั้งสองคน อาหารเย็นจะเสร็จแล้ว”
“ค่า~”
“ค่า~”
เด็กสาวทั้งสองรับคำ
อันนาจึงเอากระเป๋านักเรียนไปเก็บไว้ที่ห้อง ก่อนจะมานั่งรอที่โต๊ะทานอาหารของห้องพร้อมกับเรียวโกะ
ระหว่างที่นั่งรอฮานาโกะก็ถามอันนาเกี่ยวกับเรื่องที่เธอไปเที่ยวเล่นกับนานาเสะมา
“น้าได้ยินมาว่าไปเที่ยวกับเรียวอิจิคุงมาอย่างงั้นเหรอจ๊ะ?”
“ค่ะ คุณน้า”
“เป็นยังไงบ้าง สนุกไหม การเที่ยวกับคุณบัดดี้ครั้งแรก?”
“สนุกมากๆ เลยล่ะค่ะ หนูรู้สึกว่ามันสนุกแตกต่างจากตอนที่หนูไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนเยอะๆ สมัยอยู่เยอรมันมากเลยค่ะ”
“งั้นเหรอ ดีแล้วล่ะจ้ะที่หนูสนุกไปกับมัน”
ฮานาโกะพูดยิ้มๆ มือของเธอพลางตักสิ่งที่ทอดในกระทะขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน ก่อนที่จะยกมันมาเสิร์ฟให้กับพวกเธอทั้งสอง
“ระวังด้วยนะ มันร้อน ตอนทานก็ระวังมันจะลวกปากเอานะจ๊ะ”
ฮานาโกะพูด พร้อมกับวางอาหารลงบนโต๊ะ
กองไก่คาราอาเกะร้อนๆ วางอยู่ต่อหน้าอันนา กลิ่นหอมๆ ยามทอดเสร็จใหม่ๆ ของมันกระตุ้นความอยากอาหารของเธอ
“ทานแล้วนะคะ~”
อันนาพนมมือพูดประโยคก่อนทานอาหาร และจัดการใช้ตะเกียบคีบชิ้นไก่มาทาน
“ร้อนๆๆๆ”
อันนาคายมันออกมาทันที เมื่อพบว่ามันร้อนจนลวกลิ้น
“ฮะๆๆๆ ถ้าไม่ระวังมันก็จะลวกปากแบบนั้นแหละนะอันนาจัง”
เรียวโกะหัวเราะ เมื่อเห็นท่าทางตลกๆ ของอันนา
อันนาจึงรอให้มันเย็นลงสักนิดนึงก่อน แล้วค่อยทานใหม่ เธอก็พบว่ามันอร่อยมาก ความชุ่มฉ่ำของเนื้อไก่ที่ผสานกับเครื่องเทศอย่างลงตัว ไหนจะแป้งกรอบๆ ที่เคลือบตัวไก่อีก อันนารีบทานข้าวตามเข้าไปเพื่อให้รสชาติหวานๆ ของข้าวเสริมความกลมกล่อมของรสชาติอาหาร
“อร่อยจัง…”
อันนาทานข้าวสลับกับไก่เข้าไปอีกหลายคำ
.
ในขณะที่ครอบครัวคุโรซาว่าและอันนากำลังทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยนั้น นานาเสะเองก็กำลังนั่งร้องไห้อยู่ที่โซฟาในห้องมืดๆ ตัวคนเดียว
ความทรงจำของเขากับเด็กสาวปริศนาที่ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดนั้นมันเกินกว่าที่เขาจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
ทั้งที่ร้านเค้กร้านนั้นก็ดี เส้นทางเดินกลับบ้านก็ดี หรือแม้กระทั่งในห้องนี้เองก็ตามที มันมีกลิ่นอายของความทรงจำของเขากับเธอคนนั้นอยู่เต็มไปหมดในทั่วทุกตารางนิ้วของห้อง
“นี่นานาเสะคุง ข้าวเย็นเสร็จแล้วนะ~”
“นี่นานาเสะคุง อย่าเอาแต่ทานอาหารขยะสิ โธ่!! มันเสียสุขภาพนะเข้าใจที่ฉันพูดไหม”
‘ไม่ไหว ไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว…’
ในหัวของนานาเสะมีแต่คำว่า ทำไม? เพราะอะไร? และความเจ็บปวดรวดร้าวเกินที่จะทนไหว ความเจ็บปวดที่กัดกร่อนหัวใจของนานาเสะมานานนับปี และฝังรากลึกลงไปในใจของเขา จนกลายเป็นปมภายในใจขนาดใหญ่ที่ยากเกินจะแก้ไข
“คุณปู่ครับ…ช่วยผมด้วย…ช่วยผมด้วย…คุณปู่ครับ…ช่วยผมที”
นานาเสะพึมพำถึงคุณปู่ของเขาราวกับคนเสียสติ
ในตอนนี้ นานาเสะรู้สึกเหมือนว่าตัวเขานั้นเป็นเพียงแค่เด็กน้อยขี้ขลาดคนนึง ที่ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังภายในห้องที่แสนอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้…