“เรียวอิจิคุง ฉันขอเบอร์ติดต่อของนายหน่อยสิ”
อันนาพูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ของเธอมาให้กับนานาเสะ
พวกเขารู้จักกันมาได้สามสัปดาห์แล้ว แต่ทว่าอันนายังไม่มีช่องทางการติดต่อของนานาเสะเลย มีแค่ของคิโยมิกับเพื่อนผู้หญิงบางคนเท่านั้น มันคงจะดูแปลกๆ ถ้าเกิดว่าเธอไม่มีช่องทางการติดต่อบัดดี้ของเธอเลย ไม่เช่นนั้นหากเกิดกรณีฉุกเฉิน เธอจะไม่สามารถติดต่อเขาได้เลย
“………”
นานาเสะเงยหน้าขึ้นมามองอันนา พร้อมกับทำสีหน้าประมาณว่า ‘อะไรของเธอกัน? อยากให้ฉันตกเป็นเป้าสายตาหรือยังไง?’
เป็นอย่างที่นานาเสะคาดไว้ไม่มีผิด เพราะทันทีที่อันนาพูดแบบนั้นออกไป พวกผู้ชายแทบจะทั้งห้องก็มองมาที่เขาด้วยสายตาอิจฉาริษยา
“ชิ! เจ้าบ้านั่นมันมีอะไรดีนักหนากันนะ”
“ฉันเองก็อยากมีเบอร์ของคุณฮอฟมันบ้างเหมือนกันนะ”
“ลองแกให้เบอร์ติดต่อคุณฮอฟมันดูสิเจ้าบ้าเรียวอิจิ ฉันจะสาปแช่งแกจนกว่าจะตายเลยคอยดู!!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายของพวกนักเรียนชายดังลอยมาเข้าหูของนานาเสะ
แต่เขาก็ยังคงจ้องหน้าอันนาโดยไม่พูดอะไร สิ่งที่ได้ตอบกลับมาก็มีเพียงแค่รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของเธอเท่านั้น
ก่อนที่นานาเสะจะหยิบโทรศัพท์ของอันนามา และกดเบอร์ของตัวเองเพิ่มลงไปในเครื่องของเธอ ก่อนจะยื่นคืนมันให้กับเธอ พร้อมกับเอ่ยถาม
“พอใจหรือยัง?”
อันนายิ้มตอบกลับมา เธอพยักหน้าน้อยๆ
“อื้อ! แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”
ทันทีที่ทั้งคู่ทำแบบนั้น พวกนักเรียนชายในห้องแตกฮือ นักเรียนหญิงบางคนก็เช่นกัน มีเสียงอื้ออึงดังระงมไปทั่วทั้งห้อง บ้างก่นด่า บ้างพูดด้วยความอิจฉา แต่ว่านานาเสะทำเป็นเมินเสียงนกเสียงกาพวกนั้นไป
อันนาจับโทรศัพท์มาแนบไว้ที่หน้าอกด้วยความดีใจ เพราะนานาเสะถือเป็นผู้ชายคนแรกที่เธอมีช่องทางติดต่อเอาไว้ในเครื่อง จากนี้ไปเธอจะได้ส่งข้อความไปหาเขาได้ทุกวันเท่าที่เธอต้องการแล้ว
“ฉันไม่อนุญาตให้เธอส่งข้อความมารบกวนฉัน ถ้าไม่จำเป็น”
อยู่ๆ นานาเสะก็พูดดักคอความคิดของเธอเอาไว้ ราวกับอ่านใจเธอได้
“ฮึ่มม!! ทำไมกันล่ะ ก็พวกเราเป็นบัดดี้กันนะ การที่ฉันอยากคุยทำความรู้จักกับบัดดี้ของตัวเองให้มากขึ้นมันผิดตรงไหนกัน”
อันนาพองแก้มน้อยๆ พร้อมกับฮึมฮัมในลำคอ
“ถ้าเป็นเธอ ผิดทุกกรณี”
นานาเสะเลิกคิ้วพร้อมกับยกยิ้มมุมปากน้อยๆ เป็นการกวนประสาทอันนากลับไป
“นี่กำลังกวนอารมณ์ฉันอยู่งั้นเหรอ!!”
อันนาถามหลังเห็นรอยยิ้มนั่น
“เปล่านี่ เธอคิดไปเองมากกว่า”
นานาเสะยักไหล่ตอบ
อันนาทำได้แค่ฮึมฮัมในลำคออีกรอบ แต่ในใจก็คิดว่านานาเสะดูเปลี่ยนไปนิดหน่อยจากวันแรกที่ได้เจอกัน จากที่แทบไม่ตอบสนองต่อคำพูดของเธอเลย กลายเป็นตอบสนองต่อคำพูดของเธอมากขึ้น แม้ว่าจะยังมีการเมินเธออยู่บ้าง แต่ก็นับว่าน้อยลงกว่าแต่ก่อน
แต่ถึงกระนั้น อันนาก็ยังรู้สึกว่ามีกำแพงบางอย่างที่นานาเสะสร้างขึ้นมาเพื่อกีดกันทุกคนออกไปอยู่ดี ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่ากำแพงที่ว่านั่นคืออะไร และอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องสร้างมันขึ้นมาเพื่อแยกตัวออกจากทุกคน
อันนารู้สึกว่าแม้จะนั่งห่างกันเพียงแค่ระยะเอื้อมแขนถึง แต่กลับรู้สึกว่านานาเสะนั้นนั่งอยู่ไกลแสนไกลจนเกินกว่าที่จะเอื้อมถึง ท่ามกลางความมืดมนและโศกเศร้า ในบางเวลาเขาก็จะนั่งซึมอยู่ตัวคนเดียว ทำหน้าราวกับคนที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้อันนาตั้งเป้าหมายว่า เธออาจจะต้องพยายามทำความเข้าใจและยอมรับในตัวของนานาเสะให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะช่วยเขาออกมาจากจุดนั้นในแบบของเธอ
เพราะโดยสามัญสำนึกของอันนา ที่มีความฝันที่อยากจะเป็นจิตแพทย์แล้ว เธอไม่อาจจะปล่อยให้ใครก็ตามจมอยู่กับความทุกข์นั้นได้
.
ในช่วงพักกลางวัน อันนาเลื่อนโต๊ะของตัวเองมาติดกับโต๊ะของนานาเสะ ก่อนจะหยิบเบนโตะที่เธอทำขึ้นมาด้วยเองขึ้นมาวางบนโต๊ะ ส่วนนานาเสะนั้นเขากำลังนั่งทานเมล่อนปังอยู่ บนโต๊ะยังมีขนมปังไส้คัสตาร์ด กับขนมปังยากิโซบะ พร้อมกับนมรสกาแฟวางเอาไว้
อันนาเริ่มชักจะรู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของบัดดี้คนนี้ขึ้นมา เพราะตั้งแต่รู้จักกับนานาเสะ เธอมักจะเห็นเขากินแต่อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หรือขาดโภชนาการที่ถูกต้องอยู่เสมอ จนเธอต้องเอ่ยปากเตือนเขา
“นี่เรียวอิจิคุง ถ้านายยังทานแต่อาหารแย่ๆ พวกนี้ต่อไป สักวันนายอาจจะป่วยเอาก็ได้นะ”
นานาเสะหันมามองเธอ ก่อนจะยัดเมล่อนปังที่เหลือเข้าปาก
“ไอ่ไอ้เอื่องอ๋องเออ”
นานาเสะพูดทั้งๆ ที่ขนมปังยังอยู่เต็มปาก
“นี่!! อย่าพูดในขณะที่กำลังเคี้ยวสิ!! เดี๋ยวอาหารมันก็ติดคอเอาหรอก!!”
อันนาพูดพร้อมกับฟาดแขนเขาเบาๆ
เมื่อเป็นแบบนั้น นานาเสะจึงเคี้ยวและกลืนขนมปังให้หมด ก่อนจะพูดใหม่อีกรอบ
“ไม่ใช่เรื่องของเธอที่จะเข้ามายุ่งสักหน่อย”
เขากำลังจะแกะขนมปังยากิโซบะเพื่อทานต่อ แต่อันนาก็จับแขนเขาเอาไว้ ก่อนจะถามเอาความจริงจากเขา
“ตอบฉันมาก่อนเรียวอิจิ แต่ละวันนายทานอะไรเข้าไปบ้าง?”
นานาเสะเลิกคิ้วเล็กน้อย
“เธอจะอยากรู้ไปทำไม? ฉันจะกินอะไรมันก็เรื่องของฉัน”
เขาตอบกลับเธอ และพยายามจะดึงแขนออก แต่ทว่าแขนของเธอที่จับเขานั้นแข็งแรงมากกว่าที่คิดเอาไว้
“ตอบฉันมาเดี๋ยวนี้นะเรียวอิจิ!! แล้วก็หยุดกินเจ้านี่ด้วย!!”
อันนาพยายามเค้นถามความจริงจากนานาเสะ ก่อนจะคว้าเอาขนมปังยากิโซบะมาจากมือของเด็กหนุ่ม
“อย่ามายุ่งเรื่องการกินของฉัน! มันไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย!!”
นานาเสะพูด พลางใช้อีกมือจะคว้าเอาถุงขนมปังยากิโซบะกลับมา
“ตอบฉันมาก่อน!! นายกินอะไรไปบ้างในแต่ละวัน!!”
อันนายกถุงขนมปังหนีนานาเสะ ทำให้เขาต้องโน้มตัวเข้าหาเธอ
รู้สึกตัวอีกที ใบหน้าของทั้งคู่ก็อยู่ใกล้กันมากแล้ว
“……”
“ตอบฉันมาก่อน แล้วฉันจะคืนมันให้”
อันนาพูดเสียงขึงขัง ท่าทีเอาจริง
ด้วยความรำคาญปนหงุดหงิดที่แม้แต่เวลาจะกินข้าวก็ยังโดนรบกวนจากอันนา นานาเสะจึงยอมตอบกลับเธอไปเพื่อปัดรำคาญ และหวังว่าจะได้ขนมปังคืน
“มื้อเช้าฉันไม่กินเพราะไม่มีเวลา…มื้อกลางวันฉันกินขนมปังกับนม…มื้อเย็นฉันกินเยลลี่เสริมพลังงานแบบรวดเร็วหรือไม่ก็อาหารจากร้านสะดวกซื้อเอา ฉันตอบเธอแล้ว ทีนี้ก็เอาขนมปังฉันคืนมาได้แล้ว!!”
นานาเสะตอบ ก่อนจะเอื้อมไปคว้าขนมปังยากิโซบะที่อยู่ในมือของอันนา แต่เธอก็เอามันหลบไปแบบอัตโนมัติ
‘หลักโภชนาการด้านการทานอาหารของเจ้าหมอนี่มันแย่สุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือยังไงกัน?’
อันนาคิดในใจ
เธอช็อกมากที่ได้รู้ว่าบัดดี้ของเธอมีนิสัยด้านการกินที่แย่เข้าขั้นเกินที่จะเยียวยา อันนาที่ได้รับการอบรมด้านโภชนาการอาหารจากแม่ที่เป็นเชฟมาตั้งแต่เด็กๆ นั้น รู้สึกได้ว่าต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับนิสัยการกินของนานาเสะ ก่อนที่เขาจะล้มป่วยขึ้นมาจริงๆ
“ทำอะไรของเธอ จะไม่รักษาสัญญาหรือไง?”
นานาเสะพูดทักท้วงเธอ เมื่ออันนาไม่ยอมคืนขนมปังให้กับเขา
“……”
อันนาไม่ตอบ แต่ยัดขนมปังยากิโซบะลงไปในกระเป๋าของตัวเอง เพื่อหวังให้มันพ้นจากสายตาของนานาเสะ
“เธอจะทำอะไร!! เอามันคืนมานะ!!”
นานาเสะพูด
แต่แล้วอันนาก็ทำในสิ่งที่เขาและคนอื่นๆ ในห้องเองก็คาดไม่ถึง เธอใช้ตะเกียบคีบไก่คาราอาเกะชิ้นนึงขึ้นมา พร้อมกับนำมันไปจ่อที่ปากของเขา
“อ้าปาก”
อันนาออกคำสั่งกับนานาเสะ
“ฉันไม่กิน ฉันจะกินขนมปัง!!”
เด็กหนุ่มพูด พร้อมยังยืนยันที่จะกินขนมปังยากิโซบะที่เขาซื้อมา
แต่ถึงจะพูดแบบนั้น กลิ่นหอมๆ ของไก่คาราอาเกะที่เป็นเมนูโปรด ก็ลอยเข้ามากระทบฆานประสาทของนานาเสะ มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกน้ำลายสอ และอยากจะกินมันเสียอย่างนั้น
“อ้าปาก!”
อันนาเริ่มทำเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย จนทำให้นานาเสะเริ่มลังเล สองจิตสองใจว่าจะกินมันดีหรือเปล่า ใจนึงก็อยากที่จะทานเข้าไปเพราะกลิ่นที่หอมชวนน่าทาน แต่อีกใจก็หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงสายตาอิจฉาริษยาที่คอยทิ่มแทงเขาจากพวกนักเรียนชายในห้อง
‘หงับ!’
แต่ในที่สุดแล้วความอยากก็ชนะทุกสิ่ง นานาเสะงับคาราอาเกะชิ้นนั้นเข้าไป พร้อมๆ กับเสียงก่นด่าและสาปแช่งเขาจากพวกนักเรียนชายที่ดังระงมเป็นฉากเบื้องหลัง ส่วนพวกนักเรียนหญิงนั้นหน้าแดงอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
นานาเสะจ้องหน้าอันนาที่กำลังยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างผู้มีชัยเหนือกว่าด้วยความเจ้าคิดเจ้าแค้นเล็กๆ
‘จำไว้เลยนะ ยัยตัวแสบ’
“ฮะๆ พวกนายเนี่ยเหมือนคู่รักกันจริงๆ เลยนะ”
ในขณะที่นานาเสะกำลังเขม่นอันนาอยู่นั้น คิโยมิเดินเข้ามาทักทายพวกเขาอย่างอารมณ์ดี
“……”
นานาเสะไม่ตอบ แต่เบือนหน้าหนี เพราะในตอนนี้เขารู้สึกว่าใบหน้าของเขากำลังร้อนผ่าวราวกับถูกแผดเผาด้วยไฟ
“ฮ่าๆๆๆ เหมือนจะมีคนเขินเธอด้วยแหละอันนาจัง”
คิโยมิแซวนานาเสะ
“หนวกหู!!! ถ้าจะมากวนอารมณ์กันก็ไปให้พ้นหน้าฉันเลย”
นานาเสะตะโกนออกมา
“น่าๆๆ ไม่ได้จะมาทำให้อารมณ์เสียหรอก แค่จะมาชวนไปร้านขนมหวานที่เปิดใหม่หน้าสถานีด้วยกันตอนเย็นหลังเลิกเรียนนี้น่ะนะ พวกนายไปด้วยกันไหม?”
คิโยมิพูดอย่างอารมณ์ดี
แน่นอนว่านานาเสะจะปฏิเสธเธอไปตามนิสัยปกติของเขา แต่ว่าอันนาก็ตะโกนแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ไปสิคะ!! เนอะเรียวอิจิคุง!!”
พร้อมกันนั้นเธอยังส่งรอยยิ้มนุ่มนิ่มที่มักจะยิ้มให้เขายามอยู่ด้วยกันสองต่อสอง และทุกครั้งมันจะจบลงที่นานาเสะนั้นเป็นฝ่ายที่ปฏิเสธไม่ได้เสียเอง
แน่นอนว่าครั้งนี้เองก็เช่นกัน ทำให้นานาเสะถึงกับนั่งกุมขมับเครียดเพราะโดนอันนาลากเขาไปไหนมาไหนตามใจชอบอีกแล้ว
.
.
พอตกเย็นทั้งสามก็พากันไปที่ร้านขนมหวานที่พึ่งเปิดใหม่ นานาเสะนั้นเรียกได้ว่าหน้าบูดหน้าบึ้งลูกเดียว เพราะถูกลากมาด้วยความไม่เต็มใจ ส่วนอันนานั้นตื่นเต้นและกระดี๊กระด๊าจนน่าหมั่นไส้
พอมาถึงแล้วพวกสาวๆ ก็พากันเลือกโซนที่นั่งสำหรับถ่ายรูปสวยๆ โดยนานาเสะนั้นนั่งอยู่ตรงข้ามกับพวกเธอ ก่อนที่พนักงานจะมารับเมนูของพวกเขา
“ขอเค้กสตรอว์เบอร์รี่กับสมูทตี้สตรอว์เบอร์รี่ที่นึงค่ะ”
คิโยมิสั่งสิ่งที่เธอชอบมากที่สุด นั่นก็คือสตรอว์เบอร์รี่
ส่วนอันนานั้น
“ขอเค้กชาเขียว กับมัทฉะลาเต้ที่นึงค่ะ”
เธอสั่งสิ่งที่เธอทานแล้วชอบ ตอนออกไปเดต? กับนานาเสะ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เพียงแต่รอบนี้เธอลองสั่งเครื่องดื่มเป็นมัทฉะผสมกับกาแฟลาเต้ ที่เธอเคยได้ยินมาว่ามันอร่อยและผสมผสานกันได้อย่างน่าประหลาด
“คุณผู้ชายรับเป็นอะไรดีคะ?”
พนักงานหันมาถามนานาเสะ
เจ้าตัวที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่นั้น ก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ผมเอาเป็นกาแฟเย็นที่นึงครับ ไม่เอาของหวาน”
พนักงานก็พยักหน้ารับทราบ ก่อนจะทวนเมนู และถามว่าจะรับอะไรเพิ่มอีกไหม ทั้งสามคนปฏิเสธไป ก่อนที่พนักงานจะเดินจากไป
พอพนักงานจากไปแล้ว สองสาวก็เริ่มคุยกันถึงเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตของอันนาตอนอยู่ที่เยอรมัน, เรื่องแฟชั่นของสาวๆ, ของน่ารักๆ ต่างๆ และท้ายที่สุดก็ไม่พ้นเรื่องความรัก
แต่พอคุยไปคุยมา คิโยมิก็หันมาแซวนานาเสะว่า
“ถ้านายคบกับอันนาจัง คงจะเป็นอะไรที่เหมาะสมกันดีอยู่นะ”
เรื่องนี้ทำให้อันนาหน้าแดงก่ำ ส่วนนานาเสะที่ทำหน้าบูดหน้าบึ้งอยู่นั้น ได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแบบคนตอบเพื่อปัดรำคาญ
“อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระกับฉัน”
คิโยมิยิ้มร่าเริงให้กับคนปากแข็ง ก่อนจะพูดขึ้นมา
“ฉันรู้น่าว่าลึกๆ แล้วนายน่ะ ก็ชอบอันนาจังอยู่ใช่ไหม~”
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระ แล้วตอบคำถามฉันมา เธอเองก็มีแฟนทำไมไม่มากับแฟน หรือมากับยัยนี่สองคน จะลากฉันมาด้วยทำไม?”
นานาเสะถามคิโยมิ พอดีกับที่เมนูของหวานที่พวกเขาสั่งไปมาเสิร์ฟพอดี
คิโยมิตักเค้กสตรอว์เบอร์รี่เข้าปากพร้อมกับดูดสมูทตี้ ก่อนจะถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเล่าปัญหาให้ทั้งคู่ฟัง
“ทานากะคุงมาไม่ได้หรอก ส่วนมากเขาจะต้องอยู่ซ้อมกับชมรมบาสเกตบอลตอนเย็นน่ะ แถมช่วงนี้ก็ใกล้การแข่งขันแล้วด้วย เขาเลยปลีกตัวออกมาไม่ได้ มันทำให้ฉันเหงามากเลย อีกอย่างฉันเองก็อยากทานอะไรหวานๆ ด้วย เลยชวนพวกนายมานี่แหละ”
พอคิโยมิพูดจบก็ทำหน้าหงอยๆ ไปเล็กน้อย
อันนาที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กอดเธอพร้อมกับพูดปลอบใจ
“ไม่เป็นอะไรนะคะคุณคิโยมิ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพวกเราจะอยู่กับคุณเสมอนะคะ”
ส่วนนานาเสะพอได้เห็นใบหน้าที่หงอยเหงาของคิโยมิแล้ว มันก็ทำให้เขานึกถึงเด็กสาวในความทรงจำของเขาขึ้นมา
.
“นี่…นานาเสะคุง…ช่วงนี้ดูไม่ค่อยร่าเริงเลยนะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
เด็กสาวคนนั้นถาม ในขณะที่เอื้อมมือมาสัมผัสแก้มของนานาเสะ
“อื้อ! แค่ยุ่งกับงานสภานักเรียนนิดหน่อยน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก…ขอโทษนะ แต่ว่าฉันต้องกลับไปประชุมแล้วล่ะ…เดินกลับบ้านดีๆ นะ”
นานาเสะยิ้มให้กับเด็กสาวคนนั้น
“อื้ม! พยายามเข้านะ”
เธอพูดพร้อมกับโบกมือลากับนานาเสะ วันนี้อุตส่าห์คาดหวังว่าจะได้เดินกลับบ้านพร้อมกับนานาเสะแล้วแท้ๆ แต่ว่าเขาก็ดันไม่ว่างขึ้นมาเสียอย่างนั้น
นานาเสะในสมัยมัธยมปลายปี 1 ที่กำลังไฟแรงให้กับการทำงานเป็นคณะกรรมการรักษาระเบียบวินัยของสภานักเรียน เขาทุ่มเททุกอย่างให้กับมันอย่างเต็มที่ แต่ทว่าในขณะที่เขากำลังทุ่มเทให้กับการทำงานอยู่นั้น เขากลับละเลยบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญไป
นั่นคือ ความรู้สึกของเด็กสาวคนนั้น
เขาเดินกลับบ้านพร้อมเธอน้อยลง ไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมร่วมกันในวันหยุดกับเธอ ใส่ใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอน้อยลง
พอเขารู้สึกตัวอีกที ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็มาไกลและสายจนเกินกว่าที่จะย้อนกลับไปแก้ไขเสียแล้ว
.
“ร…เรียว…เรียวอิจิ!!…เรียวอิจิ!!”
เสียงคิโยมิดังแทรกขึ้นมา ในขณะที่นานาเสะกำลังดำดิ่งลงไปในห้วงของความทรงจำที่แสนเศร้าหมอง
“มีอะไร?”
นานาเสะถาม
“เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมเมื่อกี้ทำหน้าตาซะน่ากลัวเลย”
คิโยมิถาม
“ไม่มีอะไร…ฉันขอตัวกลับก่อนนะ…พอดีฉันรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย”
นานาเสะลุกออกจากโต๊ะไป แต่ก่อนออกจากร้านไป เขาก็ได้จ่ายเงินเลี้ยงค่าขนมหวานของสองสาวและค่ากาแฟเย็นของเขาด้วย
คิโยมิกับอันนามองตามนานาเสะจนเขาเดินออกนอกร้านไป ก่อนจะหันมาดูที่ที่เจ้าตัวนั่งเมื่อสักครู่ กาแฟเย็นแก้วนั้นไม่ได้ถูกแตะต้องเลยแม้แต่อึกเดียว
“แปลกคนจังแฮะ”
คิโยมิพึมพำเบาๆ
“เขามักจะเป็นแบบนั้นล่ะค่ะ”
อันนายิ้มลำบากใจ ว่ากันตามตรงเธอชินกับการที่นานาเสะเป็นแบบนี้แล้ว
ทางด้านนานาเสะที่เดินออกมาจากร้านเค้กนั้น ระหว่างทางที่เขาเดินกลับบ้านเขาก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่แคร์สายตาใครหน้าไหนทั้งนั้น
ในทุกย่างก้าวที่เขาเดิน ความทรงจำมากมายของเขาที่ทำกับเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ไหลย้อนเข้ามาในหัวของเขา ก่อนจะระเบิดออกมาและโถมใส่เขาราวกับสายลมกรรโชกแรง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
เขาอยากจะทรุดตัวนั่งลงร้องไห้อยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลย แต่ก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่พยายามพาตัวเองเดินกลับบ้านไปอย่างทุลักทุเล
ในที่สุดนานาเสะก็หอบร่างที่โซซัดโซเซของตัวเองกลับมาที่คอนโดได้สำเร็จ ทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็ทิ้งตัวนั่งร้องไห้ลงที่หน้าประตูห้อง เขาร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวเกินจะทนไหว
“ถ้านายคบกับอันนาจัง คงจะเป็นอะไรที่เหมาะสมกันอยู่นะ”
เสียงของคิโยมิที่พูดกับนานาเสะเมื่อครู่ดังก้องอยู่ในหัวของเขา
“ไม่หรอก…ฉันมันไม่เหมาะกับใครทั้งนั้น…เพราะขนาดคนสำคัญของฉัน ฉันยังรักษาเอาไว้ไม่ได้เลย…”
นานาเสะพึมพำ พร้อมกับสะอื้นไห้ราวกับคนที่กำลังจะขาดใจ…