หลังจากเหตุการณ์เลือกบัดดี้ผ่านพ้นไป วันนั้นทั้งวันอันนาไม่ได้คุยกับนานาเสะอีกเลย เพราะในช่วงพักเที่ยงเธอเองก็ถูกรุมล้อมด้วยเพื่อนร่วมห้องมากมายทั้งชายและหญิง ทั้งหมดให้ความสนใจตัวเธอ และเมื่อรู้ว่าเธอพูดภาษาญี่ปุ่นได้ยิ่งทำให้พวกเขาตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก
กระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน อันนาตั้งใจว่าจะชวนนานาสะคุยสักเล็กน้อยเพื่อทำความคุ้นเคยกัน แต่พอเธอจัดกระเป๋าเสร็จ หันกลับมาอีกทีเขาก็ไม่อยู่เสียแล้ว
อันนายืนเกาหัวด้วยความงุนงง แต่ก็ปล่อยผ่านไป เพราะนี่เองก็ใกล้จะถึงเวลาที่นัดกับเรียวโกะเอาไว้แล้วด้วย
ในระหว่างที่เดินบนทางเดินของอาคารเรียน อันนาก็ตกเป็นเป้าสายตาของนักเรียนทุกคนไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง
“นั่นใครน่ะ?”
“น่ารักจัง”
“สวยจังเลยเนอะ”
“จริงด้วย”
เสียงซุบซิบไม่ต่างจากที่เธอได้ยินในห้องเรียนตอนเช้ามากนัก อันนาไม่ได้ใส่ใจเสียงพวกนั้นมากนัก เธอรีบไปจุดที่นัดกับเรียวโกะเอาไว้ นั่นก็คือตู้ล็อกเกอร์เก็บรองเท้าที่ชั้นล่างของอาคารเรียน
พอไปถึงเรียวโกะก็กำลังยืนรอเธออยู่พอดี
“ขอโทษนะเรียวโกะจัง รอนานไหม?”
“ไม่เลย ฉันเองก็พึ่งมาถึงเหมือนกัน”
อันนาจัดแจงเปลี่ยนรองเท้า จากรองเท้าที่ใช้ใส่บนอาคารเรียนเป็นรองเท้าปกติ ก่อนจะพากันเดินกลับบ้าน
พอพ้นประตูโรงเรียนมา สายตาของอันนาที่ทอดไปยังเส้นทางตรงหน้า เธอก็ได้เห็นร่างของนานาเสะยืนอยู่ห่างออกไปราวๆ 50 เมตร เขากำลังยืนเหม่อมองต้นซากุระที่ขึ้นริมทางเป็นทิวแถว ที่ตอนนี้ดอกของมันเริ่มร่วงไปจนเกือบหมดต้นแล้ว
อันนาสังเกตว่าบรรยากาศรอบตัวของนานาเสะมันดูโดดเดี่ยวและเหงาแปลกๆ ทั้งๆ ที่ฤดูใบไม้ผลิควรจะเป็นฤดูที่ทุกคนเบิกบานและสดใส เพราะมันเป็นฤดูแห่งการเริ่มต้นใหม่ในความคิดของอันนา
อันนาเลยสะกิดเรียกให้เรียวโกะที่เดินข้างๆ หยุดเดิน พร้อมกับชี้ถาม
“นี่ๆ เรียวโกะจัง เธอรู้จักผู้ชายคนนั้นไหม?”
“หือ?”
เรียวโกะเงยหน้ามองดูตามทิศทางที่อันนาชี้ไป เธอก็พบภาพเดียวกันกับที่อันนาเห็น นั่นก็คือนานาเสะที่กำลังยืนเหม่อมองดอกซากุระอยู่
“อ๋อ! พี่เรียวอิจิน่ะเหรอ”
“พี่เหรอ? แต่เขาอยู่ชั้นเดียวกับเราไม่ใช่เหรอเรียวโกะจัง”
อันนาถามอย่างคนสับสน
“อ๋า!! เธอพึ่งจะมาเธอเลยยังไม่รู้สินะอันนาจัง ฉันน่ะเป็นรุ่นน้องเขาหนึ่งปี แต่เพราะก่อนหน้านี้ด้วยสาเหตุบางอย่าง ทำให้พี่เรียวอิจิต้องลาพักการเรียนไปหนึ่งปีน่ะนะ”
“ทำไมเขาต้องพักการเรียนด้วยล่ะ?”
อันนาถามต่อด้วยความอยากรู้
“เรื่องนี้ไม่มีใครรู้เลย แม้กระทั่งพวกอาจารย์เองก็ตาม ว่าแต่เธอมีอะไรกับพี่เรียวอิจิอย่างงั้นเหรอ?”
“วันนี้ฉันเลือกเขาเป็นบัดดี้น่ะ”
“เห~ พี่เรียวอิจิเป็นเพื่อนบ้านของเรานะ เธอรู้ไหม?”
เรียวโกะพูดความจริงให้อันนาฟัง
“จริงเหรอ?”
“อื้อ! เขาเป็นเพื่อนบ้านของฉันกับแม่มาตั้งแต่สมัยที่ฉันยังเรียนอยู่ประถมเลยล่ะนะ แล้วก็ดูเหมือนว่าพี่เรียวอิจิจะอาศัยอยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วล่ะนะ”
“อย่างนี้นี่เอง”
อันนาพยักหน้าหงึกๆ หลังจากทราบประวัติคร่าวๆ ของบัดดี้ตัวเองจากปากของเรียวโกะ
“แต่ว่านะ ดีแล้วล่ะที่เธอได้พี่เรียวอิจิเป็นบัดดี้ของเธอน่ะ”
“ทำไมงั้นเหรอ?”
“เพราะว่าพี่เรียวอิจิน่ะ เป็นคนที่ทั้งใจดี อบอุ่นและอ่อนโยนต่อคนอื่นเสมอเลยล่ะนะ เขาน่ะเป็นสุภาพบุรุษมากเลยล่ะ ฉันได้ยินมาว่าช่วงมัธยมต้นนั้นเขาเนื้อหอมมากเลยล่ะ เพราะพี่เรียวอิจิน่ะทั้งหน้าตาดี เรียนก็เก่ง แถมด้านกีฬาก็เป็นเลิศด้วยนะ”
เรียวโกะพูดพร้อมกับสาธยายเรื่องของนานาเสะในอดีตที่รู้มา
“งั้นเหรอ?”
อันนาเอ่ยออกมา ในใจของเธอมีแต่ข้อสงสัยเต็มไปหมด
ถ้าเป็นแบบที่เรียวโกะพูดมาจริงๆล่ะก็ วันนี้ทำไมนานาเสะถึงได้เอาแต่พูดจาร้ายกาจใส่เธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้ากันเลย แถมมิหนำซ้ำบรรยากาศรอบตัวยังไม่น่าจะถูกเรียกว่าดึงดูดผู้คนได้เลย กลับกันถ้าจะบอกว่ามันไล่คนรอบตัวให้ออกห่างจากตัวเองยังดูน่าเชื่อถือกว่าเลย
แต่ว่าเรื่องที่เขาหน้าตาดีนั้น อันนาไม่เถียง เพราะเขาดูดีมากจริงๆ อาจจะเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมาในชีวิตเลยก็ได้
เด็กสาวสองคนดูเหมือนจะคุยกันเสียงดังไปหน่อย จนนานาเสะที่ยืนมองซากุระอยู่นั้นได้ยิน
เขาหันมามองด้วยสีหน้าที่อันนาเองก็นิยามไม่ถูก จะว่าคล้ายคนกำลังเศร้าก็ไม่ใช่ เหมือนจะร้องไห้ก็ไม่เชิง แต่เท่าที่เธอสัมผัสได้เหมือนว่าเขากำลังทนทุกข์ทรมานกับอะไรบางอย่าง ที่อันนาเองก็ไม่รู้
นานาเสะมองพวกเธอก่อนจะพูดขึ้นลอยๆ
“ผมเองก็จำไม่ได้แล้ว ว่าในอดีตผมเป็นคนแบบไหน หรือกระทั่งคำถามง่ายๆ อย่างยิ้มครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ผมก็จำไม่ได้แล้ว”
และเดินจากไป ปล่อยให้เด็กสาวทั้งสองคนยืนงงกันอยู่ตรงนั้น
.
หลังจากเรียวโกะกับอันนามาถึงบ้านแล้ว ฮานาโกะก็บอกให้ทั้งสองไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวมาทานอาหารเย็น ซึ่งทั้งสองก็ขานรับด้วยความร่าเริง
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดการทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว อันนาก็มานั่งเล่นที่ห้องนั่งเล่น เธอหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอฮานาโกะทำอาหารเสร็จ
ไม่นานนักอาหารก็เสร็จพร้อมเสิร์ฟ ฮานาโกะยกถาดอาหารมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะตะโกนเรียกเรียวโกะและอันนาให้มาทานอาหารตอนที่มันยังร้อนๆ ก่อนที่มันจะเย็นจนไม่น่ารับประทาน
อาหารเย็นวันนี้เป็น ‘หมูสามชั้นผัดซอสขิงกับกะหล่ำปลีซอยคู่กับซอสงาขาว’ ซึ่งคำแรกที่อันนาทานเข้าไป เธอชอบมาก รสชาติอันเข้มข้นของซอสขิงที่เคลือบที่ตัวหมู มันเข้มข้นและกระจายไปทั่วปากยามเคี้ยว อีกทั้งยังมีกะหล่ำปลีซอยทานคู่กับซอสงาขาวเอาไว้ตัดเลี่ยนได้อย่างดี
“อร่อยจัง”
อันนาอุทานเป็นภาษาเยอรมัน
“ที่โรงเรียนวันนี้เป็นยังไงบ้างจ๊ะอันนา?”
ฮานาโกะเอ่ยถามในขณะที่ทานมื้อค่ำกันอยู่
“สนุกมากๆ เลยค่ะ หนูได้เจอเพื่อนใหม่เยอะแยะเลย ทุกคนเป็นมิตรกับหนูมาก แถมตอนเลือกบัดดี้หนูยังบังเอิญเลือกเพื่อนบ้านของคุณน้าด้วยนะคะ”
อันนาพูดพร้อมกับยิ้มกว้างๆ วันนี้เธอสนุกมากจริงๆ นั่นแหละ
“หืม~ หนูหมายถึง เรียวอิจิคุงเหรอ?”
ฮานาโกะเลิกคิ้วสงสัย
“ใช่แล้วค่ะ หนูเลือกเรียวอิจิคุงเป็นบัดดี้ค่ะ”
พอได้ฟังแบบนั้น ฮานาโกะก็ชะงักไปเล็กน้อย ภาพความทรงจำของเธอเมื่อหนึ่งปีที่แล้วไหลย้อนกลับมา
ภาพของเด็กหนุ่มที่กำลังโศกเศร้า ร้องไห้อยู่ตลอดเวลา กระทั่งตอนรับการรักษา และตกอยู่ในสภาวะสิ้นยินดี ไร้แรงจูงใจในการมีชีวิตต่อไป ในฐานะจิตแพทย์ เธอบอกได้คำเดียวว่าเขาน่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก
“ผม…ขอไปหาครอบครัวที่อเมริกาครับ”
สุดท้ายแล้วด้วยความประสงค์ของตัวเด็กหนุ่ม เธอก็ยอมจรดปากกาเซ็นรับรองอาการป่วยให้เขา เพื่อนำไปประกอบเป็นหลักฐานในการยื่นลาพักการศึกษาของเด็กหนุ่มคนนั้น
เมื่อเห็นว่าฮานาโกะเหม่อไปนาน จนอันนาต้องเรียกเธอ
“คุณน้าคะ? มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เปล่าจ้ะ น้าแค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”
ฮานาโกะรีบดึงตัวเองกลับมายังปัจจุบัน ก่อนจะตอบปฏิเสธไป และชวนเธอคุยเรื่องอื่นๆ แทน
“แล้วเรียนที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างจ๊ะ พอได้ไหม?”
“สบายมากค่ะ อาจจะเพราะเป็นวันแรกเลยยังไม่มีอะไรยากมากค่ะ แต่ถึงต่อไปมันจะยาก แต่หนูจะไม่ยอมแพ้หรอกนะคะ!!”
อันนากำหมัดหลวมๆ ถ้าฉากหลังเธอมีเอฟเฟคก็คงจะเป็นไฟที่กำลังลุกพรึบพรับด้วยความกระตือรือร้นของเธอ
“ดีมากจ้ะ แต่ถ้าตรงไหนเรียนไม่เข้าใจก็ถามน้าหรือเรียวโกะได้เลยนะ”
“ค่ะ!!”
อันนายิ้มรับคำกว้างๆ จนฮานาโกะนึกเอ็นดูในตัวเด็กสาวคนนี้เหมือนลูกของเธออีกคน
ภาพที่ครอบครัวพูดคุยทานข้าวกันอย่างอบอุ่นนั้น แทบจะตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับห้องข้างๆ ที่เป็นห้องของนานาเสะ
เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ภายในห้องปิดไฟจนมืดไปหมด ตรงหน้ามีแค่เยลลี่เพิ่มพลังงานรสพีชสองอัน กับเมล่อนปังและนมรสกาแฟที่พึ่งซื้อมาจากมินิมาร์ทเมื่อตอนเย็น
คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คืออาหารเย็นของเขา
เขาทานไปได้แค่นิดหน่อยก็รู้สึกอิ่มแล้ว ความเจริญอาหารของเขานั้นแทบเป็นศูนย์ แม้กระทั่งตอนอยู่กับครอบครัวที่อเมริกา เขาก็ทานน้อยจนเป็นเรื่องปกติหรือบางครั้งไม่ทานอาหารเป็นวันๆ เลยก็มี จนสร้างความวิตกกังวลให้พ่อกับแม่ของเขาอยู่บ่อยครั้ง
“………”
นานาเสะนั่งมองอาหารที่เหลืออย่างคนหมดอาลัยตายอยาก อาหารแค่นี้เขายังทานไม่หมดเลย อย่าว่าแต่ทานอาหารที่ให้โภชนาการครบถ้วนเลย ตอนนี้แค่ถามว่าเขาทานอะไรได้มากน้อยแค่ไหนก็ดูจะเหมาะสมกว่าอีก
แถมเสียงหัวเราะร่าเริงจากห้องข้างๆ ก็ยังดังทะลุผนังเข้ามาในห้องเขาอีก ถ้าจากที่ได้ยินไม่ผิดจากสองคนเมื่อตอนเย็น คนที่อยู่ข้างๆ ห้องเขาและเป็นเจ้าของเสียงหัวเราะนี้น่าจะเป็นยัยนักเรียนแลกเปลี่ยนตัวแสบนั่นสินะ
เขาถอนหายใจออกมาอย่างกับคนที่กำลังสิ้นหวัง ครั้งสุดท้ายมันเมื่อไหร่กันนะที่เขาทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมกับหัวเราะอย่างร่าเริงไปด้วย เขาจำมันไม่ได้แล้วจริงๆ
.
.
ตกกลางคืน ในขณะที่อันนากำลังนอนหลับอยู่ในห้องนั้น เธอก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้เบาๆ จนทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก
ทีแรกเธอนึกว่าเธอกำลังฝันไป จึงพยายามหยิกและตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อยืนยัน แต่ความเจ็บปวดที่เธอได้รับกลับมามันทำให้เธอยืนยันได้ว่าเธอไม่ได้ฝันไป คำถามก็คือ แล้วเสียงร้องไห้มันมาจากไหนกันล่ะ?
‘หรือว่าจะเป็นผี?’
อันนาคิดในใจ เธอจินตนาการถึงภาพผีผู้หญิงญี่ปุ่นผมยาว นั่งร้องไห้คอยหลอกหลอนผู้คน ตามที่เธอเคยอ่านตามหนังสือสยองขวัญ คิดแบบนั้นแล้วมันก็ทำให้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมา
‘อึ๋ย!! อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยนะคุณผี’
อันนาคิดในใจ
แต่พออันนาลองเงี่ยหูฟังดูดีๆ เสียงสะอื้นไห้นั้นเป็นเสียงของผู้ชาย และมันดังออกมาจากอีกฟากของผนังซึ่งเป็นอีกห้องนึง ซึ่งอันนาเดาว่าน่าจะเป็นห้องนอนของนานาเสะ
เสียงสะอื้นไห้นั้นดูเจ็บปวดราวกับคนกำลังจะขาดใจ จนอันนานั้นเกิดสงสัยขึ้นมาว่าเขาเป็นอะไร
‘ทำไมนายถึงได้ร้องไห้เหมือนคนที่กำลังจะขาดใจแบบนั้นกันล่ะ?’
ค่ำคืนนั้นกว่าที่เสียงสะอื้นไห้จะเงียบลงก็กินเวลาไปสองชั่วโมง อันนาจึงได้เข้านอนต่อตามปกติ
เธอตั้งใจว่าพรุ่งนี้ที่โรงเรียน เธอจะลองถามเขาดู เผื่อว่ามีอะไรที่เธอพอจะช่วยเขาได้ในฐานะบัดดี้