วันต่อมาที่เป็นวันอาทิตย์ หลังมื้ออาหารเช้าอันนาได้เข้ามาคุยกับฮานาโกะ เพื่อขออนุญาตเธอออกไปดูซากุระที่สวนอุเอโนะ สวนสาธารณะที่ห่างจากคอนโดที่เธอพักไปเพียงไม่กี่สถานี สวนสาธารณะที่เขาร่ำลือกันว่าเป็นสถานที่ยอดนิยมที่ไม่ควรพลาดในช่วงฤดูใบไม้ผลิของโตเกียว
“คุณน้าคะ หนูขออนุญาตไปดูซากุระที่สวนอุเอโนะได้ไหมคะ?”
อันนาถามฮานาโกะที่กำลังยืนล้างจานอยู่ที่อ่างล้างจาน
“เอาสิจ๊ะ แต่อันนาจังต้องระวังหลงทางด้วยนะจ๊ะ”
ฮานาโกะพูดอนุญาต
แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็เป็นกังวลเล็กน้อย เพราะสายรถไฟของญี่ปุ่นนั้นซับซ้อนมาก อันนาที่ไม่เคยขึ้นมาก่อนอาจจะหลงทาง หรือนั่งเลยสถานีเอาได้ง่ายๆ
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะคุณน้า หนูมั่นใจว่าจะไม่หลงทางแน่นอน”
อันนายืดอกเล็กน้อยพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
เมื่อฮานาโกะอนุญาตแล้วอันนาจึงไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดสำหรับออกไปข้างนอก เธอหยิบเสื้อผูกโบว์สีชมพูที่ซื้อมาเมื่อวาน พร้อมกับใส่กางเกงขายาวสีขาวที่ดูโปร่งสบาย เธอแต่งหน้าบางๆ และทาลิปสติกสีชมพูอ่อนๆ และพอจับองค์ประกอบทั้งหมดมารวมเข้าด้วยกัน ทำให้อันนาดูน่ารักและมีเสน่ห์ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“ไปแล้วนะคะ”
อันนาสวมรองเท้าผ้าใบสีชมพูอ่อนที่เข้ากับสีชุดของเธออย่างพอเหมาะพอดี ก่อนจะเปิดประตูออกไป ไม่รู้ทำไมแต่เธอมีลางสังหรณ์แปลกๆ ว่าวันนี้เธอจะไม่ได้ไปชมซากุระคนเดียว
“อ๊ะ!!”
อันนาเปิดประตูออกมาเจอนานาเสะที่แต่งตัวเหมือนว่ากำลังจะออกไปข้างนอกเช่นเดียวกัน
เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ สวมทับด้วยแจ็คเก็ตผ้ายีนส์ กางเกงเป็นกางเกงขาสามส่วนสีเนวี่บลู สวมรองเท้าผ้าใบสีดำ เรียกได้ว่าทั้งตัวของเขาคุมโทนเป็นสีโทนมืดทั้งหมด
แวบแรกที่เห็น อันนาคิดว่านานาเสะนั้นดูหล่อเอามากๆ และเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็ไหลย้อนเข้ามาในหัวของเธอ
“……”
นานาเสะจ้องอันนาโดยที่ไม่พูดอะไร
เขาเช็คพยากรณ์การบานของดอกซากุระในโตเกียว ก็พบว่าวันนี้เป็นวันที่เหมาะที่สุดในการชม ‘คันซันซากุระ’ ที่ตอนนี้มันกำลังบานสะพรั่งสวยงามอยู่ตามสวนสาธารณะต่างๆ ในโตเกียว
“คือว่า…จะไปไหนงั้นเหรอ?”
อันนาถามนานาเสะ
“ฉันจะไปดูซากุระ…”
นานาเสะตอบ พร้อมกับปิดประตูห้อง
“ไปด้วยกันกับฉันไหม? ฉันก็กำลังจะไปที่สวนอุเอโนะพอดีเลย”
เมื่อเห็นว่าจุดประสงค์เดียวกัน อันนาจึงเอ่ยปากชวนนานาเสะให้ร่วมทางไปกับเธอเสียเลย
“……”
นานาเสะมีความคิดที่จะปฏิเสธเธอในทีแรก เพราะเขาคิดว่าสวนอุเอโนะนั้นไกลเกินไป ต้องนั่งรถไฟไปหลายสถานี ซึ่งมันยุ่งยากและน่าจะกินพลังงานเขาไปเยอะ
แต่พอนานาเสะเห็นรอยยิ้มนุ่มนิ่มของอันนา พร้อมดวงตาราวกับคาดหวังคำตอบจากเขาอยู่ มันทำให้เขาต้องคิดทบทวนใหม่ จริงอยู่ที่เขาไม่อยากจะข้องแวะกับอันนามากนัก แต่มันก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่ที่จะปฏิเสธคำเชิญชวนของเด็กสาวที่เป็นบัดดี้ของตัวเอง ดังนั้นแล้วนานาเสะจึงตอบตกลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“โอเค ฉันจะไปกับเธอก็ได้”
“เย้!!! งั้นก็ไปกันเถอะ นานาเสะคุง”
อันนาเดินเตาะแตะเข้าไปหานานาเสะ ก่อนจะควงแขนเขา และลากเขาไปตามที่ใจเธอต้องการ
‘เอาอีกแล้วยัยนี่ ชอบทำอะไรไม่ระวังหน้าระวังหลังเลย’
นานาเสะคิดในใจ
เขากังวลว่าอันนาจะไปทำแบบนี้กับเด็กผู้ชายทุกคน และด้วยหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ อาจจะทำให้เด็กผู้ชายคนอื่นเข้าใจผิดเอาได้ว่าเธอกำลังมีใจให้ และมันอาจจะจบลงที่โศกนาฏกรรมความเศร้าของเด็กผู้ชายเหล่านั้น
แต่สิ่งที่นานาเสะไม่รู้ก็คือ อันนาจะทำแบบนี้แค่เพียงกับเขาเท่านั้น
.
.
เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้คนจึงแน่นขนัดไปทั่วทั้งสวน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยผู้คน
อีกทั้งวันนี้เป็นวันที่อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส อุณหภูมิกำลังอบอุ่นพอเหมาะ ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป เหมาะแก่การออกมาปิกนิกท่ามกลางซากุระที่กำลังบานสะพรั่งในช่วงกลางเดือนเมษายน
นานาเสะเดินไปตามเส้นทางภายในสวนสาธารณะที่รายเรียงไปด้วยต้นซากุระหลากหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์ก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวไปแล้ว แต่บางสายพันธุ์ก็พึ่งจะเริ่มบาน ดังนั้นแล้วมันจึงสวยงามไปอีกรูปแบบนึง
อันนาที่ควงแขนนานาเสะอยู่นั้นมองภาพความสวยงามของฤดูใบไม้ผลิตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น เธอผละตัวออกจากนานาเสะ พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป มุมนู้นบ้าง มุมนี้บ้าง
นานาเสะมีหน้าที่แค่เป็นคนคอยดูแลอันนา ไม่ให้มีคนแปลกหน้าเข้ามายุ่มย่ามกับเธอ เขามองภาพที่อันนากรี๊ดกร๊าดราวกับเด็กน้อย พลางนึกย้อนไปในอดีตที่เขาเคยทำร่วมกับเด็กผู้หญิงในความทรงจำของเขาอีกครั้ง
.
“นี่ๆ นานาเสะคุง ดูนี่สิ! ซากุระบานล่ะ!”
เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดพร้อมกับหมุนตัวมาหาเขาอย่างตื่นเต้น
“รู้แล้วแหละน่า…เธอเป็นเด็กน้อยหรือยังไงกัน ถึงได้ตื่นเต้นกับซากุระบานแค่นี้น่ะ”
นานาเสะในวัยมัธยมต้นถอนหายใจอย่างอ่อนใจ
“ไม่ใช่แค่ซากุระบานสิ!! มันคือสัญลักษณ์ของฤดูกาลแห่งการเริ่มต้นใหม่เชียวนะ ฤดูกาลที่ฉันชอบมากที่สุดเลยล่ะ”
เด็กผู้หญิงคนนั้นยกมือขึ้นเหนือศรีษะ ก่อนจะอ้ามันออกกว้างๆ
“……”
นานาเสะไม่ตอบ แต่กลับอมยิ้มน้อยๆ เพราะท่าทางของเด็กผู้หญิงคนนั้นที่น่ารักน่าชังเกินบรรยาย ในที่สุดเขาก็อดใจไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปบีบแก้มของเธอ และยืดมันออกเบาๆ
“โอ๊ย! อายอ่ะอำอะไอ!”
เด็กผู้หญิงคนนั้นประท้วง แต่เนื่องจากโดนยืดแก้มอยู่ ทำให้เธอพูดได้ไม่ชัดนัก
“แต่ถ้าให้ฉันเทียบแล้ว สำหรับฉัน ฉันว่าความสวยของดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิก็ยังสู้เธอไม่ได้เลยนะ เธอน่ะสวยและน่ารักกว่าเยอะเลย รู้ไหม”
นานาเสะพูดออกมา พร้อมกับปล่อยแก้มของเด็กผู้หญิงคนนั้น หลังจากดึงๆ ยืดๆ จนพอใจแล้ว
“ตาบ้า!! พูดอะไรออกมากัน!!”
เด็กผู้หญิงคนนั้นหน้าแดงก่ำ เมื่อโดนชมแบบนั้นเข้าไป
“ก็ฉันพูดความจริงนี่น……อุ๊บส์!!”
นานาเสะกำลังจะพูดต่อ แต่ก็ถูกเด็กผู้หญิงคนนั้นใช้มือปิดปากของเขาเอาไว้เสียก่อน
“เงียบเลยนะ!! ถ้านายไม่เงียบฉันจะโกรธนายแล้วนะ!!”
เด็กผู้หญิงคนนั้นพูด แต่นานาเสะเห็นว่าเธอไม่ได้มีท่าทีว่าจะโกรธเขาแต่อย่างใด การกระทำของเธอเป็นเหมือนทำไปเพื่อปกปิดความอายของตัวเองมากกว่า
.
‘จริงสิ ในตอนนั้นฉันเองก็……’
ฤดูใบไม้ผลิที่แสนอ่อนโยนของเขาก็คือเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย โลกของเขาสดใสและมีชีวิตชีวาได้ก็เพราะเธอคนนั้น
แต่แล้วความรู้สึกพวกนั้นก็พร่าเลือนจางไปโดยที่เขาไม่รู้ตัว พอรู้ตัวอีกทีทุกอย่างมันก็สายเกินจะหวนคืนกลับไปแก้ไข
ในขณะที่นานาเสะจมปลักอยู่กับความคิดของตัวเองอย่าเศร้าหมองอยู่นั้น อันนาที่เดินถ่ายรูปอย่างสนุกสนานก็หันมาเห็นเขาพอดี
ความเหงาและความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวจนน่าอึดอัดที่อันนาสัมผัสได้จากบรรยากาศรอบๆ ตัวของนานาเสะ ท่ามกลางผู้คนนับร้อยที่ยืนรายล้อม เธอรู้สึกว่าเขากำลังก่อกำแพงทางใจอะไรบางอย่างขึ้นมาอย่างเงียบๆ เพื่อกีดกันตัวเองออกจากสิ่งรอบตัว
อันนาจึงหยุดการถ่ายรูปของเธอ แล้วเดินเข้าไปหานานาเสะ ก่อนจะเอื้อมมือของเธอไปจับมือของเขา และถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“นี่…เป็นอะไรหรือเปล่า? นั่งพักสักหน่อยไหม?”
นานาเสะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ที่เรียกว่าความทรงจำก็ถูกดึงกลับมายังความเป็นจริงในปัจจุบัน สายตาที่เคยพร่าเลือนของเขากลับมาชัดเจนอีกครั้ง ดวงตาของเขาจ้องประสานเข้าไปในดวงตาสีฟ้ากลมโตของอันนา มันฉายแววความเป็นห่วงและความอ่อนโยนออกมาอย่างชัดเจน
“…ไม่หรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ แต่ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมากังวลด้วยหรอกนะ”
นานาเสะตอบปฏิเสธไป
อันนาที่ได้ยินคำตอบแบบนั้นก็นิ่วหน้าเล็กน้อย แต่ในเมื่อนานาเสะไม่อยากบอกเธอก็จะไม่บังคับ แต่ว่าความเศร้าในตอนนี้ของเขา เธอต้องทำให้มันหายไปเสียก่อน
อันนาดึงมือนานาเสะไปหาที่นั่งพัก ซึ่งก็เป็นม้านั่งภายในสวนสาธารณะ หลังจากบอกให้เขานั่งลงแล้ว เธอก็สั่งเขาที่กำลังทำหน้าเศร้าหมองด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและขึงขัง
“รอฉันอยู่ตรงนี้และห้ามไปไหน เข้าใจไหม?”
นานาเสะไม่เข้าใจว่าอันนากำลังจะทำอะไรหรือมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ แต่เขาก็พยักหน้าตอบรับไป
“อือ…”
แล้วจากนั้นอันนาก็วิ่งออกไป จนหายลับสายตาเขาไป นานาเสะที่กลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งก็เริ่มที่จะดำดิ่งสู่ห้วงความทรงจำในอดีตของตัวเองอีกครั้ง
.
ภาพของเด็กผู้หญิงคนนั้นที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ใต้ต้นซากุระที่กำลังผลิบานเต็มที่ เขาจ้องไปที่ใบหน้าของเธอคนนั้นอย่างไม่คิดจะละสายตา
เรือนผมสีดำที่พริ้วไสวตามสายลมเบาๆ ใบหน้าที่สวยราวกับภาพวาด ดวงตาสีดำขลับราวกับพญากวาง แต่คมเหมือนกับเสือ ริมฝีปากเป็นรูปกระจับ สีชมพูอ่อนสวยงาม
ข้อเท็จจริงนี้นี่เองที่นานาเสะเองตระหนักและย้ำเตือนอยู่กับตัวเองเสมอ ว่าเธอคนนั้นสวยและน่ารักขนาดไหน ชนิดที่ว่าถ้าจับเธอคนนั้นมายืนข้างต้นซากุระที่ว่าสวยนักสวยหนา เขากล้าการันตีได้เลยว่าต้นซากุระต้นนั้นต้องหม่นหมองลงไปอย่างแน่นอน
“สัญญากับฉันนะนานาเสะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะ”
คำสัญญาที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากเด็กผู้หญิงในความทรงจำ ภายใต้ต้นซากุระที่กำลังเบ่งบานอย่างงดงามในวันนั้น ถูกนานาเสะตอบรับแทบจะในทันที โดยที่ไม่ต้องคิดให้มากความ
“อื้ม! สัญญาสิ”
แต่ในวันนี้มันกลับกลายเป็นโซ่ตรวนพันธนาการเขาไม่ให้สามารถหลุดพ้นหรือหนีไปจากความรู้สึกนี้ได้
.
นานาเสะนั่งซึมอยู่แบบนั้นพักใหญ่ๆ จนกระทั่งอากาศที่ร้อนขึ้นในช่วงเที่ยงวันทำให้เขารู้สึกกระหายน้ำขึ้นมา
‘ยัยนั่น…ไปไหนกันนะ?’
นานาเสะคิดในใจ ถ้านับจากตอนที่อันนาวิ่งหายไป หากกะเวลาคร่าวๆ แล้วก็คงประมาณ 15 นาทีเห็นจะได้
‘หรือว่าจะหลงทาง? คงไม่ได้ถูกพวกผู้ชายเข้ามายุ่มย่ามจนตกที่นั่งลำบากหรอกใช่ไหม?’
นานาสะคิดไปต่างๆ นานา จนเขามีความคิดที่จะออกไปตามหาอันนา แต่อีกใจนึงของเขาก็บอกว่าให้เขารอเธออยู่ที่เดิม เพราะถ้าเกิดเธอกลับมาแล้วไม่เจอเขา มันจะวุ่นวายเข้าไปใหญ่
“อุ๊!!!!!!”
ในขณะที่เขากำลังสองจิตสองใจว่าจะออกไปตามหาเธอดีไหม ก็มีอะไรบางอย่างที่เย็นเฉียบแนบเข้ามาที่แก้มของเขา จนเขาเผลอส่งเสียงแปลกๆ ออกไป
“คิกๆๆ นายนี่ทำเสียงแปลกดีนะ”
พอนานาเสะหันไป ก็พบกับอันนายืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ข้างๆ ในมือเธอถือขวดน้ำอัดลมเอาไว้สองขวด
“……”
นานาเสะจ้องหน้าเธออย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก
“Hey! Hey! Just kidding mate, Don’t upset yet”
อันนาพูดทำหน้าทะเล้น ก่อนจะนั่งลงข้างๆ เขา
“…นั่นอะไร?”
นานาเสะปัดความหงุดหงิดและความกังวลที่มีต่อตัวของอันนาทิ้งไป พลางหันไปสนใจขวดน้ำหวานที่เธอถือมา
“อ๊ะ! จริงสิ เอ้านี่ของนาย ดื่มมันซะสิ แล้วทำตัวร่าเริงเข้าไว้นะ กว่าจะหามันได้ ฉันวิ่งเหนื่อยแทบตายเลยล่ะ”
อันนาพูดพร้อมกับยื่นขวดน้ำอัดลมให้กับนานาเสะ
นานาเสะรับมันไปพร้อมกับเปิดฝาเพื่อดื่มดับกระหาย เขาหวังว่าอย่างน้อยความหวานและความซ่าของน้ำอัดลมจะช่วยเขาให้หลุดพ้นจากความเศร้าที่กำลังเกาะกุมหัวใจของเขาในตอนนี้ได้
นานาเสะดื่มมันจนหมดแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหายเศร้าแต่อย่างใด เขายังคงรู้สึกเศร้าอยู่เหมือนเดิม
อันนาที่เห็นนานาเสะทำหน้าเศร้าๆ พร้อมกับปล่อยบรรยากาศหดหู่ออกมาแบบนั้น จึงเอ่ยถามออกมา
“คือว่า…หนุนตักหน่อยไหม? แต่ว่าครั้งนี้ไม่คิดค่าตอบแทนหรอกนะ”
นานาเสะหันมามองอันนาอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่เธอจะสื่อ ซึ่งเธอตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มนุ่มนิ่มที่ชวนให้หลงใหล
“อะไรของเธอกัน? น่าอายจะตาย อีกอย่างเธอกับฉันไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ขืนมีคนที่โรงเรียนมาเห็นเข้าคงมีข่าวลือแปลกๆ ที่น่าปวดหัวตามออกมาอีก”
นานาเสะพูด พร้อมกับเงยหน้ามองซากุระที่กำลังพลิ้วไหวตามสายลม
นอนหนุนตักงั้นเหรอ? ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าตัวเขากับเด็กผู้หญิงคนนั้นเองก็เคยทำตอนออกมาปิกนิกใบไม้ผลิด้วยกัน เมื่อตอนหลายปีก่อนด้วยนี่นะ
แต่ก่อนที่นานาเสะจะทันได้ตั้งตัวไปมากกว่านี้ ศรีษะเขาก็สัมผัสกับอะไรบางอย่างที่นุ่มนิ่ม จมูกก็ได้กลิ่นหอมสดชื่นของส้มยูซุอ่อนๆ ที่โชยมาจากตัวของอันนา
ดูเหมือนว่าเขาจะถูกเธอบังคับให้นอนลงบนตักของเธอเสียแล้ว และเนื่องจากมันเป็นเรื่องที่กะทันหัน เขาจึงไม่สามารถตอบสนองได้ในทันที
“ทำอะไรของเธอ?”
พอตั้งสติได้ นานาเสะก็ถามออกมา พร้อมกับทำท่าจะลุกขึ้น แต่เขากลับทำไม่ได้เพราะโดนอันนาออกแรงกดศรีษะเอาไว้
“มัวแต่วางท่าอยู่นั่นแหละ ฉันรู้หมดนั่นแหละว่านายต้องการอะไร หรืออยากให้เอาใจแบบไหน สายตาของนายมันฟ้องฉัน”
อันนาพูดขึ้น สายตาของนานาเสะฟ้องเธอว่าในตอนนี้เขากำลังเจ็บปวดอยู่
“พูดอย่างกับเธอรู้จักฉันดีอย่างงั้นแหละ ทั้งๆ ที่เธอพึ่งรู้จักฉันได้สองสัปดาห์เท่านั้นเอง”
นานาเสะตอบกลับ
เขายังพยายามที่จะออกแรงขัดขืนเธอเพื่อลุกขึ้นอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงของเขามันหายไปไหนหมด เลยทำให้ในตอนนี้เขาตกอยู่ในสภาพที่น่าอายต่อหน้าผู้คนที่มาชมซากุระเช่นเดียวกันกับพวกเขา
“ฮะๆ นั่นสินะ แต่ว่านะถึงฉันจะไม่รู้ว่านายเจ็บปวดกับเรื่องอะไร แต่ว่านะ ถ้านายมีความสุข นายก็แค่หัวเราะออกมา ถ้ารู้สึกเศร้าก็แค่ร้องไห้ปลดปล่อยมัน ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองเถอะนะ นานาเสะ”
อันนาพูด พร้อมกับลูบหัวของนานาเสะเบาๆ เพื่อขจัดรากเหง้าของความคิดที่จะต่อต้านเธอของเขา
“นั่นไม่ใช่เรื่องของเธอสักหน่อย”
นานาเสะพูดพร้อมเอียงศรีษะขึ้นไปมองอันนาที่กำลังก้มลงมามองเขา
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ความพยายามในการต่อต้านเธอของเขาก็หยุดลงแล้ว เขาตัดสินใจว่าในเมื่อต่อต้านเธอไม่ได้ก็แค่ปล่อยตัวตามสบายไปก็เท่านั้น ถึงมันจะน่าอายนิดหน่อยที่ทำต่อหน้าคนเยอะๆ แบบนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายหรือผิดศีลธรรมอะไรสักหน่อย
“ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องของนาย เพราะฉันเป็นคนนอกสำหรับนาย แต่ว่านะนานาเสะ ในฐานะของบัดดี้ของนายแล้ว ฉันไม่อาจจะปล่อยให้บัดดี้ของฉันจมอยู่กับความทุกข์แบบนั้นได้หรอกนะ”
อันนาพูด พร้อมกับเกลี่ยแก้มของนานาเสะไปด้วย
“…ทำไมพวกเธอทั้งคู่ต้องเหมือนกันด้วย…”
นานาเสะพูดพึมพำเบาๆ พลางคิดถึงในอดีตตอนที่เด็กผู้หญิงคนนั้นยื่นมือเข้ามาหาเขาในช่วงเวลาที่เขาต้องการใครสักคน เธอคนนั้นก็พูดในทำนองเดียวกันกับอันนาในตอนนี้
“หืม~ นายได้พูดอะไรหรือเปล่า?”
อันนาถามนานาเสะ เนื่องจากเธอได้ยินไม่ถนัดนัก
“เปล่า…ไม่มีอะไร…”
นานาเสะตอบอันนากลับไป
ก่อนที่เขาจะขยับร่างกายเล็กน้อย ยกขาขึ้นมาวางบนม้านั่งจนอยู่ในท่านอนสบายๆ พร้อมกับทิ้งน้ำหนักทั้งหมดของร่างกายให้เป็นไปตามแรงโน้มถ่วง
อันนาอมยิ้มน้อยๆ นานาเสะยอมรับในตัวเธอแล้วในตอนนี้ เธอจึงทำในสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นการโอบอุ้มความรู้สึกแย่ๆ ของเขาเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการลูบหัว การร้องเพลงกล่อมเด็กเป็นภาษาเยอรมันเบาๆ หรือเกลี่ยแก้มของเขาอย่างอ่อนโยน ทั้งหมดนี่ก็เพื่อให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น เพราะสมัยเด็กๆ ตอนที่เธอไม่สบายใจ แม่ของเธอจะทำแบบนี้กับเธอเสมอ
สายลมเย็นๆ บวกกับ เสียงเพลงเพราะๆ ที่อันนาร้องกล่อมให้เขาฟัง มันทำให้นานาเสะที่นอนพักผ่อนไม่เพียงพอเริ่มรู้สึกหนักอึ้งที่เปลือกตา
อันนาที่เห็นแบบนั้นจึงกระซิบที่ข้างหูของนานาเสะเบาๆ
“จะหลับก็ได้นะ เดี๋ยวฉันปลุกเอง…”
พออันนาพูดจบ นานาเสะก็ปล่อยทุกอย่างให้ไหลไปในแบบที่มันควรจะเป็น และจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งการหลับไหลอย่างรวดเร็ว
อันนายิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนเมื่อจังหวะการหายใจของนานาเสะเข้าออกเป็นจังหวะ เป็นสัญญาณว่าเขากำลังนอนหลับโดยไร้ความทุกข์ใจอยู่บนตักของเธอ
ห่างออกไปไม่ไกลนักในกลุ่มของคนที่มาชมซากุระ มีสายตาสองคู่กำลังจับจ้องมาที่พวกเธออยู่
“นี่ๆ นั่นใช่คุณฮอฟมันกับเรียวอิจิคุงหรือเปล่า?”
“เอ๊ะ! ใช่จริงๆ ด้วย แล้วทำไมเรียวอิจิคุงถึงไปนอนหนุนตักคุณฮอฟมันแบบนั้นกันล่ะ?”
“นั่นน่ะสิ! หรือว่าพวกเขาจะคบกันอยู่อย่างงั้นเหรอ?”
“พรุ่งนี้เราถามเธอกันดีไหม?”
“เอาสิ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามีอะไรที่พวกเราไม่รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่หรือเปล่า”
อันนาหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อสายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดเข้ามาปะทะหน้าของเธอ ในขณะเดียวกันก็มีอีกสิ่งนึงที่เธอไม่รู้เลย นั่นก็คือสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงระลอกใหม่ของชีวิตเธอกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว…