บทที่ 8 : เพื่อนใหม่

3195 Words
“นี่ๆ คุณฮอฟมัน เมื่อวานที่สวนสาธารณะนี้มันหมายความว่ายังไงกันเหรอคะ?” นักเรียนหญิงคนนึงเดินเข้ามาถามอันนาที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ เธอเดินมาพร้อมกับเพื่อนอีกคน สองคนนี้คือคนที่เห็นอันนากับนานาเสะเมื่อวานที่สวนสาธารณะนั่นเอง “เอ๊ะ? ที่สวนสาธารณะ? มีอะไรงั้นเหรอคะ?” อันนาถามด้วยความสงสัย “ก็ที่ให้…เอ่อ…เรียวอิจิคุงนอนหนุนตักไงล่ะคะ” นักเรียนหญิงคนนั้นพูด ทันทีที่เธอพูดจบ ภายในห้องเรียนที่กำลังวุ่นวายในช่วงพักเที่ยง ทุกคนพร้อมใจกันหยุดทำกิจกรรมที่กำลังทำกันอยู่ และหันมามองที่ทั้งสามคนเป็นจุดเดียวกัน นักเรียนหญิงบางคนเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางคนก็อยู่ห่างๆ ส่วนพวกผู้ชายในห้องก็แสดงท่าทีว่าสนใจเรื่องดังกล่าวเช่นกัน พวกเขาพยายามเงี่ยหูฟังเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้น “นี่ๆ คุณฮอฟมัน เล่ามาให้ละเอียดเลยนะคะ ว่าเมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้น” “จริงด้วยค่ะ!! คุณฮอฟมันกับเรียวอิจิคุงมีความสัมพันธ์กันแบบไหนงั้นเหรอคะ?” “หรือว่านี่จะเป็นความรักต้องห้ามระหว่างสองเชื้อชาติ ว๊ายย!! น่ารักจัง” เหล่านักเรียนหญิงโถมคลื่นคำถามใส่อันนา โดยที่ไม่ปล่อยช่องว่างให้เธอได้ตอบเลยแม้แต่น้อย นักเรียนทุกคนในห้องล้วนอยากรู้ความสัมพันธ์ของอันนากับนานาเสะ ว่ามีอะไรที่นอกเหนือจากการเป็นเพียงแค่บัดดี้กันหรือเปล่า โดยเฉพาะเด็กนักเรียนหญิงที่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ครั้นจะไปถามจากฝ่ายชายด้วยตัวเอง รายนั้นก็คงไม่พ้นที่จะเมินพวกเขา หรือถ้าอย่างร้ายที่สุดก็คงจะเป็นทำตัวเย็นชากับพูดจาร้ายกาจใส่ ดังนั้นเป้าหมายของพวกเขาจึงเบนมาที่ฝ่ายหญิงอย่างอันนาแทน “เอ่อ…ทุกคนใจเย็นๆ กันก่อนนะคะ” อันนาพูดด้วยสีหน้าและท่าทางที่ลำบากใจ ที่อยู่ๆ ก็โดนคลื่นคำถามโถมเข้าใส่แบบไม่ทันตั้งตัว “เล่ามาให้หมดเลยนะคะ!” “ใช่ค่ะ! เรียวอิจิคุงเขามีเสน่ห์ตรงไหนที่ทำให้คุณฮอฟมันชอบหรือถูกใจงั้นหรือคะ?” “แบบนี้ก็หมายความว่านักเรียนชายทุกคนหมดสิทธิ์แล้วใช่ไหมคะ?” พวกนักเรียนหญิงยังคงโถมคำถามใส่อันนาอย่างไม่หยุดหย่อน พวกเธอตื่นเต้นกันมากๆ ส่วนพวกนักเรียนชายต่างทำสีหน้าหดหู่กันเป็นแถบๆ ราวกับตกอยู่ในความสิ้นหวังอันไร้หนทางที่จะออกไป “เอ่อ…ฉันว่าทุกคนน่าจะกำลังเข้าใจอะไรกันผิดอยู่นะคะ ฉันกับนานา…เรียวอิจิคุงไม่ได้มีเบื้องลึกเบื้องหลังต่อกันแน่นอนค่ะ พวกเราก็เป็นแค่บัดดี้กันก็เท่านั้น” อันนาตอบเพื่อนๆ กลับไป แต่เธอเกือบจะหลุดเรียกชื่อจริงของนานาเสะออกมา เธอรู้ดีว่าถ้าหลุดมันออกมาแล้ว ทุกอย่างมันจะเลยเถิดไปจนเกินกว่าที่จะควบคุมได้ และนานาเสะเองก็คงไม่พอใจที่เธอผิดสัญญาที่ว่าจะเรียกกันเฉพาะตอนอยู่กันสองต่อสองด้วย พวกนักเรียนหญิงต่างพากันทำสีหน้างุนงงราวกับไม่เชื่อในคำพูดของเธอ ส่วนพวกนักเรียนชายนั้นพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก และมีสีหน้าที่ดีขึ้นเล็กน้อย “ถ้าคุณฮอฟมันพูดอย่างนั้น ทำไมถึงให้คนที่ดูมืดมนอย่างเรียวอิจิคุงนอนหนุนตักกันงั้นเหรอคะ?” นักเรียนหญิงคนนึงเป็นตัวแทนของคนทั้งห้องถามอันนา “นั่นมัน…ก็แค่วิธีทำให้คนที่ถูกกระทำรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่ใช่อย่างนั้นเหรอคะ? ตอนที่ฉันอยู่ที่เยอรมัน เวลาเพื่อนในกลุ่มของฉันรู้สึกไม่สบายใจหรือมีความทุกข์ ฉันก็จะทำแบบนี้ตลอดนะคะ” อันนาตอบ พร้อมกับกะพริบตาปริบๆ เธอสงสัยว่ามันแปลกตรงไหนกัน ก็แค่การนอนหนุนตักกัน มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ สำหรับเธอ เพราะเธอเองก็เคยเห็นเพื่อนผู้ชายกับเพื่อนผู้หญิงของเธอตอนอยู่ที่เยอรมันนอนหนุนตักกันและกันอยู่บ่อยๆ ด้วย “ไม่ได้นะคะคุณฮอฟมัน ที่ญี่ปุ่นการให้คนต่างเพศมานอนหนุนตักแบบนั้น พวกเราถือกันว่าเขาหรือเธอคนนั้นเป็นคนพิเศษของหัวใจนะคะ” นักเรียนหญิงคนเดิมชี้แจงให้อันนาฟัง อันนาฟังแล้วก็พยักหน้าคิดตาม เธอคงลืมคิดเรื่องความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมของประเทศเยอรมันกับประเทศญี่ปุ่นไปอย่างนั้นสินะ ระหว่างที่พวกนักเรียนหญิงกำลังเจี๊ยวจ๊าวอยู่ที่โต๊ะของอันนา โต๊ะข้างๆ ที่เป็นโต๊ะของนานาเสะคู่กรณีของเธอนั้น เขากำลังทบทวนบทเรียนตามปกติอยู่โดยไม่มีท่าทีว่าจะเสียสมาธิเลยแม้แต่นิดเดียว แม้จะได้ยินเรื่องทั้งหมดเต็มสองรูหูก็ตาม “นี่นายน่ะ ชื่อเรียวอิจิใช่ไหม?” เสียงผู้หญิงคนนึงดังขึ้นที่ด้านหน้าโต๊ะของนานาเสะ พอเงยหน้าขึ้นก็พบเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงที่ยาวประบ่า ดวงตาสีน้ำตาลกำลังจ้องมาที่เขา พร้อมกับยืนส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้เขาอยู่ “มีอะไร?” นานาเสะถามเธอคนนั้นออกไป “เป็นเพื่อนกับฉันไหม?” เด็กสาวคนนั้นยื่นข้อเสนอประหลาดๆ มาให้ ไม่รู้ว่านานาเสะคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขารู้สึกว่าเหตุการณ์มันดูคุ้นๆ ยังไงชอบกล “ทำไมฉันต้องเป็นเพื่อนกับเธอ?” นานาเสะถามพร้อมกับก้มหน้ากับไปเขียนสรุปเนื้อหาต่อ เขาไม่คิดจะสนใจการหาเพื่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ที่มีอันนามาเป็นเพื่อนก็เพราะความเอาแต่ใจของเธอเองทั้งนั้น และแค่คนเดียวเองก็เต็มกลืนยากที่จะรับมือแล้ว “ฉัน ‘ฮายาซาว่า คิโยมิ’ นะ ยินดีที่ได้รู้จักและฉันอยากเป็นเพื่อนกับนาย” เด็กสาวที่ชื่อคิโยมิพูดแนะนำตัว พร้อมกับยื่นมือมาหานานาเสะ “ขอปฏิเสธที่จะเป็นเพื่อนกับคนอย่างเธอ ฉันรับมือคนที่พลังงานล้นเหลือสองคนพร้อมกันไม่ไหวหรอกนะ” นานาเสะพูด เขาไม่แม้จะเงยหน้ามามองคิโยมิเลยด้วยซ้ำ “ฮ่าๆๆ ดูทำพูดเข้าสิ ฉันชักจะถูกใจนายแล้วสิ มาเป็นเพื่อนกันเถอะ” คิโยมิหัวเราะเสียงดัง เธอยังคงยื่นมือไปหาเขาเหมือนเดิม “ฉันบอกไปแล้วไงว่าขอปฏิเสธ” นานาเสะตอบ “นะๆๆๆ ถ้านายเป็นเพื่อนกับฉัน นายจะได้รู้จักกับคนอื่นอีกเยอะเลยนะ” คิโยมิพยายามเอาข้อดีของเธอตรงที่เธอเป็นคนที่รู้จักคนอื่นๆ เยอะ และเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมาโน้มน้าวนานาเสะ ให้เขายอมตกลงเป็นเพื่อนกับเธอ “ขอปฏิเสธ” นานาเสะยืนยันคำเดิม ที่ว่าเขาไม่อยากมีเพื่อนเพิ่ม เพราะเขารู้สึกว่าการมีเพื่อนนั้นเป็นอะไรที่วุ่นวายและน่ารำคาญ อีกทั้งบางทีถ้าเจอเพื่อนแย่ๆ ที่ส่งผลด้านลบต่อชีวิตของเขา มันคงจะทำให้ชีวิตเขาออกนอกลู่นอกทางกันพอดี “นายนี่นะ ทำตัวขวางโลกชะมัด แต่ฉันก็รับได้นะ มาเป็นเพื่อนกันเถอะ” คิโยมิพูดขึ้น ก่อนจะวกมาเรื่องเดิม “นี่ได้ฟังฉันบ้างไหมเนี่ย?” นานาเสะวางปากกาลงพร้อมกับเงยหน้ามองคิโยมิ “นายจะปฏิเสธฉันอีกกี่รอบนั่นก็เป็นสิทธิ์ของนาย แต่การที่ฉันจะขอเป็นเพื่อนกับนายอีกกี่รอบนั่นมันก็เป็นสิทธิ์ของฉัน” คิโยมิพูดยิ้มๆ นานาเสะชักสีหน้าใส่เธอ พร้อมกับคิดในใจว่า ‘จะยัยนี่หรือยัยนั่นก็เหมือนกันไปหมด เอาแต่ใจตัวเองชะมัด’ “เพราะงั้นแล้ว มาเป็นเพื่อนกันเถอะนะ!” คิโยมิพูดอีกรอบ นานาเสะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ เขากลอกตามองบนพร้อมกับพูดออกมาแบบปัดรำคาญ “ถ้าอยากเป็นนักก็ตามใจ แต่อย่ามายุ่งกับฉัน ทีนี้เธอจะไปไหนก็ไป” ก่อนที่เขาจะหันไปสนใจการทบทวนบทเรียนต่อ แล้วทำเป็นเมินคิโยมิไปอีกคน “เย้!! สำเร็จ!!” คิโยมิกระโดดตัวลอย เมื่อขอเป็นเพื่อนกับนานาเสะสำเร็จ “มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นอย่างงั้นเหรอคะ คุณฮายาซาว่า?” อันนาที่พึ่งสลัดพวกเพื่อนๆ หลุดได้เข้ามาพูดคุยกับเธอ “ว่ายังไงอันนาจัง แล้วก็ฉันบอกไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้วใช่ไหมว่าให้เรียกฉันว่าคิโยมิได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” คิโยมิทักทายอันนา ก่อนจะเดินเตาะแตะเข้าไปกอดเธอ ความจริงแล้วคิโยมิคือเพื่อนผู้หญิงคนแรกของอันนาตั้งแต่มาแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น ด้วยความที่คิโยมิเป็นคนกว้างขวางรู้จักคนอื่นเยอะแยะ อีกทั้งยังเป็นคนที่ร่าเริงสดใสไม่แพ้เธออีกด้วย อันนาจึงคิดว่ามันคงจะดีที่คบคิโยมิเอาไว้เป็นเพื่อน ดังนั้นแล้วทั้งสองคนจึงได้เป็นเพื่อนกัน ด้วยความเข้ากันทางลักษณะนิสัยที่ดีเยี่ยม “ค่ะคุณคิโยมิ ว่าแต่มีเรื่องอะไรที่น่าดีใจงั้นเหรอคะ?” อันนาปล่อยให้คิโยมิกอดๆ ถูๆ กับตัวเธอจนหนำใจ ก่อนจะถามอีกครั้ง “จริงสิ! ฉันได้เป็นเพื่อนกับหมอนี่แล้วนะ!” คิโยมิพูดอวดอันนาอย่างภาคภูมิใจ อันนาที่ได้ยินแบบนั้นก็งอนทำแก้มป่อง พร้อมกับมองไปยังนานาเสะที่กำลังนั่งทบทวนบทเรียนอยู่ ก่อนจะพูดคำพูดที่ชวนให้เข้าใจผิดออกมา “นี่เรียวอิจิคุงกำลังนอกใจฉันอยู่อย่างนั้นเหรอคะ?” นานาเสะเหลือบมองอันนา ก่อนจะพูดออกมาบ้าง “ฉันก็แค่บัดดี้ของเธอ ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย เธอเองก็ยืนยันแบบนั้นนี่” “ฮึ่มมมมม!” อันนาฮึมฮัมในลำคอเบาๆ ด้วยความไม่พอใจเล็กๆ ดูเหมือนว่านานาเสะที่โรงเรียนจะยังไม่ยอมลดกำแพงลงให้เธอง่ายๆ “ทั้งๆ ที่เมื่อวานทำตัวน่ารักขนาดนั้นแท้ๆ” เธอบ่นออกมาเป็นภาษาเยอรมัน คิโยมิที่ไม่เข้าใจว่าอันนาพูดว่าอะไร แต่ก็พอจะเดาออกว่าอันนาดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ เธอจึงพูดเพื่อสร้างความสบายใจให้กับอันนา “น่าๆ อย่าอารมณ์เสียไปเลย ฉันไม่คิดจะแย่งผู้ชายของเธอหรอกนะ ฉันเองก็มีแฟนอยู่แล้วด้วย เพราะงั้นสบายใจได้นะอันนาจัง” นานาเสะชะงักเมื่อได้ยินประโยคที่คิโยมิพูด เขาวางปากกา ละสายตาจากสิ่งที่ทำตรงหน้า แล้วหันมาหาเด็กสาวทั้งสองคน “ฉันไปเป็นผู้ชายของยัยนี่เมื่อไหร่ ตอนไหนไม่ทราบ?” นานาเสะพูด พร้อมกับแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่พอใจกับเรื่องที่ได้ยินออกมาจากปากของคิโยมิเมื่อสักครู่ แต่แทนที่คิโยมิจะพูดขอโทษและสำนึกผิด เธอกลับหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น “ฮ่าๆๆ เจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายมืดมนอย่างนั้นเหรอ พวกนายนี่เป็นคู่รักที่น่าสนใจดีนะ อื้ม!! ดีแล้วล่ะที่ฉันได้เป็นเพื่อนกับพวกนาย” คิโยมิพูด นานาเสะแสดงออกว่าตัวเขาเองไม่พอใจอย่างมากหลังจากได้ยินแบบนั้น แต่ในทางกลับกันอันนากลับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข พร้อมเอามือทั้งสองข้างแนบแก้มตัวเองเสียอย่างนั้น . . ตกตอนเย็นหลังเลิกเรียน ในระหว่างที่นานาเสะกำลังเดินกลับบ้านอยู่นั้น อยู่ๆ เขาก็เกิดมีความคิดที่ว่าอยากจะแวะร้านหนังสือ เพื่อแวะดูหนังสือของ ‘ดาไซ โอซามุ’ ที่มีข่าวว่ามันจะกลับมาตีพิมพ์ใหม่อีกรอบ ดังนั้นแล้วเขาจึงหักเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางเดิน เพื่อไปยังร้านหนังสือที่ตั้งอยู่ในย่านการค้า ร้านหนังสือร้านนี้เป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้แล้ว ถ้าจะมีก็คงจะเป็นที่นี่ “โอ๊ะ! เรียวอิจินี่นา” คิโยมิทักขึ้นเมื่อบังเอิญเจอกับเขาที่หน้าร้านหนังสือราวกับนัดกันมา เธอมาซื้อของบางอย่างพร้อมกับอันนา และคิดว่าจะแวะเพื่อมาซื้อหนังสือนวนิยายที่พึ่งออกใหม่ที่ร้านนี้พอดี คาดไม่ถึงว่าจะเจอกับนานาเสะพอดีเหมือนกัน “อันนาจังอยู่กับแฟนของเธอตรงนี้นะ ฉันขอตัวไปตามหาหนังสือนิยายสักครู่~” ว่าจบคิโยมิก็วิ่งไปยังโซนขายหนังสือนวนิยายแนวการ์ตูน โดยปล่อยให้นานาเสะที่ยืนทำหน้าเซ็งๆ กับอันนาที่ยืนเด๋อด๋าทำตัวไม่ถูกอยู่ด้วยกัน “นายมาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ นานาเสะ?” อันนาถามนานาเสะ โดยเรียกชื่อจริงของเขา เพราะตอนนี้พวกเขาอยู่กันตามลำพังแล้ว “ฉันมาดูหนังสือวรรณกรรมคลาสสิคของดาไซ โอซามุน่ะ” นานาเสะตอบอันนา “ดาไซ โอซามุ?” อันนาเอียงคอสงสัย เนื่องจากเธอไม่เคยได้ยินชื่อของนักเขียนคนนี้มาก่อน “ตามมาสิ” นานาเสะเดินนำอันนาไปยังโซนหนังสือวรรณกรรมคลาสสิค ที่โซนนี้มีหนังสือหลายเล่มที่อันนาคิดว่ามันน่าจะทำความเข้าใจยากพอสมควร แต่ก็มีหนังสือที่อันนาพอจะคุ้นตาอยู่บ้าง เนื่องจากเธอเคยเห็นในห้องทำงานของพ่อเธอตอนเด็กๆ อย่างเช่น ‘Im Westen Nichts Neues’ (All Quiet on the Western Front), ‘Das Parfum’ (Perfume) เป็นต้น นานาเสะเดินหาหนังสือที่เขาต้องการอยู่สักพัก ก่อนจะเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา เมื่อพบกับหนังสือที่เขาตามหา มิหนำซ้ำยังมีถึงสองเรื่องอีกด้วย ‘อาทิตย์สิ้นแสง’ ‘สูญสิ้นความเป็นคน’ ทั้งสองคือชื่อหนังสือของดาไซ โอซามุที่นานาเสะหยิบออกมาดู อันนาที่เห็นรอยยิ้มนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าหัวใจเธอเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย เพราะถ้าหากไม่นับตอนที่เขานอนหนุนตักเธอคราวนั้น ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเขายิ้มออกมาอย่างมีความสุขจริงๆ “เธอรู้ไหม หนังสือนี้น่ะมันดีมากเลยนะ ฉันเคยอ่านหนังสือเรื่องอื่นๆ ของเขา(ดาไซ) มันสนุกมากเลยล่ะ ฉันจินตนาการถึงเนื้อเรื่องได้อย่างชัดเจนราวกับมันกำลังโลดแล่นอยู่ในหัวของฉัน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังมองตัวเองที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว และเผชิญกับความเศร้าตามลำพังเหมือนกัน” นานาเสะพูดถึงข้อดีของหนังสือให้เธอฟัง แต่แล้วเขาก็พูดถึงผลกระทบของมันที่มีต่อตัวของเขา อันนาเห็นท่าทีของนานาเสะแบบนั้นเธอจึงเผลอเขย่งตัวเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือลูบไปที่ศรีษะของเขาเบาๆ พร้อมกับพูดออกมาว่า “นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะรู้ไหม? นายยังมีฉันอยู่ตรงนี้นะ” คำพูดของอันนาทำให้นานาเสะรู้สึกอบอุ่นและจั๊กจี้ในหัวใจแปลกๆ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว “อืม…” นานาเสะขานรับพร้อมกับหันหน้ามาหาอันนา พร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอ่อนของเธอ ราวกับว่ากำลังจะค้นหาอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น อันนาที่รู้สึกตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไปนั้น เธอพยายามพูดแก้ตัวเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตอนนี้ “มะ…ไม่ใช่นะ…คือว่า…นี่มัน…เอ่อ…” “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจสิ่งที่เธอพยายามจะทำ” นานาเสะพูด แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ทั้งสองก็เบือนหน้าหนีกันเพราะความรู้สึกที่ตรงกันอยู่ดี อันนานั้นรู้สึกอายมากที่ทำแบบนั้นไป ส่วนนานาเสะรู้สึกเขินเล็กๆ ที่ถูกลูบหัวเหมือนเด็กน้อย ‘ทั้งๆ ที่ยัยนี่ก็เคยลูบหัวเราตอนหนุนตักแล้วแท้ๆ แต่ทำไมเราถึงได้เขินกันนะ?’ นานาเสะคิดในใจ ไม่นานนักคิโยมิก็เดินตามหาทั้งสองจนเจอ เพราะเธอได้หนังสือที่ต้องการแล้ว แต่ด้วยท่าทีที่ทั้งคู่แสดงออกใส่กันนั้นมันดูแปลกๆ และขัดตาชอบกล เธอจึงลองถามออกไปเล่นๆ “มีอะไรเกิดขึ้นตอนฉันไม่อยู่หรือเปล่าเอ่ย?” ทั้งสองคนตอบกับแทบจะพร้อมกันในทันที “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ!” คิโยมิแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นเมื่อเห็นท่าทีของทั้งสองคนเป็นแบบนั้น ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ถ้าทั้งสองคนไม่อยากเล่าเธอก็จะไม่ถามซักไซร้ให้มันมากความ . คิโยมินั้นแยกตัวกลับตรงหน้าสถานี เพราะเธอต้องขึ้นรถไฟกลับบ้าน ส่วนอันนาและนานาเสะเดินกลับบ้านด้วยกัน ระหว่างทางเธอชวนนานาเสะคุยถึงเรื่องหนังสือที่เขาซื้อมา รวมไปถึงนักเขียนอย่างตัวของดาไซที่นานาเสะชื่นชอบ ทำให้ในวันนี้นานาเสะดูจะพูดเยอะกว่าทุกวัน นั่นทำให้อันนารู้สึกว่าได้ก้าวเข้าไปใกล้ตัวของนานาเสะอีกขั้นนึงแล้ว และพอถึงคอนโดที่พวกเขาพัก ก็ได้เวลาที่ต้องแยกย้ายกัน “กลับมาแล้วค่า~” อันนาเปิดประตูบ้าน พร้อมกับเอ่ยทักทายตามปกติ “ยินดีต้อนรับกลับจ้ะอันนา ว่าแต่ทำไมวันนี้หนูดูมีความสุขจังเลยล่ะจ๊ะ หรือว่ามีอะไรดีๆ เกิดขึ้นอย่างงั้นเหรอ?” ฮานาโกะเอ่ยต้อนรับกลับ แต่พอเห็นอันนาเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เข้ามา มันทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ จนต้องถามออกไป “ก็แค่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นนิดหน่อยค่ะ” อันนาตอบกำกวม รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอยังไม่หายไปไหน “ดีแล้วล่ะจ้ะ ที่หนูมีความสุข ถ้างั้นไปเก็บของและเตรียมตัวมาทานอาหารเย็นได้แล้วนะจ๊ะ น้าใกล้จะทำเสร็จแล้ว” ฮานาโกะพูดกับอันนา “ค่า~” อันนารับคำ ก่อนจะเดินเข้าห้องของตัวเองไป…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD