หลังจากวันที่ไปร้านขนมหวานในวันนั้น อันนาก็มีความรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับตัวของนานาเสะ เขาทำตัวเย็นชาอีกครั้ง ปากร้ายๆ นั่นพ่นคำพูดร้ายกาจออกมาทุกครั้งที่เธอเข้าใกล้
มันเหมือนกับว่าเขาได้หวนกลับไปเป็นนานาเสะคนเก่าที่อันนารู้จักในตอนแรกๆ อีกทั้งเธอยังสัมผัสได้ว่ากำแพงที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องจิตใจของเขานั้นสูงขึ้นกว่าเดิม
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้อันนาคิดว่าเธอได้กะเทาะมันออกมาได้ส่วนนึงและเริ่มที่จะเข้าใจนานาเสะขึ้นมาแล้วนิดหน่อย แต่แล้วทุกอย่างที่เธอเพียรพยายามทำมาตลอดสามสัปดาห์ก็เหมือนถูกย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
พักเที่ยงวันนึงอันนาจึงเดินเตาะแตะเข้าไปหานานาเสะที่ปล่อยบรรยากาศหม่นๆ ออกมารอบตัว ก่อนจะนั่งยองๆ ลงที่ด้านหน้าโต๊ะของเขา เพื่อให้ดวงตาของเธอจ้องประสานกับเขาที่กำลังนั่งทบทวนบทเรียนอยู่
“นี่เรียวอิจิคุง~ ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ”
อันนาพูดขึ้น พร้อมกับเอื้อมมือไปจับใบหน้าของนานาเสะ ให้เงยขึ้นมาสบตากับเธอ
นัยน์ตาสีดำของนานาเสะสั่นไหววูบนึง ก่อนจะแผ่ประกายความเย็นชาออกมา เป็นความหมายที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เหมือนกับกำลังจะบอกกับอันนาว่า
‘ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันกำลังเจ็บปวดอยู่ ไม่เห็นหรือยังไง’
อันนาที่เห็นแบบนั้นแล้วก็แปลความหมายออกได้ในทันที เธอรู้ได้ในทันทีว่านานาเสะต้องมีอะไรที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ภายในใจเป็นแน่
เพราะดวงตาของนานาเสะมันกำลังฟ้องเธออยู่ในขณะนี้ ว่าเขากำลังเจ็บปวดและอ่อนไหวทางความรู้สึก เพราะรู้สึกไม่สบายใจอยู่
ความต้องการที่จะช่วยเหลือนานาเสะของอันนาถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นอะไร หรือเพราะเหตุผลแบบไหนถึงทำให้เขาทำสายตาแบบนั้นออกมาได้ แต่สิ่งเดียวที่เธอรู้คือ เธอจะปล่อยเขาเอาไว้แบบนี้ไม่ได้
เพราะถ้าหากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จิตใจของนานาเสะคงจะต้องแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ อย่างไม่มีทางย้อนกลับมาได้ ซึ่งอันนาในฐานะบัดดี้ของเขา เธอยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้
“kommt mit mir (ตามฉันมานี่)”
อันนาพูดเป็นภาษาเยอรมัน ก่อนจะคว้าแขนนานาเสะแล้วพาเขาเดินออกจากห้องไป ท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนๆ ในห้องว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนั้นกันแน่ แล้วภาษาเยอรมันที่ได้ยินมันหมายความว่ายังไงกันแน่
.
“นี่เดี๋ยวสิ!! เธอจะพาฉันไปไหน?”
นานาเสะถามขึ้นมา ในขณะที่โดนอันนาลากไปตามโถงทางเดินของอาคารเรียน เขาต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่ง เพราะเธอนั้นเดินไวมาก
“ตามฉันมา เดี๋ยวก็รู้เอง”
อันนาพูด พลางก้าวเท้าฉับๆ เธอมีจุดหมายแน่วแน่ว่าจะไปยังที่ใด
และแล้วก็มาถึง เมื่ออันนาเปิดประตูดาดฟ้าของอาคารเรียน ในตอนนี้มันไร้ซึ่งผู้คน เนื่องจากใกล้จะหมดช่วงพักเที่ยงแล้ว
อันนาจูงมือนานาเสะไปยังจุดที่อับสายตาที่สุดของดาดฟ้า ก่อนจะนั่งพับเพียบลงที่พื้น และตบมือลงบนตักของตัวเอง ราวกับกำลังจะเชื้อเชิญให้เขานำศรีษะมาหนุนมัน
นานาเสะยืนมองดูภาพนั้นด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยปากถามอันนาอีกครั้ง
“เธอกำลังจะทำอะไร แล้วลากฉันมาที่นี่ทำไม?”
อันนายิ้มนุ่มนิ่มให้กับนานาเสะ เธอยังคงตบมือลงบนตักของตัวเอง พร้อมกับพูดเอ่ยชวนถึงข้อเสนอที่ผู้ชายคนไหนก็ยากที่จะปฏิเสธ
“มานอนหนุนตักฉัน แล้วเล่าความทุกข์ใจของนายให้ฉันฟังสิ ฉันจะปลอบนายเอง”
นานาเสะถอนหายใจหนักๆ ออกมาทีนึง เขาเข้าใจถึงเจตนาของบัดดี้ของเขาแล้ว แต่ว่ามีบางอย่างในใจของเขาบอกว่า ถ้าหากเขานอนหนุนตักของเธอในตอนนี้ มันจะไปสู่ในจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับมาได้ทางความรู้สึก
กล่าวคือ ด้วยลักษณะนิสัยของอันนาแล้ว ทำให้เขาจะต้องอยากออดอ้อนเธออย่างไร้ที่สิ้นสุด และเขาจะกลายเป็นคนไม่ได้เรื่องที่โหยหาแต่เธอ ซึ่งนั่นน่ากลัวในทางปฏิบัติและทางความรู้สึก
ดังนั้นแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการไม่เสียมารยาทต่ออันนาที่อุตส่าห์เชิญชวนเขา และเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองกลายเป็นคนไม่ได้เรื่อง นานาเสะจึงตัดสินใจที่จะนั่งลงโดยใช้หลังของเขาพิงกับหลังของเธอแทน
“……”
นานาเสะนั่งพิงหลังของอันนา พลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีฟ้าครามสดใส สายลมเย็นๆ ทำให้หัวของเขาแล่นได้อย่างน่าประหลาด บวกกับกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของอันนาที่เข้ามากระทบฆานประสาทของเขา ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
นานาเสะหลับตาลง ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามากระทบ แต่ทว่าก็ปล่อยผ่านมันไป ความทุกข์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้า ความทรมาน หรือแม้กระทั่งความคิดด้านลบ เขาปล่อยให้มันพัดพาไปตามสายลม และดื่มด่ำไปกับความรู้สึกอันแสนอ่อนโยนจากบัดดี้ของเขา
“คือว่านะ นายเป็นอะไรอย่างนั้นเหรอ?”
อันนาเอ่ยปากถามนานาเสะ
เธอเองก็เงยหน้ามองท้องฟ้าเช่นกัน พร้อมกับคิดว่าในตอนนี้เด็กหนุ่มจะมีสีหน้า ท่าทาง หรือความรู้สึกเป็นยังไงบ้าง เธออยากจะรู้ และอยากจะช่วยเขาออกมาจากความเศร้านั้น
“นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่เธอสมควรรู้ตอนนี้หรอกนะอันนา ยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่ว่านะ ขอบคุณมากที่พยายามจะช่วยดึงฉันขึ้นมาจากความเศร้านั้น แล้วก็ขอโทษนะที่ต้องทำให้เป็นห่วง”
นานาเสะพูดตอบกลับมา แต่ครั้งนี้เขาเรียกชื่อของอันนาโดยตรง โดยไม่ใช้สรรพนามแทนตัวของเธอแล้ว
“……เป็นผู้ชายที่เข้าใจยากซะจริงๆ นะ”
อันนาบ่นพึมพำ พร้อมกับหน้าแดงเล็กน้อยที่ถูกนานาเสะเรียกชื่อจริงของเธออีกครั้ง
‘ก็เข้าใจยากจริงๆ นั่นแหละ…’
นานาเสะคิดในใจ พร้อมกับเหม่อมองท้องฟ้า
ในตอนนี้ความรู้สึกแย่ๆ ของเขานั้นสลายหายไปหมดแล้ว ซึ่งยอมรับตามตรงว่าตัวเขาเองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่นิดหน่อย เพราะสมัยก่อนไม่ว่าเขาจะลองวิธีไหน หรือพยายามมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถลบเลือนเรื่องแย่ๆ ที่เข้ามาได้เลย อย่างมากที่สุดก็ได้แค่ทนทุกข์ทรมานกับมันจนกว่ามันจะผ่านพ้นไป
แต่ทว่าพออยู่กับเด็กสาวที่ชื่อ อันนา คนนี้แล้ว มันกลับต่างออกไป จะว่ายังไงดี เหมือนกับว่าเธอเป็นผู้ปัดเป่าความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นออกไปจนหมดสิ้น
‘บางที…กับอันนาแล้ว…อาจจะดีก็ได้ที่ได้เป็นเพื่อนกับเธอ’
นานาเสะทิ้งน้ำหนักพิงหลังอันนาอย่างผ่อนคลาย
และแม้ว่าสัญญาณหมดคาบพักเที่ยงจะดังขึ้นแล้ว พวกเขาทั้งสองคนก็ยังคงไม่ลุกไปไหน เอาแต่นั่งเงียบๆ กันอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน
.
ตอนเย็นหลังจากที่อันนากับนานาเสะเก็บของและเตรียมตัวกลับบ้านกันเสร็จแล้ว พวกเขาก็ได้เดินกลับบ้านด้วยกัน เนื่องจากว่าเรียวโกะนั้นติดธุระที่สภานักเรียน เพราะเธอเป็นเลขานุการของสภานักเรียน และวันนี้มีการประชุมวาระประจำเดือน ก่อนที่สัปดาห์หน้าจะเป็นวันหยุดโกลเด้นท์วีค ซึ่งเป็นวันหยุดยาวของประเทศญี่ปุ่น
ระยะหลังๆ นานาเสะเริ่มเดินกลับบ้านกับอันนาบ่อยมากขึ้น และระหว่างทางก็มักจะมีบทสนทนาเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นระหว่างทาง เป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ของเขาและเธอให้ใกล้ชิดกันในฐานะบัดดี้มากยิ่งขึ้นไปด้วย
ในระหว่างทางนานาเสะได้แวะซื้ออาหารเย็นที่ร้านสะดวกซื้อ นั่นทำให้อันนาต้องยืนรอเขาด้านนอกร้าน
“เห้ย! ดูนั่นดิวะ! สาวผมบลอนด์สวยและโคตรน่ารักเลยว่ะ!”
ในขณะที่อันนายืนรอนานาเสะ ก็มีกลุ่มวัยรุ่นที่ดูท่าทางจะเป็นพวกอันธพาลเข้ามายืนคุยกันข้างๆ เธอ และกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับตัวของเธออีกด้วย
“ชาวต่างชาติเปล่าวะ? ว่าแต่หน้าอกนั่นโคตรใหญ่เลย คงเต็มไม้เต็มมือแน่เลยถ้าได้จับมัน”
หนึ่งในพวกนั้นพูดเรื่องหยาบคายเกี่ยวกับเรือนร่างของอันนา และส่อไปในทางที่ไม่ดีไม่งามสักเท่าไหร่นัก
“เออๆ มึงไปชวนเธอมาเที่ยวเล่นกับพวกเราดิ๊”
“ทำไมต้องเป็นกูวะ?”
“เอ้า! ก็มึงพูดอังกฤษได้ไม่ใช่เหรอ เอาเหอะน่าไปชวนเธอมา บางทีเผลอๆ เราอาจจะได้ทำอะไรสนุกๆ กับเธอด้วยนะเว้ย”
“เออๆ ก็ได้วะ”
จากบทสนทนาที่ได้ยินก็ทำให้อันนารู้ได้แล้วว่าเป้าหมายของคนพวกนั้นคือเธออย่างแน่นอน
“Hey! Are you interested for walking with us?”
หนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นเดินเข้ามาคุยกับเธอ แต่สายตานั้นไม่ได้มองมาที่ใบหน้าของเธอแต่อย่างใด กลับกันมันมองไปที่หน้าอกของเธออย่างหยาบคาย
“Sorry but I’m not interested”
อันนาตอบปฏิเสธไป
“เห้ย! เธอปฏิเสธว่ะ”
ชายคนนั้นตะโกนไปหาเพื่อนของเขาที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“งั้นมันต้องใช้กำลังกันหน่อยแล้วล่ะมั้ง!”
ชายสองคนเดินตรงมาที่อันนาพร้อมกับจับแขนของเธอเอาไว้ พร้อมกับกระชากตัวเธอ มันทำให้เธอรู้สึกเจ็บมาก
“โอ๊ย!! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะคะ!!”
อันนาตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด เธอพยายามจะสลัดแขนของเธอออกจากคนพวกนั้น แต่แขนของพวกเขากลับแข็งแรงกว่าที่เธอคิดเอาไว้
“ยัยนี่! พูดญี่ปุ่นได้ก็ไม่บอก! ลากเธอไปเลยเว้ย!”
อันธพาลที่ดูท่าทางจะเป็นหัวโจกพูดขึ้น
พวกที่จับล็อกแขนอันนาจึงลากอันนาไปทั้งๆ ที่เธอไม่ยินยอม มันจึงทำให้เกิดการฉุดรั้งกันไปมา จนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหยุดมองดูด้วยความสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ช่วยด้วยค่ะ! ใครก็ได้ช่วยที!”
อันนาตะโกนขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง แต่ก็ไม่มีใครเข้าไปช่วยเหลือเธอแต่อย่างใด เพราะไม่อยากเสี่ยงที่จะโดนอันธพาลสี่คนนั่นทำร้ายเอา
“หยุดร้อง แล้วมากับพวกเราซะดีๆ! เดี๋ยวพวกเราพาไปทำอะไรสนุกๆ เองแหละน่า รับรองว่าเธอต้องติดใจมันแน่ๆ”
เจ้าหัวโจกพูดขึ้น
“นั่นพวกคุณกำลังจะทำอะไรกับเพื่อนของผม?”
เสียงของนานาเสะดังขึ้นด้านหลังของพวกอันธพาล
นานาเสะที่พึ่งซื้อมื้อเย็นเสร็จ พอเขาเดินออกมาก็พบกับเจ้าพวกนี้กำลังทำร้ายอันนาอยู่ แน่นอนว่าเขารู้สึกไม่พอใจมาก และยังมีอารมณ์โกรธคนพวกนี้อีกด้วยที่บังอาจมาทำร้ายเพื่อนของเขา
พวกอันธพาลสะดุ้งตัวเล็กน้อย เจ้าหัวโจกกับเพื่อนอีกคนที่ไม่ได้ล็อกตัวอันนาหันมา และมีท่าทีจะหาเรื่องนานาเสะ
“หา? เพื่อนแกงั้นเหรอวะ งั้นพวกเราขอยืมตัวสักคืนได้ไหม เดี๋ยวใช้เสร็จแล้วจะเอามาคืน ฮ่าๆๆๆ”
เจ้าหัวโจกพูดกับนานาเสะพร้อมกับหัวเราะออกมาดังลั่น
นานาเสะที่พยายามข่มความโกรธ พูดตอบกลับออกไปอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่ตัวเขาในตอนนี้จะทำได้
“กรุณาปล่อยตัวเพื่อนผมด้วยเถอะครับ”
นานาเสะพูด
“ไอ้เวรนี่ พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือยังไงกันวะ ก็บอกว่าขอยืมตัวก่อนไง!”
อันธพาลอีกคนเดินเข้ามาหาเรื่องนานาเสะ ก่อนจะผลักหน้าอกของเขา
แต่เหนือความคาดหมายของทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น นานาเสะทิ้งกระเป๋าลงพื้น พร้อมกับจับแขนที่บังอาจมาแตะตัวเขาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต และจับเจ้าของแขนนั่นเหวี่ยงขึ้นฟ้าและทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง
‘อั่ก!!!’
ร่างนั้นลอยตามแรงเหวี่ยงราวกับกระดาษ ก่อนจะกระแทกพื้นอย่างแรง เจ้าอันธพาลรายนั้นสลบเหมือดไปเป็นที่เรียบร้อย
“ไอ้เวรนี่ แกกล้าทำกับเพื่อนฉันงั้นเหรอ!!!”
เจ้าหัวโจกปรี่เข้ามาจะต่อยนานาเสะ
แต่เขาก็หลบมันนั้นได้ ก่อนจะเตะสวนไปที่ชายโครงของเจ้าของหมัดอย่างแรง และตามด้วยสวนหมัดเข้าไปที่ใบหน้าของเจ้าหัวโจก จนใบหน้าของมันสะบัดไปตามแรงต่อย
‘ตุบ!!’
ร่างของเจ้าหัวโจกลงไปนอนสลบแทบเท้าของนานาเสะ
เหตุผลที่นานาเสะสามารถเอาชนะเจ้าพวกนี้ได้อย่างง่ายดายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก เพราะว่าเขาได้รับการฝึกฝนเกี่ยวกับศิลปะต่อสู้หลายแขนงมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็น มวยไทย, ยิวยิตสู, คาราเต้ และอื่นๆ อีกมากมาย นั่นจึงทำให้เขาสามารถต่อสู้ด้วยมือเปล่าได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ
“ใครอยากเป็นรายต่อไปก็เข้ามา!!”
นานาเสะตะโกนใส่เจ้าพวกอันธพาลสองคนที่เหลือ สายตาของเขาราวกับเสือที่กำลังจ้องเหยื่อที่กำลังจะถึงฆาต นั่นทำให้พวกมันสองคนกลัวมาก เพราะหัวหน้าของพวกมันกับเพื่อนก็นอนสลบไปแล้ว
พวกมันรีบปล่อยแขนของอันนา แล้ววิ่งมาพยุงร่างของเพื่อนพวกมันก่อนจะวิ่งแหวกทางหนีหายไปท่ามกลางคนที่มามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ไม่นานพอทุกอย่างคลี่คลายผู้คนก็สลายตัว นานาเสะเดินเข้ามาดูอาการของอันนา พร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วงตามประสา
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าอันนา?”
อันนาส่ายหน้ารัวๆ
“มะ…ไม่เป็นไร แค่เจ็บนิดหน่อย เดี๋ยวก็หายแล้ว”
เด็กสาวตอบ
การกระทำเมื่อสักครู่ของนานาเสะนั้นเท่ห์มากในสายตาของอันนา มันเหมือนกับเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเจ้าหญิงในนิทานที่เธอเคยอ่านตอนเด็กๆ เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงกว่าปกติมาก ราวกับว่ามันจะหลุดออกมาจากอกอย่างไรอย่างนั้น
“ถ้าไม่เป็นไรมากก็ดีแล้ว งั้นมาสิ…”
นานาเสะพูดพร้อมกับยื่นมือไปหาอันนา
เด็กสาวที่ไม่เข้าใจการกระทำของเขา ยืนงงไปชั่วขณะ แต่พอทำความเข้าใจทุกอย่างได้แล้ว เธอกลับรู้สึกเขินอายขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งยังสัมผัสได้ว่ามันเป็นความเขินอายที่เธอไม่คุ้นชินกับมันเอามากๆ เสียด้วย
จริงอยู่ที่นี่เป็นแค่การจับมือธรรมดาทั่วๆ ไป นานาเสะคงไม่คิดอะไรมาก อีกทั้งก่อนหน้านี้อันนาเองก็เคยจับมือถือแขนกับเขา หรือขั้นกว่านั้นก็เคยเดินควงแขนเขามาแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงการเล่นสนุกตามประสาของเธอเท่านั้น ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้เธอถึงได้รู้สึกเขินอายขึ้นมาก็ไม่รู้
“เป็นอะไรไป? หรือว่าเจ้าพวกนั้นมันทำร้ายเธอที่อื่นด้วยงั้นเหรอ? ให้ฉันแบกเธอขึ้นหลังเอาไหม?”
เด็กหนุ่มถาม
อันนาเงยหน้ามองหน้าของนานาเสะแทบจะในทันที ขืนให้เขาแบกเธอขึ้นหลังตอนนี้มีหวังเธอได้หัวใจวายตายก่อนแน่ๆ
อันนาจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของนานาเสะ แล้วก็ได้พบว่าเขาไม่ได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของการคิดไปในทางที่หยาบคายกับตัวเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
‘ทำไมนายถึงมาใสซื่อเอาเวลานี้กันยะ!!!’
อันนาตะโกนอยู่ภายในใจอย่างสุดเสียง
แต่สุดท้ายแล้วหลังจากอิดออดเล็กน้อย อันนาก็ยอมยื่นแขนให้นานาเสะจูง นั่นจึงทำให้ในระหว่างทางกลับบ้านของวันนั้น เธอถูกเขาจูงแขนเดินกลับบ้านราวกับเด็กน้อย
.
พอเปิดประตูบ้านเข้ามา อันนาไม่ได้พูดทักทายกลับมาตามปกติ เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว โดยที่ฮานาโกะที่ยืนทำอาหารอยู่นั้นไม่ทันแม้แต่ที่จะได้ทักทายเธอเลย
“แปลกจัง ทำไมวันนี้อันนาดูจังดูรีบร้อนจังเลยนะ?”
ฮานาโกะพึมพำเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เธอคิดว่าอันนาอาจจะมีธุระอะไรอยู่ก็เป็นได้
“งืออออ~~”
ภายในห้อง อันนาทิ้งกระเป๋าไว้ที่เก้าอี้ ก่อนจะโดดขึ้นเตียงและกลิ้งไปมา เธอพยายามลืมความรู้สึกที่เกิดขึ้นทิ้งไป แต่ก็พบว่ามันทำไม่ได้
และยิ่งเธอมองมือข้างที่ถูกนานาเสะจูงเมื่อสักครู่ ความเขินอายยิ่งเพิ่มทวีคูณเข้าไปใหญ่
“ไม่ไหว…ทำไมกันนะ…ทำไมฉันไม่ชินกับความรู้สึกนี้เลย…”
อันนาพึมพำเป็นภาษาเยอรมันอยู่ตัวคนเดียว
ตอนค่ำของวันนั้นจิตใจของอันนาว้าวุ่นอยู่กับความรู้สึกแปลกใหม่ที่เธอไม่คุ้นชินมาก่อนอยู่พักใหญ่ๆ เลยทีเดียว