เมื่อวันเสาร์มาถึง วันนี้เป็นวันที่อันนานัดกับนานาเสะเอาไว้ว่าจะมาเดินเที่ยวเล่นด้วยกัน ดั้งนั้นวันนี้เธอจึงแต่งตัวน่ารักเป็นพิเศษ และมายืนรอเขาที่จุดนัดพบหน้าสถานีรถไฟ
อันนาอยู่ในชุดเดรสเปิดไหล่สีขาวตัวโปรด ที่ดูจะช่วยขับผิวสีขาวราวกับไข่มุกของเธอให้ขาวยิ่งขึ้นไปอีก เธอแต่งหน้าเล็กน้อยแต่พองาม ทาลิปสติกสีชมพูส้มพีช ฉีดน้ำหอมกลิ่นซากุระ ทั้งนี้ก็เพื่อดึงเสน่ห์ของตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด
อันนาก้มมองดูนาฬิกาสลับกับชะเง้อมองหาคนที่เธอรอคอยอยู่เป็นระยะๆ นี่ก็จวนจะถึงเวลานัดแล้ว แต่นานาเสะยังไม่โผล่มาแม้แต่เงาเลย
“ไปไหนของเขากันนะ?”
อันนาพึมพำกับตัวเอง
ชั่วขณะนึงเธอมีความคิดว่านานาเสะจะเบี้ยวนัดเธอ แต่ความคิดนั้นก็ถูกปัดตกไป เพราะจากลักษณะนิสัยของเจ้าตัวแล้ว หากรับปากใครเอาไว้แล้ว เขาจะทำตามที่รับปากทุกอย่างโดยไม่มีบิดพลิ้ว
“นี่สาวน้อยตรงนั้นน่ะ ไปเที่ยวเล่นกับพวกเราไหม?”
เสียงปริศนาดังขึ้นที่ด้านหลังของอันนา
เมื่อเธอหันไปดูก็พบกับกลุ่มผู้ชายที่ดูทรงแล้วน่าจะอายุมากกว่าเธอ พวกเขามีกันสามคน หนึ่งในนั้นกำลังยิ้มกรุ้มกริ่มให้เธอ
‘อะไรเนี่ย? พวกขี้หลีงั้นเหรอ?’
อันนาคิดในใจ
“ว่ายังไงล่ะ สนใจไปเที่ยวเล่นกับพวกเราไหม? จะพาไปทำอะไรสนุกๆ ด้วยนะ”
ผู้ชายคนที่ยิ้มให้เธอพูดถามเธออีกครั้ง
ด้วยความที่อันนามีหน้าตาน่ารัก ผมสีบลอนด์ธรรมชาติที่หาไม่ได้ในญี่ปุ่น นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนอย่างชาวยุโรป คงจะดึงดูดพวกคนประเภทนี้ให้เข้าหาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ยิ่งวันนี้เธอแต่งตัวและแต่งหน้าให้ดูน่ารักกว่าปกติก็ยิ่งแล้วใหญ่
“ขอโทษด้วยค่ะ พอดีมีนัดแล้ว”
อันนาพูดเยอรมันใส่คนพวกนั้น เพื่อหวังที่จะให้พวกเขาผงะและถอยห่างออกไปไม่มายุ่งกับเธออีก
แต่ผิดจากที่เธอคาดเอาไว้ นอกจากพวกเขาจะไม่ไปไหนแล้ว ยังแสดงท่าทีสนใจในตัวเธอเพิ่มขึ้นอีก
“เฮ้ยๆ ชาวต่างชาติจริงๆ ด้วยว่ะ!”
“เออ สวยด้วย ของดีหายากเลยนะเนี่ย”
“ว่าแต่เธอพูดว่าอะไรนะ?”
พวกเขาซุบซิบกันในกลุ่ม แล้วผู้ชายคนเดิมก็พูดเป็นภาษาอังกฤษออกมา แต่มันก็ฟังยากเสียเหลือเกิน
“Can you speak Japanese?”
อันนาถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ คนพวกนี้ช่างตื้อเสียจริง
“ขอโทษด้วยค่ะ แต่ว่าฉันคงไปด้วยไม่ได้ พอดีว่าฉันมีนัดแล้ว”
เธอโค้งตัวเล็กน้อย ก่อนที่จะเตรียมเดินออกไปจากคนพวกนี้
‘หมับ!!’
ข้อมือของอันนาถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิสาวน้อย! ถ้าเธอมีนัดกับเพื่อนก็ชวนเพื่อนเธอไปด้วยกันกับพวกเราได้นะ”
ผู้ชายอีกคนนึงพูดกับเธอ เขาไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้มีปฏิสัมพันธ์กับสาวที่น่ารักขนาดนี้ให้หลุดลอยไปง่ายๆ หรอกนะ
อันนาที่ถูกคนแปลกหน้าแตะเนื้อต้องตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ความรู้สึกรังเกียจในตัวของพวกเขาเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเธอ
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะคะ!!”
อันนาพูดขึ้นเสียง จนคนที่เดินผ่านไปมาหันมามอง
“เฮ้! ไม่เอาน่า อย่าอารมณ์เสียไปเลยสาวน้อย เดี๋ยวพวกเราพาไปทำอะไรสนุกๆ เอง”
ผู้ชายที่จับแขนของเธอพูดขึ้น พร้อมออกแรงดึงเพื่อหวังจะลากอันนาไปกับพวกเขา
อันนาอยากจะตบหน้าคนพวกนี้สักฉาดเพื่อสั่งสอนบทเรียนเรื่องมารยาทให้แก่พวกเขา เธอเตรียมเงื้อมือที่จะตบแล้ว แต่ในขณะนั้นเองเสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของพวกผู้ชายพวกนั้น
“นั่นพวกคุณกำลังจะทำอะไรผู้หญิงคนนั้นกันครับ?”
ทั้งสามคนหันไปมองยังต้นเสียง ก็พบกับร่างของนานาเสะยืนอยู่
อันนาเห็นร่างของคนที่เธอรอคอย เธอจึงสะบัดแขนออกจากเงื้อมมือของพวกผู้ชายกลุ่มนั้น ก่อนจะพุ่งเขาไปควงแขนของนานาเสะ พร้อมกับทำท่าทีออดอ้อนเขา
“กำลังรออยู่เลย ‘นานาเสะคุง’”
นานาเสะไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้เธอทำแบบนั้นไปก่อน เขาหันไปเผชิญหน้ากับกลุ่มวัยรุ่นพวกนั้น
“มีอะไรกับเธอคนนี้หรือเปล่าครับ?”
นานาเสะเขม่นพวกเขาทางสายตา ถ้าหากเขาพูดออกมาได้ก็คงพูดในทำนองที่ว่า ‘ไปให้พ้น! จากผู้หญิงคนนี้เดี๋ยวนี้!!’
พวกกลุ่มผู้ชายที่เข้ามาเกาะแกะกับอันนา พอโดนนานาเสะส่งสายตาที่ไม่เป็นมิตรใส่ก็พากันทำตัวกันไม่ถูก พวกเขาไม่อยากที่จะมีเรื่องกับนานาเสะจึงพากันถอยออกไปและบ่นกันเล็กน้อย
“ชิ! มีแฟนอยู่แล้วงั้นเหรอ เสียดายชะมัด”
“จริงด้วย นึกว่าจะได้ทำอะไรสนุกๆ ด้วยกันซะอีก”
พอคนพวกนั้นจากไปแล้วนานาเสะจึงหันมามองอันนาที่กำลังเกาะแขนเขาอยู่ ก่อนจะพูดถามเธอเสียงเรียบ
“ปล่อยฉันได้แล้ว!! แล้วก็ทำไมถึงเรียกฉันแบบนั้น?”
เพราะปกติอันนาจะเรียกนานาเสะด้วยนามสกุล ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาถูกเธอเรียกด้วยชื่อจริงของเขา ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่
“เอ๋? ไม่ได้งั้นเหรอ?”
อันนาถามพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม อีกทั้งยังไม่ยอมปล่อยแขนของเขาอีกด้วย นานาเสะจึงตระหนักได้ในทันทีว่านี่เป็นเพียงการเล่นสนุกของเธอเท่านั้น
“ก็ไม่ได้น่ะสิ ยัยบ้า!! เธอไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย!!”
นานาเสะพูดกับอันนาเสียงดัง เพราะนอกจากคนในครอบครัวและเด็กสาวในความทรงจำแล้ว เขาก็ไม่เคยอนุญาตให้ใครเรียกชื่อจริงของตัวเขาอีกเลย
“ถ้าอย่างงั้นฉันขอเป็นกรณีพิเศษได้ไหม แค่เฉพาะตอนอยู่ด้วยกันสองต่อสองก็พอ”
อันนาพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
นานาเสะพิจารณาอยู่สักครู่ เขารู้ดีว่าถึงจะปฏิเสธไป แต่ด้วยนิสัยของเธอแล้วยังไงวันใดวันนึงในวันข้างหน้า ก็ไม่พ้นที่จะเรียกชื่อจริงของเขาเพื่อหยอกล้อเขาอยู่ดี ดังนั้นแล้ว…
“ก็ได้…แต่แค่เฉพาะตอนอยู่กับฉันสองต่อสองนะ และห้ามเรียกชื่อจริงฉันต่อหน้าคนอื่นๆ ในห้องเด็ดขาด”
“เย้!!! ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ นานาเสะคุง!”
อันนากระโดดดีใจตัวลอย ก่อนจะลากนานาเสะไปยังห้างสรรพสินค้าด้วยความตื่นเต้น
‘อะไรของยัยนี่กันนะ?’
นานาเสะที่ไม่ทันตั้งตัวจึงถูกลากไปอย่างง่ายดาย
ในความคิดของอันนา การได้เรียกชื่อจริงของนานาเสะถือเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาที่สำคัญมากก้าวนึง นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเธอถึงได้ดูดีใจจนเวอร์วังเสียขนาดนั้น
.
นานาเสะถูกอันนาลากมาที่ร้านขายเสื้อผ้าสตรีแห่งนึงภายในห้างสรรพสินค้า เพราะเธอบอกว่าอยากได้เสื้อผ้าชุดใหม่ที่มันดูน่ารักๆ กว่านี้ โดยเธออยากให้นานาเสะช่วยเลือกให้เธอด้วย ว่าถ้าใส่ตัวไหนแล้วมันจะดูเข้ากับเธอมากที่สุด
ในขณะที่เดินเลือกซื้อเสื้อผ้า เธอยังคงควงแขนเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เธอถามนานาเสะว่าตัวไหนเหมาะกับเธอบ้าง นานาเสะก็จิ้มเลือกมั่วๆ ไป เพราะเขาไม่มีความรู้เรื่องเสื้อผ้าผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย
แต่ตัวที่นานาเสะจิ้มเลือกนั้นดันไปถูกใจอันนาด้วยเสียอย่างนั้น เธอจึงอยากจะลองสวมดูเพื่อดูว่ามันเหมาะกับเธอจริงๆ หรือเปล่า
ดังนั้นแล้ว ในตอนที่อันนาเข้าไปลองเสื้อผ้า นานาเสะต้องยืนรอเธอที่ด้านนอก เขาสัมผัสได้ถึงสายตาของผู้หญิงในร้านที่จ้องมาที่เขา มันทำให้เขารู้สึกเขินเล็กน้อย
“ดูนั่นสิเธอ ผู้ชายคนนั้นหล่อชะมัดเลยเนอะ นายแบบหรือเปล่านะ?”
“จริงอย่างที่เธอว่า หล่อขนาดนั้นเป็นนายแบบได้เลยนะ แต่เสียดายที่เขามีแฟนแล้วน่ะสิ”
เสียงกระซิบของลูกค้าหญิงสองคนที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล ที่พูดเกี่ยวกับหน้าตาของนานาเสะที่หล่อเหลาชนิดที่ว่าเขาสามารถเป็นนายแบบของนิตยสารได้ ถ้าหากเขาอยากเป็น
แน่นอนว่านานาเสะก็ได้ยินเช่นกัน แต่เขาเลือกที่จะปล่อยผ่านไป ความคิดที่จะเป็นนายแบบนิตยสารนั่น ไม่มีอยู่ในหัวเขาอยู่แล้ว แต่เขาก็ต้องชะงักตอนที่ได้ยินพวกเขาเรียกอันนาว่าเป็นแฟนของเขา
“นี่นานาเสะ…ฉันเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว อยากจะดูไหม?”
อันนาพูด พร้อมกับโผล่หัวออกมาจากห้องลองชุด
“……”
นานาเสะเงียบไม่ตอบกลับ ไม่แสดงออกทางสีหน้าด้วยว่าอยากหรือไม่อยากชม
“แต่นแต๊น!!”
อันนาไม่รอคำตอบจากเขา เธอแหวกผ้าคลุมออกในทันที
เธออยู่ในชุดเบลาส์สีน้ำเงิน สวมด้วยกางเกงขายาวสีขาว ซึ่งดูเหมาะและเข้ากับอันนามากๆ แต่นานาเสะจำเป็นต้องเบนหน้ามองไปยังทิศอื่น เพราะว่าจุดดึงดูดสายตามันไปรวมไว้แถวๆ หน้าอกที่ใหญ่เกินเด็กผู้หญิงในวัยเดียวกันของเธอ
“นี่! ทำไมนายถึงได้มองไปทางอื่นกันล่ะ? หรือว่าชุดนี้มันดูไม่เหมาะกับฉันงั้นเหรอ?”
อันนาเอียงคอถามด้วยความสงสัย
‘หัดรู้ตัวซะบ้าง ยัยบ๊องเอ๊ย!!’
นานาเสะตะโกนกู่ร้องเสียงดังอยู่ภายในใจ แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมีเพียงการส่ายหน้า ก่อนจะชมเธอออกมาตรงๆ
“ไม่หรอก เหมาะมากเลยล่ะ…”
นานาเสะนั้นถูกสอนมาตั้งแต่เด็กอยู่เสมอ ว่าให้ซื่อตรงกับสิ่งที่ตัวเองเห็นหรือสัมผัส ดังนั้นเมื่อเห็นชุดที่อันนาสวมแล้วมันเหมาะกับเธอ เขาก็ชมมันออกมาอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา
“งะ…งั้นเหรอ? งะ…งั้นฉันจะลองตัวอื่นด้วย!!”
อันนาที่ถูกชมเข้าไปก็ทำตัวไม่ถูก เธอไม่คิดว่านานาเสะจะชมออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยและเป็นธรรมชาติขนาดนี้ เธอจึงรีบปิดผ้าม่านเพื่อปิดความเขินอายของตัวเองในทันที
.
“ขอบคุณที่อุดหนุนค่า~”
เสียงของพนักงานประจำร้านพูดขอบคุณ หลังจากอันนาชำระเงินค่าชุดที่ซื้อมา เธอเลือกซื้อมาประมาณ 2-3 ชุด ซึ่งทุกชุดเป็นชุดที่ใส่แล้วถูกนานาเสะชมทั้งหมด
อันนาควงแขนนานาเสะเดินต่อไปที่ร้านขายขนมหวานแห่งนึง ก่อนจะหาที่นั่งเหมาะๆ สำหรับเผื่อกรณีถ่ายรูป เธอไม่ให้นานาเสะเป็นคนเลือก เพราะจากประสบการณ์แล้ว การที่ปล่อยให้นานาเสะเลือกที่นั่งเองมันคือความผิดพลาดอย่างมหันต์
พอหย่อนก้นลงนั่งตรงที่มุมที่อันนาคิดว่าเหมาะแล้ว พนักงานของร้านก็เดินเข้ามารับเมนูจากทั้งสองคน
“ไม่ทราบว่าจะรับเป็นอะไรดีคะ?”
“ขอเป็นเค้กชาเขียวกับพาร์เฟต์ผลไม้รวมและสมูทตี้บลูเบอร์รี่ที่นึงค่ะ”
อันนาดูเมนูก่อนจะสั่งด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“รับทราบค่ะ แล้วคุณแฟนจะรับเป็นอะไรดีคะ?”
พนักงานหันมาถามนานาเสะที่นั่งกอดอกแล้วเหม่อมองออกไปยังข้างนอกร้านอยู่
นานาเสะที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับคิ้วกระตุก ก่อนจะตอบปฏิเสธออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไหร่
“ผมไม่ใช่แฟนของเธอครับ แล้วก็ขอกาแฟเย็นที่นึงครับ”
พนักงานก็จดเมนูที่นานาเสะสั่ง และทวนเมนูของทั้งสองคนเพื่อป้องกันความผิดพลาด ก่อนที่จะจากไป
รออยู่สักประมาณสิบนาที สิ่งที่พวกเขาสั่งก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ อันนาดูจะตื่นเต้นกับของหวานพวกนี้มาก เธอกรี๊ดกร๊าดเบาๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปของหวานพวกนั้น และลงมือทานมันอย่างมีความสุข
ระหว่างที่ทานอันนาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองถูกนานาเสะจ้องตาไม่กะพริบ เธอจึงแหย่เขาไปเล่นๆ ตามประสา
“มีอะไรติดที่หน้าฉันงั้นเหรอ? จ้องตาไม่กะพริบเชียว หรือว่านายอยากจะทานเจ้าพวกนี้ด้วยงั้นเหรอ? ให้ฉันป้อนเอาไหม?”
อันนายิ้มกรุ้มกริ่ม ในใจของเธอตะโกนว่า ‘สำเร็จ เป็นไงล่ะ! จะตอบฉันแบบไหนกันล่ะ นานาเสะ’
“……ที่ลากฉันมานี่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
นานาเสะถอนหายใจ ไม่รับมุขของอันนา และถามคำถามออกไป เนื่องจากเขายังไม่ไว้ใจเธอเท่าไหร่ ถ้าเกิดว่ามันเป็นแผนของเธอที่จะทำให้ใครสักคนในโรงเรียนมาเห็นเขากับเธอเดินด้วยกัน จากนั้นก็จะถูกเอาไปลือในโรงเรียน จนกลายเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและน่ารำคาญรบกวนต่อชีวิตเขาแน่ๆ
อันนาตักเค้กเข้าปาก ก่อนจะตอบนานาเสะด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องระแวงฉันขนาดนั้นก็ได้ ฉันเข้าใจดีว่าการมาเที่ยวกับผู้หญิงที่สวยและน่ารักอย่างฉันทำให้นายลำบากใจ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ทำตัวสบายๆ เข้าไว้น่า”
คำตอบของอันนาทำให้นานาเสะกลอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่ายใจ พลางคิดในใจโดยที่เธอไม่รู้
‘อะไรของยัยนี่กันนะ ทำตามใจตัวเองชะมัด’
แต่นานาเสะก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปอีก จนกระทั่งอันนาจัดการทุกอย่างเรียบร้อย
ในขณะที่เธอกำลังจะเดินไปจ่ายเงิน นานาเสะก็ปรามเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องจ่าย เดี๋ยวฉันจ่ายเอง”
ที่นานาเสะออกหน้าว่าจะจ่ายค่าเค้กให้อันนา นั่นก็เพราะเขาไม่อยากจะติดหนี้บุญคุณที่หนุนตักเธอในตอนนั้น
“เอ๋? เอาจริงเหรอ แต่มันแพงมากๆ เลยนะ”
อันนากะพริบตาปริบๆ
“อืม…”
นานาเสะตอบกลับสั้นๆ ก่อนจะควักเงินออกมาจ่ายค่าของหวานให้อันนา ซึ่งก็แพงอย่างที่เธอว่าจริงๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้นานาเสะรู้สึกสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
พอจ่ายเงินเสร็จอันนาก็เข้ามาคล้องแขนของนานาเสะต่อ ก่อนจะลากเขาไปร้านอาหารร้านนึงที่ฮานาโกะบอกเธอก่อนออกมาเที่ยว ว่าร้านอาหารร้านดังกล่าวเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่อร่อยที่สุดในย่านนี้ ซึ่งเธออยากลองชิมมัน
‘ลำดับการกินของคาวของหวานของยัยนี่ต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ’
นานาเสะคิดในใจ ในตอนที่โดนอันนาลากไปยังร้านอาหารที่ว่า
ระหว่างทางที่เดินไปที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่อีกฟากของห้างสรรพสินค้านั้น ด้วยใบหน้าที่ดูน่ารักของอันนา และใบหน้าที่หล่อเหลาของนานาเสะ ทำให้ผู้คนทั้งชายและหญิง ที่เดินสวนพวกเขาไปถึงกับต้องหันหลังมาเหลียวมองอีกรอบ
“ดูคู่รักคู่นั้นสิ น่ารักจังเลยเนอะ”
“จริงด้วย ผู้หญิงก็น่ารัก ผู้ชายก็หล่อ ฉันต้องทำบุญด้วยอะไรนะถึงจะโชคดีเจอคนที่หน้าตาดีแบบนั้นบ้าง”
เสียงซุบซิบของผู้หญิงกลุ่มนึงดังมาเข้าหูของของทั้งคู่
อันนายิ้มกว้างๆ อย่างมีความสุขที่ได้แกล้งนานาเสะ จนทำให้คนเข้าใจผิด ส่วนนานาเสะทำหน้ามืดมนพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างไม่ค่อยจะพอใจ นี่เขาต้องทำยังไงกันนะถึงจะบอกทุกคนได้ว่า เขาไม่ใช่แฟนของยัยคนพลังงานเหลือล้นคนนี้
ไม่นานนักพวกเขาก็เดินมาถึงร้านอาหารร้านที่ว่า
หลังจากเลือกที่นั่งได้แล้วอันนาก็สั่งเมนูที่เธออยากลองมานาน นั่นก็คือ ‘ข้าวหน้าเนื้อ’ ส่วนนานาเสะนั้นสั่งเมนู ‘ข้าวไก่คาราอาเกะ’
รออยู่สักพักอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ อันนาจึงไม่รอช้าลงมือทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย แต่ในขณะที่ทานก็สังเกตว่านานาเสะนั้นดูจะเจริญอาหารมากกว่าปกติที่เธอเคยเห็น อีกทั้งยังมีบรรยากาศที่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เธอทำหมูตุ๋นมันฝรั่งกับแครอทให้เขาทานในคาบคหกรรมตอนนั้นไม่มีผิด เธอจึงคาดเดาว่า ไก่คาราอาเกะน่าจะเป็นอาหารที่เขาชอบ
หลังจากทานอาหารเสร็จและอันนากำลังจะจ่ายเงินค่าอาหารในส่วนของตัวเอง นานาเสะก็ปรามเธอเอาไว้อีกครั้ง ก่อนจะถือวิสาสะออกเงินค่าอาหารให้เธอ แม้ว่ามันจะมีราคาที่ค่อนข้างแพง แต่นานาเสะก็จ่ายได้สบายๆ อย่างไม่มีปัญหา จนทำให้อันนาเริ่มคิดแล้วว่า ตกลงบัดดี้ของเธอมีเงินเท่าไหร่กันแน่?
“อาหารอร่อยดีเนอะ สมคำร่ำลืออย่างที่คุณน้าฮานาโกะบอกเอาไว้เลย”
อันนาพูดขึ้น ในตอนที่เดินออกมาจากร้าน พร้อมกับลูบไปที่ท้องของตัวเองเบาๆ
“อืม…”
นานาเสะขานรับสั้นๆ
“งั้นก็ไปกันต่อเถอะ!!”
อันนาจับมือนานาเสะ พร้อมแววตาที่ดูตื่นเต้นสุดขีด ถ้ามันมีเอฟเฟคก็คงจะเป็นประกายวิบวับภายในตาของเธอ
“ไปไหนของเธออีก?”
นานาเสะถาม เพราะเขาเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว
“นายคงจะไม่ลืมหรอกใช่ไหม ว่าไฮไลท์ของการเดตคือการได้ดูหนังด้วยกันน่ะ”
อันนาพูดพร้อมกับเอานิ้วชี้จิ้มจมูกของนานาเสะเบาๆ ในเชิงหยอกล้อ และส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้เขา
“หา? ฉันไปตกลงปลงใจเดตกับเธอตอนไหนกัน?”
นานาเสะถาม เขาพึ่งจะเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของอันนาเมื่อครู่นี่เอง
“ถึงนายพูดอย่างงั้นไป แต่นายก็มาอยู่ตรงนี้ ยืนอยู่ข้างหน้าฉันตอนนี้แล้วไม่ใช่หรือไง? เพราะงั้นไปกันเถอะ!!!”
อันนายิ้มทะเล้นกวนอารมณ์ของนานาเสะ ก่อนที่จะเริ่มลากนานาเสะอีกครั้ง คราวนี้เธอลากเขาไปที่โรงหนัง
‘ยัยนี่เอาแต่ใจชะมัด ให้ตายเถอะ’
นานาเสะสบถเบาๆ อยู่ในความคิด แต่เขาก็ยอมให้อันนาลากไปไหนมาไหนไปอยู่ดี เพราะดันไปรับปากกับเธอเมื่อวันนั้น ว่าเขาจะไม่อิดออดหรือประท้วงอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าเธอจะพาเขาไปทำอะไร
.
ทั้งสองเลือกดูชื่อหนังที่จะดู แล้วก็พบว่าหนังที่ฉายไวที่สุดคือเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เสียงเพรียกหา จากห้วงเวลาพิศวง’ ซึ่งเป็นหนังที่กำลังเป็นที่ฮือฮาบนโลกอินเตอร์เน็ตอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นเธอจึงเลือกเรื่องนี้ ส่วนนานาเสะนั้นก็เออออตามน้ำไปด้วย
ที่บู๊ทขายตั๋ว นานาเสะกำลังคุยกับพนักงานจำหน่ายตั๋ว และกำลังจะจ่ายเงินค่าตั๋วหนัง อยู่ๆ พนักงานก็ถามออกมา
“คุณลูกค้าเป็นคู่รักกันหรือเปล่าคะ? ถ้าหากเป็นคู่รักกัน สำหรับเรื่องนี้มีโปรโมชั่นลดราคาตั๋วคู่ด้วยนะคะ”
นานาเสะเตรียมจะพูดปฏิเสธ แต่ว่าอันนาก็พูดโพล่งออกมาเสียก่อน
“ใช่ค่ะ พวกเราเป็นคู่รักกันค่ะ!!”
ชายหนุ่มหันไปตำหนิยัยคนขี้โกหกด้วยสายตาในทันที แต่เธอก็ทำเมินมันไป พร้อมกับยิ้มนุ่มนิ่มให้เขา
พนักงานจำหน่ายมีท่าทีลังเล รอคอยคำตอบจากนานาเสะ นั่นทำให้เขาต้องเล่นละครตามน้ำไป
“ขอตั๋วโปรโมชั่นสำหรับคู่รักด้วยครับ”
“ทราบแล้วค่ะ”
ไม่นานพนักงานก็มอบตั๋วสองใบให้กับนานาเสะ พอพ้นสายตาของพนักงาน เขาก็ยื่นตั๋วหนังให้อันนา พอเธอจะรับ เขาก็เขกหัวเธอเบาๆ ไปทีนึง
“โอ๊ย! ทำอะไรของนายเนี่ย?”
อันนาลูบหัวตัวเอง
“ทำโทษคนขี้โกหก และคนที่ทำให้ฉันต้องเล่นละครหลอกคนอื่นตาม”
นานาเสะตอบหน้าตาย พร้อมกับยื่นตั๋วให้เธออีกครั้ง
อันนารับไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่เธอจะไปซื้อป๊อปคอร์นกับน้ำอัดลมเพื่อนำไปทานระหว่างดูหนังด้วย
.
“ผมน่ะพอพบว่าคุณไม่ได้มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับผม ผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของผมน่ะหายไปภายในพริบตาเลยล่ะ แต่ว่านะคุณฮิเมโกะ ขอบคุณนะที่เข้ามาในชีวิตผม ปลอบประโลมผมผ่านการเขียนจดหมาย ขอบคุณจริงๆ นะครับ”
โคสึกิ ทามาโอะ นักศึกษามหาวิทยาลัยหนุ่มวางดอกไม้ลงที่หน้าสุสานของ อุเอย์คัตสึ ฮิเมโกะ หญิงสาวคนนึงที่ป้ายสุสานระบุว่าเธอเสียชีวิตในปี ค.ศ.1928 (รัชศกโชวะ)
นั่นคือฉากที่ทำให้อันนาถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความเศร้า ส่วนนานาเสะนั้นทำหน้าและท่าทางเหมือนคนจิตตกอย่างหนัก
เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีตของตัวเอง ที่มาดูหนังด้วยกันกับเด็กสาวในความทรงจำของเขา เธอคนนั้นมีอาการเหมือนกับอันนาในตอนนี้ไม่มีผิด ยิ่งเห็นภาพที่อันนาร้องไห้แล้วมันยิ่งทำให้นานาเสะรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ
พอออกจากโรงมา อันนาก็หยุดร้องไห้ และหันไปถามนานาเสะ
“นี่นายไหวไหม? ทำไมทำหน้าเศร้าอย่างงั้นกันล่ะ? หรือว่าอินกับหนังมากเลยงั้นเหรอ?”
นานาเสะส่ายหน้า ก่อนจะตอบเธอไป
“ไม่มีอะไร ไม่ต้องมากังวลเรื่องฉันหรอก”
ก่อนที่จะเดินนำหน้าเธอไป อันนายืนทำท่างงๆ ก่อนจะวิ่งตามนานาเสะไปเมื่อเห็นท่าทีว่าเขาไม่หยุดรอเธอ
.
ระหว่างทางกลับบ้าน อันนาพยายามชวนนานาเสะคุยเรื่องต่างๆ เพื่อทำให้เขาหายทำหน้าเศร้าแบบนั้น แต่เธอชวนเขาคุยเพลินไปหน่อย จนลืมมองทางข้างหน้าว่ามีจักรยานปั่นตรงเข้ามาหาเธอ เนื่องจากตรงที่เธอเดินนั้นเป็นทางจักรยาน
‘ฟุ่บ!!’
นานาเสะดึงอันนาเข้ามาไว้ในอ้อมกอดของตัวเอง
“เอ๊ะ!!”
อันนาอุทานเมื่อใบหน้าของเธอฝังเข้าไปในหน้าอกของนานาเสะ ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ตัวของเธอแข็งทื่อขึ้นมาอย่างเข้าใจง่าย
“เดินดูทางด้วยสิ อันนา…”
นานาเสะพูดชื่อเธอออกมาเป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้มีน้ำเสียงหรือร่องรอยของการตำหนิเธอเลยแม้แต่น้อย
“อะ…อื้อ!!”
อันนาตอบกลับตะกุกตะกัก
นี่เป็นครั้งแรกที่นานาเสะเรียกชื่อเธอ ก่อนหน้านี้เขาจะเรียกเธอว่า ‘ยัยบ้า’ ‘ยัยบ๊อง’ ‘ยัยนักเรียนแลกเปลี่ยนตัวแสบ’ ‘ยัยตัวป่วน’ สุดแล้วแต่ที่เขาจะเรียก แต่ไม่เคยเรียกชื่อเธอเลยสักครั้ง พอเขาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มลึกแบบนี้ มันทำให้หน้าของเธอแดงก่ำขึ้นมา
อันนาฝังใบหน้าอยู่ที่หน้าอกของนานาเสะอยู่นานโดยไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ จนกระทั่งเสียงแตรรถยนต์เรียกสติเธอ เธอจึงผละตัวออกจากอ้อมกอดของเขา และรีบเดินจ้ำนำหน้าเขาไปหลายก้าว
‘หมอนี่…ตัวหอมขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?’
อันนาคิดในใจ แม้มันจะไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนการกอดเพื่อนผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับแข็งกระด้างจนเกินไป แถมยังมีกลิ่นหอมจางๆ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่นอีก
นานาเสะเองก็เช่นกัน เขาพึ่งจะตระหนักได้เมื่อสักครู่ว่าทำอะไรลงไป ถ้าหากอันนาตำหนิเขา เขาก็จะขอโทษที่ล่วงเกินเธอ แต่ในเมื่ออันนาไม่ได้ว่าอะไรเขาจึงปล่อยผ่านไป แต่ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่ และมันทำให้เขาลืมเรื่องเศร้าไปชั่วขณะนึงเลยทีเดียว
‘ยัยนั่น…ตัวนุ่มและหอมขนาดนี้เลยเหรอ?’
.
“กลับมาแล้วค่ะ”
อันนาพูด ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปที่ห้องของตัวเอง เธอในตอนนี้รู้สึกว่าหน้าของตัวเองกำลังร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้
“อ้าว! อันนาจังกลับมาแล้วเหรอ แล้วทำไมหนูหน้าแดงแบบนั้นล่ะจ๊ะ? หรือว่าจะไม่สบายหรือเปล่า?”
ฮานาโกะทักอันนา เมื่อเห็นว่าเธอหน้าแดงก่ำราวกับคนเป็นไข้
“เอ๊ะ! เอ่อ เปล่าค่ะ!!”
อันนารีบปฏิเสธพัลวัน เธอพยายามปกปิดร่องรอยของความเขินอายของตัวเอง
“งั้นเหรอจ๊ะ อีกสักพักออกมาทานข้าวเย็นด้วยนะจ๊ะ น้าทำอาหารใกล้เสร็จแล้ว”
ฮานาโกะพูดกับอันนา
“รับทราบแล้วค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะคุณน้า”
อันนาพูด พร้อมกับปิดประตูห้องของตัวเอง
หลังประตูปิดลง อันนาเอามือสองข้างปิดหน้าตัวเอง พร้อมกับครางออกมาเบาๆ ด้วยความเขินอาย
“งืออออ~”
ส่วนทางด้านนานาเสะนั้น เขากำลังนั่งจิตตกอยู่ภายในห้อง หลังความรู้สึกเมื่อครู่ที่ได้สัมผัสตัวอันนานั้นหายไปแล้ว เขากุมศรีษะพร้อมกับถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับจะระบายความเครียด ความเศร้า ความกังวลใจที่เขาเผชิญอยู่ออกมาทางลมหายใจ…