“นี่ๆ คุณฮอฟมัน เมื่อวานที่สวนสาธารณะนี้มันหมายความว่ายังไงกันเหรอคะ?”
นักเรียนหญิงคนนึงเดินเข้ามาถามอันนาที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ เธอเดินมาพร้อมกับเพื่อนอีกคน สองคนนี้คือคนที่เห็นอันนากับนานาเสะเมื่อวานที่สวนสาธารณะนั่นเอง
“เอ๊ะ? ที่สวนสาธารณะ? มีอะไรงั้นเหรอคะ?”
อันนาถามด้วยความสงสัย
“ก็ที่ให้…เอ่อ…เรียวอิจิคุงนอนหนุนตักไงล่ะคะ”
นักเรียนหญิงคนนั้นพูด
ทันทีที่เธอพูดจบ ภายในห้องเรียนที่กำลังวุ่นวายในช่วงพักเที่ยง ทุกคนพร้อมใจกันหยุดทำกิจกรรมที่กำลังทำกันอยู่ และหันมามองที่ทั้งสามคนเป็นจุดเดียวกัน
นักเรียนหญิงบางคนเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางคนก็อยู่ห่างๆ ส่วนพวกผู้ชายในห้องก็แสดงท่าทีว่าสนใจเรื่องดังกล่าวเช่นกัน พวกเขาพยายามเงี่ยหูฟังเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้น
“นี่ๆ คุณฮอฟมัน เล่ามาให้ละเอียดเลยนะคะ ว่าเมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้น”
“จริงด้วยค่ะ!! คุณฮอฟมันกับเรียวอิจิคุงมีความสัมพันธ์กันแบบไหนงั้นเหรอคะ?”
“หรือว่านี่จะเป็นความรักต้องห้ามระหว่างสองเชื้อชาติ ว๊ายย!! น่ารักจัง”
เหล่านักเรียนหญิงโถมคลื่นคำถามใส่อันนา โดยที่ไม่ปล่อยช่องว่างให้เธอได้ตอบเลยแม้แต่น้อย
นักเรียนทุกคนในห้องล้วนอยากรู้ความสัมพันธ์ของอันนากับนานาเสะ ว่ามีอะไรที่นอกเหนือจากการเป็นเพียงแค่บัดดี้กันหรือเปล่า โดยเฉพาะเด็กนักเรียนหญิงที่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แต่ครั้นจะไปถามจากฝ่ายชายด้วยตัวเอง รายนั้นก็คงไม่พ้นที่จะเมินพวกเขา หรือถ้าอย่างร้ายที่สุดก็คงจะเป็นทำตัวเย็นชากับพูดจาร้ายกาจใส่ ดังนั้นเป้าหมายของพวกเขาจึงเบนมาที่ฝ่ายหญิงอย่างอันนาแทน
“เอ่อ…ทุกคนใจเย็นๆ กันก่อนนะคะ”
อันนาพูดด้วยสีหน้าและท่าทางที่ลำบากใจ ที่อยู่ๆ ก็โดนคลื่นคำถามโถมเข้าใส่แบบไม่ทันตั้งตัว
“เล่ามาให้หมดเลยนะคะ!”
“ใช่ค่ะ! เรียวอิจิคุงเขามีเสน่ห์ตรงไหนที่ทำให้คุณฮอฟมันชอบหรือถูกใจงั้นหรือคะ?”
“แบบนี้ก็หมายความว่านักเรียนชายทุกคนหมดสิทธิ์แล้วใช่ไหมคะ?”
พวกนักเรียนหญิงยังคงโถมคำถามใส่อันนาอย่างไม่หยุดหย่อน พวกเธอตื่นเต้นกันมากๆ
ส่วนพวกนักเรียนชายต่างทำสีหน้าหดหู่กันเป็นแถบๆ ราวกับตกอยู่ในความสิ้นหวังอันไร้หนทางที่จะออกไป
“เอ่อ…ฉันว่าทุกคนน่าจะกำลังเข้าใจอะไรกันผิดอยู่นะคะ ฉันกับนานา…เรียวอิจิคุงไม่ได้มีเบื้องลึกเบื้องหลังต่อกันแน่นอนค่ะ พวกเราก็เป็นแค่บัดดี้กันก็เท่านั้น”
อันนาตอบเพื่อนๆ กลับไป
แต่เธอเกือบจะหลุดเรียกชื่อจริงของนานาเสะออกมา เธอรู้ดีว่าถ้าหลุดมันออกมาแล้ว ทุกอย่างมันจะเลยเถิดไปจนเกินกว่าที่จะควบคุมได้ และนานาเสะเองก็คงไม่พอใจที่เธอผิดสัญญาที่ว่าจะเรียกกันเฉพาะตอนอยู่กันสองต่อสองด้วย
พวกนักเรียนหญิงต่างพากันทำสีหน้างุนงงราวกับไม่เชื่อในคำพูดของเธอ ส่วนพวกนักเรียนชายนั้นพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก และมีสีหน้าที่ดีขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าคุณฮอฟมันพูดอย่างนั้น ทำไมถึงให้คนที่ดูมืดมนอย่างเรียวอิจิคุงนอนหนุนตักกันงั้นเหรอคะ?”
นักเรียนหญิงคนนึงเป็นตัวแทนของคนทั้งห้องถามอันนา
“นั่นมัน…ก็แค่วิธีทำให้คนที่ถูกกระทำรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่ใช่อย่างนั้นเหรอคะ? ตอนที่ฉันอยู่ที่เยอรมัน เวลาเพื่อนในกลุ่มของฉันรู้สึกไม่สบายใจหรือมีความทุกข์ ฉันก็จะทำแบบนี้ตลอดนะคะ”
อันนาตอบ พร้อมกับกะพริบตาปริบๆ
เธอสงสัยว่ามันแปลกตรงไหนกัน ก็แค่การนอนหนุนตักกัน มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ สำหรับเธอ เพราะเธอเองก็เคยเห็นเพื่อนผู้ชายกับเพื่อนผู้หญิงของเธอตอนอยู่ที่เยอรมันนอนหนุนตักกันและกันอยู่บ่อยๆ ด้วย
“ไม่ได้นะคะคุณฮอฟมัน ที่ญี่ปุ่นการให้คนต่างเพศมานอนหนุนตักแบบนั้น พวกเราถือกันว่าเขาหรือเธอคนนั้นเป็นคนพิเศษของหัวใจนะคะ”
นักเรียนหญิงคนเดิมชี้แจงให้อันนาฟัง
อันนาฟังแล้วก็พยักหน้าคิดตาม เธอคงลืมคิดเรื่องความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมของประเทศเยอรมันกับประเทศญี่ปุ่นไปอย่างนั้นสินะ
ระหว่างที่พวกนักเรียนหญิงกำลังเจี๊ยวจ๊าวอยู่ที่โต๊ะของอันนา โต๊ะข้างๆ ที่เป็นโต๊ะของนานาเสะคู่กรณีของเธอนั้น เขากำลังทบทวนบทเรียนตามปกติอยู่โดยไม่มีท่าทีว่าจะเสียสมาธิเลยแม้แต่นิดเดียว แม้จะได้ยินเรื่องทั้งหมดเต็มสองรูหูก็ตาม
“นี่นายน่ะ ชื่อเรียวอิจิใช่ไหม?”
เสียงผู้หญิงคนนึงดังขึ้นที่ด้านหน้าโต๊ะของนานาเสะ
พอเงยหน้าขึ้นก็พบเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงที่ยาวประบ่า ดวงตาสีน้ำตาลกำลังจ้องมาที่เขา พร้อมกับยืนส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้เขาอยู่
“มีอะไร?”
นานาเสะถามเธอคนนั้นออกไป
“เป็นเพื่อนกับฉันไหม?”
เด็กสาวคนนั้นยื่นข้อเสนอประหลาดๆ มาให้ ไม่รู้ว่านานาเสะคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขารู้สึกว่าเหตุการณ์มันดูคุ้นๆ ยังไงชอบกล
“ทำไมฉันต้องเป็นเพื่อนกับเธอ?”
นานาเสะถามพร้อมกับก้มหน้ากับไปเขียนสรุปเนื้อหาต่อ
เขาไม่คิดจะสนใจการหาเพื่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ที่มีอันนามาเป็นเพื่อนก็เพราะความเอาแต่ใจของเธอเองทั้งนั้น และแค่คนเดียวเองก็เต็มกลืนยากที่จะรับมือแล้ว
“ฉัน ‘ฮายาซาว่า คิโยมิ’ นะ ยินดีที่ได้รู้จักและฉันอยากเป็นเพื่อนกับนาย”
เด็กสาวที่ชื่อคิโยมิพูดแนะนำตัว พร้อมกับยื่นมือมาหานานาเสะ
“ขอปฏิเสธที่จะเป็นเพื่อนกับคนอย่างเธอ ฉันรับมือคนที่พลังงานล้นเหลือสองคนพร้อมกันไม่ไหวหรอกนะ”
นานาเสะพูด เขาไม่แม้จะเงยหน้ามามองคิโยมิเลยด้วยซ้ำ
“ฮ่าๆๆ ดูทำพูดเข้าสิ ฉันชักจะถูกใจนายแล้วสิ มาเป็นเพื่อนกันเถอะ”
คิโยมิหัวเราะเสียงดัง เธอยังคงยื่นมือไปหาเขาเหมือนเดิม
“ฉันบอกไปแล้วไงว่าขอปฏิเสธ”
นานาเสะตอบ
“นะๆๆๆ ถ้านายเป็นเพื่อนกับฉัน นายจะได้รู้จักกับคนอื่นอีกเยอะเลยนะ”
คิโยมิพยายามเอาข้อดีของเธอตรงที่เธอเป็นคนที่รู้จักคนอื่นๆ เยอะ และเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมาโน้มน้าวนานาเสะ ให้เขายอมตกลงเป็นเพื่อนกับเธอ
“ขอปฏิเสธ”
นานาเสะยืนยันคำเดิม ที่ว่าเขาไม่อยากมีเพื่อนเพิ่ม
เพราะเขารู้สึกว่าการมีเพื่อนนั้นเป็นอะไรที่วุ่นวายและน่ารำคาญ อีกทั้งบางทีถ้าเจอเพื่อนแย่ๆ ที่ส่งผลด้านลบต่อชีวิตของเขา มันคงจะทำให้ชีวิตเขาออกนอกลู่นอกทางกันพอดี
“นายนี่นะ ทำตัวขวางโลกชะมัด แต่ฉันก็รับได้นะ มาเป็นเพื่อนกันเถอะ”
คิโยมิพูดขึ้น ก่อนจะวกมาเรื่องเดิม
“นี่ได้ฟังฉันบ้างไหมเนี่ย?”
นานาเสะวางปากกาลงพร้อมกับเงยหน้ามองคิโยมิ
“นายจะปฏิเสธฉันอีกกี่รอบนั่นก็เป็นสิทธิ์ของนาย แต่การที่ฉันจะขอเป็นเพื่อนกับนายอีกกี่รอบนั่นมันก็เป็นสิทธิ์ของฉัน”
คิโยมิพูดยิ้มๆ
นานาเสะชักสีหน้าใส่เธอ พร้อมกับคิดในใจว่า
‘จะยัยนี่หรือยัยนั่นก็เหมือนกันไปหมด เอาแต่ใจตัวเองชะมัด’
“เพราะงั้นแล้ว มาเป็นเพื่อนกันเถอะนะ!”
คิโยมิพูดอีกรอบ
นานาเสะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ เขากลอกตามองบนพร้อมกับพูดออกมาแบบปัดรำคาญ
“ถ้าอยากเป็นนักก็ตามใจ แต่อย่ามายุ่งกับฉัน ทีนี้เธอจะไปไหนก็ไป”
ก่อนที่เขาจะหันไปสนใจการทบทวนบทเรียนต่อ แล้วทำเป็นเมินคิโยมิไปอีกคน
“เย้!! สำเร็จ!!”
คิโยมิกระโดดตัวลอย เมื่อขอเป็นเพื่อนกับนานาเสะสำเร็จ
“มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นอย่างงั้นเหรอคะ คุณฮายาซาว่า?”
อันนาที่พึ่งสลัดพวกเพื่อนๆ หลุดได้เข้ามาพูดคุยกับเธอ
“ว่ายังไงอันนาจัง แล้วก็ฉันบอกไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้วใช่ไหมว่าให้เรียกฉันว่าคิโยมิได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
คิโยมิทักทายอันนา ก่อนจะเดินเตาะแตะเข้าไปกอดเธอ
ความจริงแล้วคิโยมิคือเพื่อนผู้หญิงคนแรกของอันนาตั้งแต่มาแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น ด้วยความที่คิโยมิเป็นคนกว้างขวางรู้จักคนอื่นเยอะแยะ อีกทั้งยังเป็นคนที่ร่าเริงสดใสไม่แพ้เธออีกด้วย อันนาจึงคิดว่ามันคงจะดีที่คบคิโยมิเอาไว้เป็นเพื่อน ดังนั้นแล้วทั้งสองคนจึงได้เป็นเพื่อนกัน ด้วยความเข้ากันทางลักษณะนิสัยที่ดีเยี่ยม
“ค่ะคุณคิโยมิ ว่าแต่มีเรื่องอะไรที่น่าดีใจงั้นเหรอคะ?”
อันนาปล่อยให้คิโยมิกอดๆ ถูๆ กับตัวเธอจนหนำใจ ก่อนจะถามอีกครั้ง
“จริงสิ! ฉันได้เป็นเพื่อนกับหมอนี่แล้วนะ!”
คิโยมิพูดอวดอันนาอย่างภาคภูมิใจ
อันนาที่ได้ยินแบบนั้นก็งอนทำแก้มป่อง พร้อมกับมองไปยังนานาเสะที่กำลังนั่งทบทวนบทเรียนอยู่ ก่อนจะพูดคำพูดที่ชวนให้เข้าใจผิดออกมา
“นี่เรียวอิจิคุงกำลังนอกใจฉันอยู่อย่างนั้นเหรอคะ?”
นานาเสะเหลือบมองอันนา ก่อนจะพูดออกมาบ้าง
“ฉันก็แค่บัดดี้ของเธอ ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย เธอเองก็ยืนยันแบบนั้นนี่”
“ฮึ่มมมมม!”
อันนาฮึมฮัมในลำคอเบาๆ ด้วยความไม่พอใจเล็กๆ ดูเหมือนว่านานาเสะที่โรงเรียนจะยังไม่ยอมลดกำแพงลงให้เธอง่ายๆ
“ทั้งๆ ที่เมื่อวานทำตัวน่ารักขนาดนั้นแท้ๆ”
เธอบ่นออกมาเป็นภาษาเยอรมัน
คิโยมิที่ไม่เข้าใจว่าอันนาพูดว่าอะไร แต่ก็พอจะเดาออกว่าอันนาดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ เธอจึงพูดเพื่อสร้างความสบายใจให้กับอันนา
“น่าๆ อย่าอารมณ์เสียไปเลย ฉันไม่คิดจะแย่งผู้ชายของเธอหรอกนะ ฉันเองก็มีแฟนอยู่แล้วด้วย เพราะงั้นสบายใจได้นะอันนาจัง”
นานาเสะชะงักเมื่อได้ยินประโยคที่คิโยมิพูด เขาวางปากกา ละสายตาจากสิ่งที่ทำตรงหน้า แล้วหันมาหาเด็กสาวทั้งสองคน
“ฉันไปเป็นผู้ชายของยัยนี่เมื่อไหร่ ตอนไหนไม่ทราบ?”
นานาเสะพูด พร้อมกับแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่พอใจกับเรื่องที่ได้ยินออกมาจากปากของคิโยมิเมื่อสักครู่
แต่แทนที่คิโยมิจะพูดขอโทษและสำนึกผิด เธอกลับหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น
“ฮ่าๆๆ เจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายมืดมนอย่างนั้นเหรอ พวกนายนี่เป็นคู่รักที่น่าสนใจดีนะ อื้ม!! ดีแล้วล่ะที่ฉันได้เป็นเพื่อนกับพวกนาย”
คิโยมิพูด
นานาเสะแสดงออกว่าตัวเขาเองไม่พอใจอย่างมากหลังจากได้ยินแบบนั้น แต่ในทางกลับกันอันนากลับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข พร้อมเอามือทั้งสองข้างแนบแก้มตัวเองเสียอย่างนั้น
.
.
ตกตอนเย็นหลังเลิกเรียน ในระหว่างที่นานาเสะกำลังเดินกลับบ้านอยู่นั้น อยู่ๆ เขาก็เกิดมีความคิดที่ว่าอยากจะแวะร้านหนังสือ เพื่อแวะดูหนังสือของ ‘ดาไซ โอซามุ’ ที่มีข่าวว่ามันจะกลับมาตีพิมพ์ใหม่อีกรอบ
ดังนั้นแล้วเขาจึงหักเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางเดิน เพื่อไปยังร้านหนังสือที่ตั้งอยู่ในย่านการค้า ร้านหนังสือร้านนี้เป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้แล้ว ถ้าจะมีก็คงจะเป็นที่นี่
“โอ๊ะ! เรียวอิจินี่นา”
คิโยมิทักขึ้นเมื่อบังเอิญเจอกับเขาที่หน้าร้านหนังสือราวกับนัดกันมา
เธอมาซื้อของบางอย่างพร้อมกับอันนา และคิดว่าจะแวะเพื่อมาซื้อหนังสือนวนิยายที่พึ่งออกใหม่ที่ร้านนี้พอดี คาดไม่ถึงว่าจะเจอกับนานาเสะพอดีเหมือนกัน
“อันนาจังอยู่กับแฟนของเธอตรงนี้นะ ฉันขอตัวไปตามหาหนังสือนิยายสักครู่~”
ว่าจบคิโยมิก็วิ่งไปยังโซนขายหนังสือนวนิยายแนวการ์ตูน โดยปล่อยให้นานาเสะที่ยืนทำหน้าเซ็งๆ กับอันนาที่ยืนเด๋อด๋าทำตัวไม่ถูกอยู่ด้วยกัน
“นายมาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ นานาเสะ?”
อันนาถามนานาเสะ โดยเรียกชื่อจริงของเขา เพราะตอนนี้พวกเขาอยู่กันตามลำพังแล้ว
“ฉันมาดูหนังสือวรรณกรรมคลาสสิคของดาไซ โอซามุน่ะ”
นานาเสะตอบอันนา
“ดาไซ โอซามุ?”
อันนาเอียงคอสงสัย เนื่องจากเธอไม่เคยได้ยินชื่อของนักเขียนคนนี้มาก่อน
“ตามมาสิ”
นานาเสะเดินนำอันนาไปยังโซนหนังสือวรรณกรรมคลาสสิค
ที่โซนนี้มีหนังสือหลายเล่มที่อันนาคิดว่ามันน่าจะทำความเข้าใจยากพอสมควร แต่ก็มีหนังสือที่อันนาพอจะคุ้นตาอยู่บ้าง เนื่องจากเธอเคยเห็นในห้องทำงานของพ่อเธอตอนเด็กๆ อย่างเช่น ‘Im Westen Nichts Neues’ (All Quiet on the Western Front), ‘Das Parfum’ (Perfume) เป็นต้น
นานาเสะเดินหาหนังสือที่เขาต้องการอยู่สักพัก ก่อนจะเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา เมื่อพบกับหนังสือที่เขาตามหา มิหนำซ้ำยังมีถึงสองเรื่องอีกด้วย
‘อาทิตย์สิ้นแสง’ ‘สูญสิ้นความเป็นคน’
ทั้งสองคือชื่อหนังสือของดาไซ โอซามุที่นานาเสะหยิบออกมาดู
อันนาที่เห็นรอยยิ้มนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าหัวใจเธอเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย เพราะถ้าหากไม่นับตอนที่เขานอนหนุนตักเธอคราวนั้น ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเขายิ้มออกมาอย่างมีความสุขจริงๆ
“เธอรู้ไหม หนังสือนี้น่ะมันดีมากเลยนะ ฉันเคยอ่านหนังสือเรื่องอื่นๆ ของเขา(ดาไซ) มันสนุกมากเลยล่ะ ฉันจินตนาการถึงเนื้อเรื่องได้อย่างชัดเจนราวกับมันกำลังโลดแล่นอยู่ในหัวของฉัน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังมองตัวเองที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว และเผชิญกับความเศร้าตามลำพังเหมือนกัน”
นานาเสะพูดถึงข้อดีของหนังสือให้เธอฟัง แต่แล้วเขาก็พูดถึงผลกระทบของมันที่มีต่อตัวของเขา
อันนาเห็นท่าทีของนานาเสะแบบนั้นเธอจึงเผลอเขย่งตัวเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือลูบไปที่ศรีษะของเขาเบาๆ พร้อมกับพูดออกมาว่า
“นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะรู้ไหม? นายยังมีฉันอยู่ตรงนี้นะ”
คำพูดของอันนาทำให้นานาเสะรู้สึกอบอุ่นและจั๊กจี้ในหัวใจแปลกๆ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว
“อืม…”
นานาเสะขานรับพร้อมกับหันหน้ามาหาอันนา พร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอ่อนของเธอ ราวกับว่ากำลังจะค้นหาอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้น อันนาที่รู้สึกตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไปนั้น เธอพยายามพูดแก้ตัวเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตอนนี้
“มะ…ไม่ใช่นะ…คือว่า…นี่มัน…เอ่อ…”
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจสิ่งที่เธอพยายามจะทำ”
นานาเสะพูด
แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ทั้งสองก็เบือนหน้าหนีกันเพราะความรู้สึกที่ตรงกันอยู่ดี อันนานั้นรู้สึกอายมากที่ทำแบบนั้นไป ส่วนนานาเสะรู้สึกเขินเล็กๆ ที่ถูกลูบหัวเหมือนเด็กน้อย
‘ทั้งๆ ที่ยัยนี่ก็เคยลูบหัวเราตอนหนุนตักแล้วแท้ๆ แต่ทำไมเราถึงได้เขินกันนะ?’
นานาเสะคิดในใจ
ไม่นานนักคิโยมิก็เดินตามหาทั้งสองจนเจอ เพราะเธอได้หนังสือที่ต้องการแล้ว แต่ด้วยท่าทีที่ทั้งคู่แสดงออกใส่กันนั้นมันดูแปลกๆ และขัดตาชอบกล เธอจึงลองถามออกไปเล่นๆ
“มีอะไรเกิดขึ้นตอนฉันไม่อยู่หรือเปล่าเอ่ย?”
ทั้งสองคนตอบกับแทบจะพร้อมกันในทันที
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ!”
คิโยมิแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นเมื่อเห็นท่าทีของทั้งสองคนเป็นแบบนั้น ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ถ้าทั้งสองคนไม่อยากเล่าเธอก็จะไม่ถามซักไซร้ให้มันมากความ
.
คิโยมินั้นแยกตัวกลับตรงหน้าสถานี เพราะเธอต้องขึ้นรถไฟกลับบ้าน ส่วนอันนาและนานาเสะเดินกลับบ้านด้วยกัน ระหว่างทางเธอชวนนานาเสะคุยถึงเรื่องหนังสือที่เขาซื้อมา รวมไปถึงนักเขียนอย่างตัวของดาไซที่นานาเสะชื่นชอบ
ทำให้ในวันนี้นานาเสะดูจะพูดเยอะกว่าทุกวัน นั่นทำให้อันนารู้สึกว่าได้ก้าวเข้าไปใกล้ตัวของนานาเสะอีกขั้นนึงแล้ว
และพอถึงคอนโดที่พวกเขาพัก ก็ได้เวลาที่ต้องแยกย้ายกัน
“กลับมาแล้วค่า~”
อันนาเปิดประตูบ้าน พร้อมกับเอ่ยทักทายตามปกติ
“ยินดีต้อนรับกลับจ้ะอันนา ว่าแต่ทำไมวันนี้หนูดูมีความสุขจังเลยล่ะจ๊ะ หรือว่ามีอะไรดีๆ เกิดขึ้นอย่างงั้นเหรอ?”
ฮานาโกะเอ่ยต้อนรับกลับ แต่พอเห็นอันนาเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เข้ามา มันทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ จนต้องถามออกไป
“ก็แค่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นนิดหน่อยค่ะ”
อันนาตอบกำกวม รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอยังไม่หายไปไหน
“ดีแล้วล่ะจ้ะ ที่หนูมีความสุข ถ้างั้นไปเก็บของและเตรียมตัวมาทานอาหารเย็นได้แล้วนะจ๊ะ น้าใกล้จะทำเสร็จแล้ว”
ฮานาโกะพูดกับอันนา
“ค่า~”
อันนารับคำ ก่อนจะเดินเข้าห้องของตัวเองไป…