อันนาวิ่งตามหานานาเสะไปทั่วทุกซอกทุกมุมของโรงเรียน เธอต้องตามหาเขาแข่งกับเวลาพักเที่ยงที่ใกล้หมดลงเต็มที
มุมไหนที่อันนาคิดว่านานาเสะจะไปอยู่ เธอก็ตามไปหาจนหมด แต่ก็ไม่พบวี่แววของเขาเลยแม้แต่ที่เดียว นั่นทำให้เธอรู้สึกร้อนใจขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงเขา
“นายไปอยู่ไหนกันนะเรียวอิจิ?”
อันนาพึมพำกับตัวเองเบาๆ ขณะเดินอยู่บนทางเชื่อมระหว่างอาคารเรียน เธอหันไปมองนอกหน้าต่างของทางเดิน แล้วสายตาของเธอก็เห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง
ประตูดาดฟ้าของอาคารที่มันควรจะถูกปิดเอาไว้กลับเปิดอ้าเอาไว้ อันนาจึงนึกขึ้นได้ว่าสถานที่เดียวที่เธอยังไม่ได้ตามหานานาเสะ ก็คือดาดฟ้าของโรงเรียน
อันนาไม่รอช้า เธอรีบวิ่งไปที่ทางขึ้นดาดฟ้าในทันที พอขึ้นไปถึง ภาพที่เธอเห็นก็คือดาดฟ้าโล่งๆ ขนาดใหญ่ที่ไร้ผู้คน แต่ที่ตรงรั้วริมระเบียงด้านขวามือมีร่างของเด็กหนุ่มคนนึงนั่งหลับอยู่ เป็นนานาเสะนั่นเอง
อันนาค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ นานาเสะอย่างช้าๆ โดยที่ระวังไม่ให้เขาตื่น พอเข้าไปนั่งยองๆ ลงตรงหน้าของเด็กหนุ่ม เธอก็มองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของเขา แล้วเสียงสัญญาณแจ้งเตือนหมดช่วงพักเที่ยงก็ดังขึ้น นั่นหมายถึงคาบบ่ายกำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้า
‘จะเอายังไงกับเขาดีนะ?’
อันนานั่งคิดอยู่ครู่นึง
ในตอนแรกเธอคิดว่ากำลังจะปลุกเขาเพื่อให้ลุกไปเรียนคาบบ่ายด้วยกัน แต่ว่าในขณะที่เธอกำลังจะปลุกเขา พอเธอสังเกตดีๆ ก็พบว่าขอบตาของนานาเสะนั้นมีรอยคล้ำจางๆ เหมือนคนไม่ได้นอนติดต่อกันมาหลายคืน
สิ่งนี้สอดคล้องกับเสียงร้องไห้ที่อันนาได้ยินติดต่อกันมาหลายคืน แสดงว่านานาเสะนั้นแทบไม่ได้นอนเลยอย่างงั้นเหรอ?
‘เอาล่ะ! ไม่ปลุกเขาก็แล้วกัน’
อันนาถอนหายใจออกมา พร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยให้นานาเสะได้นอนพัก และไม่เข้าเรียนคาบบ่ายเป็นเพื่อนเขา
จากนั้นอันนาก็ย้ายไปนั่งลงข้างๆ นานาเสะที่กำลังนั่งหลับแทน พร้อมกับเอื้อมมือไปจับศรีษะของนานาเสะอย่างระมัดระวังและเบามือ ก่อนจะดึงให้ลงมาที่ตักของเธออย่างช้าๆ
.
ในตอนนี้นานาเสะนอนหนุนตักของอันนาอยู่ โดยที่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย เด็กสาวรู้สึกจั๊กจี้ที่หัวใจเล็กน้อย ตอนที่เอามือไปเกลี่ยแก้มที่เนียนนุ่มราวกับผิวพรรณของผู้หญิงของเด็กหนุ่ม เธอจึงถือวิสาสะดึงแก้มของเขาอย่างนึกสนุก
“อือ~”
นานาเสะครางออกมาเบาๆ เมื่อถูกรบกวนการนอน แต่ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด
“คิกๆ นายนี่เหมือนเด็กน้อยเลยนะ”
อันนาขำคิกคักอย่างสนุกสนาน
แม้ว่าตอนที่เธออยู่ที่เยอรมัน อันนาจะเคยให้เพื่อนในกลุ่มนอนหนุนตักเธอเป็นบางครั้งบางคราว แต่นั่นก็เป็นเด็กผู้หญิงด้วยกันอันนาจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอให้ผู้ชายมาใช้ตักของเธอหนุนอิงแทนหมอน
อันนาเปลี่ยนจากการดึงแก้มของนานาเสะไปเป็นการสัมผัสเส้นผมของเขาแทน
เส้นผมสีดำที่นุ่มสลวยราวกับเส้นผมของผู้หญิง บ่งบอกว่าพวกมันได้รับการดูแลและบำรุงเป็นอย่างดีจากผู้เป็นเจ้าของ อันนาจึงสัมผัสเส้นผมเหล่านั้นอย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“อือ…อย่านะ…ไม่เอาแล้ว…พอได้แล้ว”
ในขณะที่อันนากำลังสัมผัสเส้นผมของนานาเสะอยู่นั้น เด็กหนุ่มก็ได้ละเมอขึ้นมา เขานอนขดตัวและเกร็งจนตัวสั่น พร้อมกับทำสีหน้าที่ดูเจ็บปวดแม้ว่าเขาจะกำลังนอนหลับอยู่ก็ตาม
ดูเหมือนว่านานาเสะกำลังจะฝันร้ายอยู่
‘เป็นอะไรของเขากันนะ? ทำไมถึงได้ทำสีหน้าแบบนั้นกันล่ะ? แล้วที่บอกว่าพอได้แล้วนี่หมายถึงอะไรกัน?’
อันนานึกสงสัยอยู่ในใจ เธอหยุดสัมผัสเส้นผมของนานาเสะ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นการลูบหัวของเขาเบาๆ แทน พร้อมกับร้องเพลงกล่อมเด็กที่แม่ของเธอเคยร้องให้เธอกับพี่สาวฟังตอนเด็กๆ กล่อมเขาไปด้วย
อันนาร้องไปได้สักพัก นานาเสะจึงมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง แล้วรอยยิ้มน้อยๆ ของนานาเสะก็ปรากฏขึ้นมาประดับบนใบหน้าของเขา
อันนาที่เห็นรอยยิ้มนั้น เธอตะลึงไปชั่วขณะ เพราะตั้งแต่รู้จักกับนานาเสะมา เธอไม่เคยเห็นเขายิ้มมาก่อนเลย นี่จึงเป็นรอยยิ้มแรกที่เธอได้เห็นจากเขา ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวก็ตาม
“ทั้งๆ ที่ถ้ายิ้มแล้วจะดูอ่อนโยนและน่าเข้าหามากกว่าแท้ๆ”
อันนาพึมพำเบาๆ ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมา
‘แชะ!’
อันนาถ่ายภาพรอยยิ้มนั้นของนานาเสะเอาไว้
เธอคิดว่ารอยยิ้มนั้นมันงดงามเอามากๆ สำหรับคนที่ทำหน้าอมทุกข์ตลอดเวลาอย่างเขา
และถ้าเป็นไปได้อันนาอยากจะให้นานาเสะยิ้มอย่างนี้ตลอดไปเลย
‘ฉันจะทำให้นายยิ้มแบบนั้นต่อหน้าฉันให้ได้อีกให้ได้เลย คอยดูเถอะนะ’
อันนาคิดในใจ เธอยังคงลูบหัวของนานาเสะอย่างอ่อนโยนโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงง่ายๆ
.
เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีจากสีฟ้าใสเป็นสีส้มอ่อนๆ บ่งบอกว่าพระอาทิตย์นั้นกำลังเตรียมที่จะลาลับขอบฟ้าในอีกไม่นาน
นานาเสะที่นอนหนุนตักอันนาอยู่ก็ได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เขาเริ่มขยับตัวเล็กๆ น้อยๆ
“อือ~”
เขาส่งเสียงครางเบาๆ ก่อนที่เปลือกตาจะถูกเปิดขึ้น
ภาพตรงหน้าที่นานาเสะเห็นหลังจากลืมตาแล้วก็คือ ชุดนักเรียนของใครบางคน ด้วยความสงสัยเขาจึงหันศรีษะขึ้นไปมองที่ด้านบน
แล้วนานาเสะก็ได้พบกับอันนาที่กำลังก้มมองลงมายังเขา และส่งรอยยิ้มนุ่มนิ่มที่น่าหลงใหลมาให้เขาอยู่
“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ ตื่นแล้วอย่างงั้นหรือคะ เรียวอิจิคุง~”
อันนาทักทายนานาเสะ พร้อมกับใช้มือเกลี่ยแก้มของเขาอีกรอบ
“อืม~”
นานาเสะที่ยังสะลึมสะลือ ได้ตอบสนองต่อการกระทำของอันนาด้วยการถูใบหน้าไปมากับมือของเธอ และแสดงท่าทีออดอ้อนด้วยการคลอเคลียที่หน้าท้องของเธอ จนเด็กสาวรู้สึกจั๊กจี้
“ฮะๆ ไม่เอาน่า~”
อันนาหัวเราะเบาๆ ให้กับการกระทำที่น่ารักน่าชังของนานาเสะ
“……!!!!!!!!!!!!!!”
พอสติของนานาเสะกลับมาชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว เขาก็เด้งตัวขึ้นมาอัตโนมัติราวกับถูกตั้งระบบเอาไว้
“เป็นอะไรไป~? หรือว่าอยากจะอ้อนฉันอีกอย่างงั้นเหรอ?”
อันนายิ้มน้อยๆ ถามเขาไป
“เธอทำแบบนี้ไปทำไม?”
“คือว่านะ ก่อนที่ฉันจะตอบเนี่ย นายที่ยืมตักฉันนอนหนุนแทนหมอนตั้งหลายชั่วโมง จะไม่กล่าวขอบคุณหรือชมเชยสักหน่อยเหรอ นี่นายเป็นสุภาพบุรุษแบบไหนกัน”
“……”
“ช่างเถอะ ที่ฉันทำไปก็แค่ความต้องการส่วนตัว เห็นนายนั่งหลับอยู่เลยคิดว่านั่งหลับแบบนั้นนานๆ คงจะปวดคอแย่ เลยให้ยืมใช้ตักของฉันเป็นกรณีพิเศษ แต่ทุกอย่างมันมีสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนล่ะนะ”
อันนาพูดพร้อมกับชูนิ้วชี้ขึ้นมา บ่งบอกว่ามีสิ่งที่เธอต้องการหนึ่งข้อเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เธอให้นานาเสะหนุนตักเธอ
“เธอต้องการอะไร?”
นานาเสะถามพร้อมทำท่าทีเย็นชาใส่อันนา ถ้าเกิดว่าเธอขออะไรแปลกๆ แล้วล่ะก็เขาจะปฏิเสธมันทันทีเลยคอยดู
“วันเสาร์นี้ช่วยมาเดินเที่ยวเล่นในเมืองเป็นเพื่อนฉันหน่อย พอดีฉันจะไปซื้อเสื้อผ้ากับทำอะไรหลายๆ อย่างที่ฉันอยากจะทำ แน่นอนว่านายต้องตามใจฉัน ห้ามปฏิเสธหรืออิดออดแม้แต่คำเดียวเลยนะ เพราะตอนนายนอนหนุนตักฉัน ฉันยังทำให้นายด้วยความเต็มใจเลย”
อันนาพูดถึงข้อแลกเปลี่ยนที่เธอต้องการ
“………”
นานาเสะเงียบ เขาพูดอะไรไม่ออก อันนามาทำอะไรตามใจชอบ ก่อนจะไล่ต้อนเขาด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่ดูยังไงๆ ก็เป็นการเอาเปรียบเขาอยู่ฝ่ายเดียว
แต่ครั้นจะปฏิเสธไปก็จะเป็นการเสียมารยาท เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเขานอนหนุนตักของเธอจริง แถมกินเวลานานตั้งหลายชั่วโมงด้วย แน่นอนว่าเขารู้สึกสดชื่นและดีขึ้นที่ได้นอนงีบเอาแรงบนตักของเธอ หลังจากที่นอนไม่หลับมานานหลายคืน เพราะอย่างนั้นแล้ว…
“……ก็ได้ วันเสาร์นี้ฉันจะไปเที่ยวเป็นเพื่อนเธอ”
นานาเสะถอนหายใจ ก่อนจะตอบตกลงข้อแลกเปลี่ยนของเธอไป และทำท่าจะลุกขึ้นยืน
“จริงเหรอ!! เย้!!”
อันนาตะโกนออกมาด้วยความดีใจและกำลังจะลุกขึ้นตามนานาเสะไป แต่เนื่องจากการนั่งท่าเดิมเป็นเวลานานทำให้ขาของเธอเกิดไม่มีแรงขึ้นมากะทันหัน และกำลังจะเซถลาล้มลง
“โอ๊ะโอ๋~”
อันนาอุทานออกมา พร้อมหลับตาเตรียมรับแรงกระแทก
“ระวัง!!”
นานาเสะที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตะโกนขึ้น ก่อนจะรีบเข้าไปช้อนร่างของอันนาเอาไว้ในทันที
“……”
“……”
มือข้างนึงของนานาเสะรองรับศรีษะของอันนาเอาไว้ไม่ให้กระแทกกับพื้น ส่วนมืออีกข้างก็ค้ำยันกับพื้นเพื่อไม่ให้ตัวเองไปกระแทกเข้ากับร่างอันบอบบางของเธอ ที่สำคัญใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่มาก จนสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
แสงพระอาทิตย์ยามเย็น ทำให้นานาเสะเห็นใบหน้าของอันนาที่มีท่าทีตื่นตระหนกเล็กๆ ได้อย่างชัดเจน
ส่วนอันนานั้น เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงมากกว่าตอนปกติ เพราะอย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ใกล้ชิดกับเด็กผู้ชายมากถึงขนาดนี้
ผลจากการที่นานาเสะเข้าไปรับร่างของอันนาเอาไว้ ทำให้ทั้งสองในตอนนี้อยู่ในท่าที่ล่อแหลม เสี่ยงต่อการถูกเข้าใจผิดหากใครมาพบเข้า
“ขอโทษที่ต้องล่วงเกินเธอนะ~”
นานาเสะค่อยๆ วางศรีษะของอันนาลงบนพื้น ก่อนจะลุกออกไปจากตัวของเธอ เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะส่งมือไปให้อันนาจับเพื่อดึงตัวลุกขึ้นมายืนเช่นเดียวกัน
“ระวังหน่อยสิ! ยัยบ้า!”
นานาเสะดุเธอเล็กน้อยหลังจากที่พวกเขาทั้งคู่ยืนขึ้นอย่างมั่นคงแล้ว
“แหม~ เป็นห่วงฉันด้วยงั้นเหรอ~”
อันนาพูดยิ้มๆ
“ไม่ได้เป็นห่วงเธอสักหน่อย ก็แค่…”
นานาเสะมีท่าทีลังเลเล็กน้อยที่จะพูดต่อ
“ก็แค่…?”
อันนาเอียงคอสงสัย แต่ยังคงมีรอยยิ้มกรุ้มกริ่มประดับบนใบหน้าอยู่
“ก็แค่ถ้าเธอบาดเจ็บขึ้นมา คนที่จะถูกตำหนิก็คือฉันที่อยู่กับเธอก็แค่นั้น”
นานาเสะพูด ก่อนจะก้าวเดินไปที่ประตูทางลงดาดฟ้า
“จ้า~ พ่อคนปากแข็ง ท่าทางของนายนี่น่ารักจริงๆ ให้ตายสิ~”
อันนาพูดก่อนจะเดินกึ่งวิ่งวนรอบตัวของนานาเสะ
ทั้งคู่กลับไปที่ห้องเรียนที่ว่างเปล่าเพื่อเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน ถ้าหากไม่นับพวกนักกีฬาชมรมเบสบอลที่ซ้อมอยู่ที่สนามของโรงเรียน และพวกนักกีฬาชมรมบาสเก็ตบอลที่อยู่ที่โรงยิมที่ทั้งคู่ได้ยินจากเสียงรองเท้าที่ดังเอี๊ยดอ๊าดตอนที่มันเสียดสีกับพื้นของโรงยิมแล้วล่ะก็ โรงเรียนในตอนนี้ก็แทบจะไร้ผู้คนเลยก็ว่าได้
“นี่…คือว่า…เรื่องเมื่อกลางวันน่ะ…ขอโทษนะ”
นานาเสะพูดขอโทษออกมา ในขณะที่อยู่ที่ตู้ล็อกเกอร์เก็บรองเท้า เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องขอโทษเธอให้ได้ เพราะเขาเป็นฝ่ายผิดที่ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเองก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากด้วย”
อันนาตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ
ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินกลับบ้านด้วยกัน แต่วันนี้กลับต่างออกไปตรงที่มีประโยคสนทนาเล็กๆ เกิดขึ้นประปรายตามทางที่พวกเขาทั้งคู่เดินกลับด้วยกัน
.
“กลับมาแล้วค่า~”
อันนากล่าวทักทายตอนเปิดประตูเข้ามาในห้องพัก
“ยินดีต้อนรับกลับจ้ะ อันนา”
ฮานาโกะที่ยืนทำอาหารอยู่ กล่าวทักทายตอบกลับไป
อันนาเดินฮัมเพลงอย่างมีความสุข จนฮานาโกะสังเกตว่าวันนี้อันนาดูมีความสุขมากกว่าวันที่ผ่านๆ มา เธอจึงเอ่ยถามออกไป
“มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นอย่างงั้นหรือเปล่าจ๊ะอันนา?”
อันนาที่กำลังจะเปิดประตูเข้าห้องของตัวเอง หันมายิ้มกว้างๆ จนตาหยี่ให้ฮานาโกะก่อนจะพูดออกมา
“ความลับค่ะคุณน้า~
และเดินเข้าห้องไป
ฮานาโกะยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะพึมพำออกมา
“แหม~ อันนาจังมีความลับซะแล้วงั้นเหรอเนี่ย?”
ก่อนที่เธอจะหันไปสนใจกับการทำอาหารตรงหน้าต่อ…