เคหสถานสูงตระหง่านสไตล์อิตาลีสีขาวสะอาดตากินพื้นที่ไปกว่าแปดไร่เป็นที่อยู่ของครอบครัวตุลภาคโสภณ เจ้าของธนาคารทีพีเอส ธนาคารเอกชนขนาดใหญ่ของประเทศ และห้างสรรพสินค้าทีพีเอสซึ่งถือว่าเป็นที่รู้จักในวงกว้างไม่ต่างกัน ในห้องโถงขนาดใหญ่มีร่างเล็กของคุณหนูหน้าบึ้งนั่งกอดอกอยู่บนโซฟา ดวงตากลมโตสีดำสนิทบ่งบอกถึงอาการไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
“ไม่ต้องมากอดอกหน้าบึ้งใส่ป๊าเลยนะหม่อนไหม… นี่ป๊ายังไม่ได้ลงโทษหนูเรื่องเรื่องที่หนูกลับไทยแล้วไม่ยอมบอกแต่ไปโผล่อีกทีที่ผับเลยนะ ถ้าพี่มาร์ชไม่ออกไปรับ ป๊าก็คงไม่รู้” เสียงของเจ้าสัวโฆษิตดังขึ้นเพื่อปรามกิริยาไม่น่ามองของลูกสาวคนสวย
“ก็หนูบอกป๊าแล้วนี่คะว่าหนูแค่อยากเซอร์ไพรส์เฉย ๆ" หม่อนไหมยังคงเถียงสู้ตามนิสัยเด็กดื้อที่โดนตามใจมาตั้งแต่เล็ก ๆ ริมฝีปากอิ่มเคลือบกลอสสีชมพูพีชคว่ำเบะลง “หม่าม้าขา…”
“ไม่ต้องมาเรียกหม่าม้าเลยนะหม่อนไหม ม้าอยากจะตีเราจริง ๆ เลย ทำไมถึงไม่กลับบ้าน ไปเที่ยวกลางคืนจนได้ หม่อนก็รู้ไม่ใช่เหรอลูกว่าไม่ม้าไม่ชอบ" คุณหญิงดาริกาเอ่ยปรามด้วย แม้อายุจะมากจนเลยวัยสาวไปหลายปีแล้ว แต่ความสวยที่หม่อนไหมถอดแบบมายังประดับอยู่บนใบหน้าไม่มีลดลง
“พี่มาร์ช” คราวนี้หม่อนไหมหันไปหาพี่ชายของตน ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเจ้าสัวโฆษิตในสมัยหนุ่ม ๆ ทำหน้าเบื่อโลกเมื่อน้องสาวกำลังจะเอาระเบิดยัดใส่มือตน “ทำไมพี่มาร์ชต้องบอกป๊ากับม้าด้วยว่าออกไปรับหนู ฮึ่ย"
“อะไร พี่ไม่อยากโกหกป๊ากับม้านี่นา เรานั่นแหละ ไปเที่ยวกลางคืนได้ยังไง โดนป๊ากับม้าบ่นน่ะถูกต้องที่สุดแล้ว ยัยตัวแสบ" แมกไม้ยกนิ้วขึ้นจิ้มหน้าผากน้องสาวไปหนึ่งที “นี่ดีนะที่กลับมาครบสมบูรณ์ ไม่งั้นพี่ได้โดนป๊ากับม้าเฉ่งแน่ ๆ"
“หม่อนดูแลตัวเองได้แล้วน่า… ป๊าขา ม้าขา ไม่โกรธหนูนะ หนูก็แค่ไม่ได้เที่ยวเลยตอนอยู่เดอรัม เลยคิดถึงความสนุก อยากจะมาปลดปล่อยที่ไทยนี่คะ" หม่อนไหมทำหน้างอแง ออดอ้อนเกาะแขนผู้เป็นแม่จนคุณหญิงดาริกาเริ่มจะใจอ่อน
“เอาละ ๆ เรื่องหนีเที่ยวก็ให้เป็นอันจบไป แต่คราวหลังม้าสั่งห้ามไม่ให้หม่อนทำแบบนี้อีกนะลูก สถานอโคจรมันน่าไปที่ไหน เป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทม้ากับป๊านะ แล้วก็อย่าดื้อกับพี่มาร์ชเขาด้วย"
“จำไว้ ห้ามดื้อกับพี่นะครับ" แมกไม้เอื้อมมือไปหยิกแก้มน้องสาวเบา ๆ ก่อนจะหันไปหาบิดาซึ่งตอนนี้หยุดดุหม่อนไหมและอ่านหนังสือพิมพ์ต่อแล้ว “ป๊าครับ เรื่องสำคัญที่ป๊าบอกว่าอยากคุยกับน้องคือเรื่องอะไรเหรอครับ”
เจ้าสัวโฆษิตพับหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ลงแล้วค่อย ๆ ถอดแว่นสายตาออก “เรื่องคู่หมั้นน่ะ ที่ครอบครัวเราเคยคุยกับครอบครัวอิศรวงศ์ เจ้าของเครือโรงแรมห้าดาวเบย์อิศที่ภูเก็ต มาร์ชคงจำได้ใช่ไหม ที่เดือนก่อนป๊าพาเราไปดูงานที่นั่น"
“คู่หมั้น!” ดวงตาของหม่อนไหมเบิกกว้าง ปล่อยมือออกจากแขนของผู้เป็นแม่ทันที “ป๊าหมายความว่ายังไงคะ… หมายถึงคู่หมั้นของใครคะ พี่มาร์ชเหรอคะ”
คุณหญิงดาริกาหัวเราะเบา ๆ แล้วลูบเส้นผมดำขลับของลูกสาวด้วยความเอ็นดู “ไม่ใช่หรอก จะไปเป็นคู่หมั้นของพี่มาร์ชเขาได้ยังไง ตระกูลอิศรวงศ์เขามีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแค่คนเดียวนะ"
“พี่จิณณ์ไงล่ะ ตอนเด็ก ๆ เห็นน้องหม่อนวิ่งตามต้อย ๆ เชียว" แมกไม้เอ่ยแซว ส่วนหม่อนไหมในตอนนี้เหมือนจะเครื่องช็อตไปแล้ว
คู่หมั้นอะไรกัน!
“ป๊าคะ ม้าคะ! หนูยังไม่อยากมีคู่หมั้นนะคะ ไม่เอาค่ะ หนูไม่อยากมีแฟน ไม่อยากเป็นภรรยาของใคร หนูอยากอยู่กับป๊ากับม้าตลอดไป” หม่อนไหมเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ คุณหญิงดาริกาได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหัวเบา ๆ
“คงไม่ได้หรอกจ้ะลูกหม่อนของม้า เพราะหนูกับจิณณ์หมั้นกันตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ถึงจะเป็นความเห็นชอบของผู้ใหญ่อย่างเดียว แต่ก็ถือว่าหมั้นกันแล้วเรียบร้อยนะ”
“ไม่เอาค่ะ!” หม่อนไหมลุกขึ้นยืน “ป๊ากับม้าอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กับหนูนะคะ หนูขอเวลาก่อน…” พูดจบหญิงสาวก็รีบเดินขึ้นไปบนห้อง ทิ้งพี่ชายและพ่อแม่ให้นั่งถอนหายใจอยู่อย่างเหนื่อยอ่อน
“น้องคงกำลังช็อกครับ เพิ่งเรียนจบกลับมาอยู่ ๆ ก็ต้องมาฟังเรื่องคู่ชีวิต”
“คงลืมไปแล้วมั้งว่าเมื่อก่อนตามติดจิณณ์ขนาดไหน" เจ้าสัวโฆษิตเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม นึกถึงเด็กชายเด็กหญิงในอดีตที่ตามหลังกันต้อย ๆ เพราะครอบครัวอิศรวงศ์นั้นสนิทกับทางตระกูลตุลภาคโสภณมาแต่ไหนแต่ไร
ด้วยเหตุนั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายเมื่อสิบกว่าปีก่อนจึงลงความเห็นว่า ในอนาคตจะต้องมีงานมงคลระหว่างจิณณ์ อิศรวงศ์ และหม่อนไหม ตุลภาคโสภณเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ก็จิณณ์ไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียตั้งแต่ไฮสคูลนี่ครับ ป่านนี้ก็คงลืมน้องหม่อนไปแล้วเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันเป็นสิบปีแล้ว" แมกไม้ลงความเห็น “ป๊ากับม้าได้คุยกับทางนั้นหรือยังครับ เรื่องที่หมั้นหมายน้องเอาไว้"
“ม้าได้คุยกับคุณหญิงประไพแล้วละ ทางนั้นเขายินดีจะรับหม่อนไหมเป็นสะใภ้ แต่ยังไม่เคยได้คุยกับจิณณ์เลย เห็นว่าอีกสองสามวันจะกลับมาไทยแล้ว ม้าก็คงพาหม่อนไหมไปทานข้าวที่บ้านอิศรวงศ์ เด็ก ๆ จะได้เจอกัน"
“ถ้าน้องหม่อนได้เจอกับจิณณ์อาจจะเปลี่ยนใจ พูดง่ายขึ้นกว่าเดิมก็ได้ครับ" แมกไม้สนับสนุนความคิดของพ่อแม่
“เป็นแบบนั้นได้ก็ดี ป๊ากับม้ามีแต่จะแก่เฒ่าไปข้างหน้า อยากเห็นลูก ๆ ทั้งสองเป็นฝั่งเป็นฝาสักที มาร์ช เราก็เหมือนกันนะ พาลูกสะใภ้มาให้ม้าเห็นได้แล้ว" คุณหญิงดาริกาจับมือของลูกชายมากุมไว้หลวม ๆ
“ได้สิครับม้า แต่ขอเวลาหน่อยนะครับ" แมกไม้รับคำพร้อมทั้งกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เชิญหม่อนไหมเข้าพิธีวิวาห์ไปก่อนแล้วกัน เพราะเขายังไม่มีคนรักในตอนนี้
สู้ ๆ นะตัวแสบ