ขวัญชนกที่ตระหนักได้ว่าต่อต้านไม่ไหวก็แค่เข้าร่วม คว้าเอาแก้วเหล้าบ๊วยของโปรดขึ้นดื่มแล้วออกสเต็ปโยกเบา ๆ ไปกับเพื่อนรักบ้าง ทั้งคู่กอดคอกันพร้อมกับเล่าเรื่องราวของตัวเองในช่วงเวลาที่ต้องอยู่โดยปราศจากกันและกัน
“ที่นู่นหม่อนมีเพื่อนที่เป็นบัดดีในภาควิชาชื่อเจสซี่ สวยมากเลยนะ แต่มองไปมองมาแล้วก็เหมือนขวัญเลย ผมสีน้ำตาลแดง… หยักศกกว่าหน่อย ๆ ดุน้อยกว่าขวัญนิดหนึ่ง ยิ่งอยู่กับเจสซี่ยิ่งคิดถึงขวัญมากเลยอ่า" หม่อนไหมแนบแก้มแดง ๆ ลงไปบนไหล่ของขวัญชนก
“ชิ คิดถึงขวัญ แต่ก็ไม่เคยโทรมาหาขวัญก่อนเลย เราอยากจะตีคนโหมอ่านหนังสือจนไม่ได้นอนจริง ๆ"
“ก็หม่อนอยากได้เกียรตินิยมนี่นา… ตอนนี้ก็ได้มาแล้วนะ"
“เรายินดีกับหม่อนด้วยนะ เก่งที่สุดในสามโลกเลย” ขวัญชนกชนแก้วใสกับเพื่อนสนิทจนได้ยินเสียงดังกริ๊ก ก่อนจะเพิ่งสังเกตว่ามีหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาดีสองคนเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะของเรา
หม่อนไหมยกแก้วเครื่องดื่มอีกใบขึ้นชนเป็นการผูกมิตร คนผมสีบลอนด์สว่างจึงเริ่มต้นเปิดบทสนทนาระหว่างเราสี่คน
“สวัสดีครับ แอบมองสองสาวมาสักพักแล้ว มากันแค่นี้ ไม่เหงาแย่เหรอครับ”
“ไม่เลยค่ะ คุณก็มากันสองคนนี่นา ไม่เหงาเหรอคะ” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มขยิบตาให้ทีหนึ่งขณะถามยอกย้อนกลับ สองหนุ่มผิวปากแซวก่อนแวะชนแก้วกับขวัญชนกที่ยืนอยู่เคียงข้าง
“ถ้าได้คนสวยอย่างคุณไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยก็คงไม่เหงา หุ่นสะบึ้มขนาดนี้เพื่อนผมคงอยากจะเวียนเทียนคุณรอบโต๊ะ" หนุ่มตัวโตหัวเกรียนที่เดินมาด้วยกันเอื้อมมือออกมาหมายจะแตะเข้าที่หน้าอกอวบอิ่ม ทว่าหม่อนไหมกลับเป็นฝ่ายสัมผัสเขาเข้าซะก่อน
มือบางที่ดูเหมือนจะไม่ได้มีแรงมากบีบเข้าที่ข้อมือของชายหัวเกรียนพร้อมกับบิดเต็มแรงจนเจ้าของมือที่มีความคิดโสโครกถึงกับร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย!!”
“เฮ้ยคุณ! ปล่อยเพื่อนผมเดี๋ยวนี้" หนุ่มผมบลอนด์รีบดึงมือเพื่อนออกจากการเกาะกุมของหม่อนไหม “พูดกันดี ๆ ก็ได้นี่ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันด้วย”
“นี่ถือว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับสิ่งที่เพื่อนของคุณพูดจาไม่ให้เกียรติฉัน" แววตาที่ดูเหมือนจะฉ่ำเยิ้มไปด้วยความเมามายเมื่อครู่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว “พูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ยังไง ในสมองน่ะได้กลั่นกรองบ้างหรือเปล่าว่ามันไม่สมควร"
“นั่นสิคะ ถ้าเอาแก้วมาชนแล้วผูกมิตรกันดี ๆ ก็ไม่มีใครว่าหรอกค่ะ นี่เล่นแทะโลมทางคำพูดได้ต่ำมาก" ขวัญชนกที่ดูจะหงุดหงิดแทนเพื่อนมาก ๆ รีบผสมโรงด้วยทันที “ลองคิดว่าถ้ามีผู้ชายสารเลวมาพูดแบบนี้กับลูกสาวคุณบ้างจะรู้สึกยังไง"
“เฮ้ ไม่เห็นต้องจริงจังกันขนาดนี้เลยนี่ พวกเราก็แค่พูดเล่นกันขำ ๆ" หนุ่มหัวเกรียนปากไม่มีหูรูดตัวต้นเรื่องลูบข้อมือป้อย ๆ “แต่งเนื้อแต่งตัวก็ดูเหมือนจะมาล่อเหยื่อเต็มที่อยู่แล้วนี่"
"ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าสิ่งที่พูดออกมาน่ะมันทุเรศแค่ไหน ฉันมาเที่ยว ไม่ได้มารองรับคำพูดจาแทะโลมจากคนแบบคุณ ไปให้พ้นหน้าฉันได้แล้ว” ใบหน้าสวยคมของหม่อนไหมเต็มไปด้วยความโมโห จนถึงตอนนี้คนที่ล่วงเกินเธอทางคำพูดก็ยังไม่มีสำนึกที่จะขอโทษ
สองหนุ่มจิ๊ปากอย่างขัดใจขณะเดินออกไป ขวัญชนกจึงเข้ามาลูบไหล่เธอเบา ๆ เป็นการปลอบโยน
“ไม่เป็นไรนะหม่อน ดันเจอพวกน่ารำคาญซะได้ คืนนี้คงกร่อยแล้วแน่เลย… ใช่ไหม”
หม่อนไหมพ่นลมหายใจแรง ๆ ขณะรวบเส้นผมสีดำขลับเงางามขึ้น “ไม่หรอกน่า ที่เดอรัมก็มีคนประเภทนี้อยู่เยอะ ถ้ารับมือแล้วไล่ไปได้ก็ถือว่าเรียบร้อย สิ้นเรื่อง เรามาดื่มกันต่อเถอะขวัญ!”
สองสาวกลับมาสนุกไปกับเสียงเพลงดังกระหึ่มจนลืมเรื่องเมื่อครู่จนหมด ระหว่างนั้นมีชายหนุ่มอีกหลายต่อหลายคนที่เห็นใบหน้าสวยคมกระชากใจของหม่อนไหมและคมขำแบบนิ่ง ๆ อย่างขวัญชนกแล้วเป็นต้องอดรนทนไม่ได้ เดินเข้ามาชนแก้วด้วย เรียกได้ว่าผลัดเปลี่ยนเวียนเดินมาขอชนแก้วแทบจะทุก ๆ สิบนาที ชนหนึ่งครั้งก็ต้องจิบหนึ่งหน ทำเอาขวัญชนกชักทนไม่ไหว
“ชักจะปวดหัวแล้วแฮะ… ถ้าฉันดื่มมากกว่านี้คงกลับไม่ไหวแน่ ๆ" ขวัญชนกวางแก้วสุดท้ายของตัวเองลงบนโต๊ะ “ขนาดยืนยังโงนเงนเลย ให้ตายสิ คงขับรถกลับเองไม่ไหวแล้ว เราขอกลับก่อนได้หรือเปล่าหม่อน ถ้าดึกกว่านี้คนขับรถต้องเอาไปฟ้องป๊ากับม้าเราแน่ ๆ ว่าเราเที่ยวดึก"
หม่อนไหมที่ยังมีสติหลงเหลืออยู่พอควรยกมือทำท่าโอเคไว้ที่แก้มทั้งสองข้ามพร้อมกับเอียงคออย่างน่ารัก
“ได้สิคะ~ขวัญขวัญของหม่อนหม่อน"
“นี่หม่อนโอเคใช่ไหมเนี่ย… ให้เราไปส่งที่บ้านไหม…” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงถามด้วยความเป็นห่วง “นี่ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้วนะ…”
หม่อนไหมส่ายหัว ยิ้มร่าขณะยกแก้วเครื่องดื่มแบบช็อตขึ้นกรอกลงคอเพิ่ม “อืม… เดี๋ยวหม่อนกลับเองน้า ขวัญกลับก่อนได้ หม่อนขอเช็กบิลก่อนน้า~เช็กบิลหน่อยค่า…”
“หม่อน…” ขวัญชนกยกมือขึ้นแปะหน้าผากตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน ความพะอืดพะอมเริ่มโจมตีขึ้นมา ทำให้จำต้องบอกลาเพื่อนรักไว้เพียงเท่านั้นแล้วรีบออกไป
พนักงานของร้านเข้ามาแจ้งยอดทั้งหมด หม่อนไหมหยิบเอาบัตรเครดิตสีเงินวางลงไป ระหว่างที่รอก็เอนกายพิงโซฟาหลับตาด้วยความรู้สึกโล่งหัวเมื่อเพลงในบาร์เริ่มเปลี่ยนจากแนวอีดีเอ็มเป็นเพลงพ็อปฟังเพลินแล้ว ทว่าความรู้สึกเหมือนพื้นที่ว่างข้าง ๆ ของโซฟายวบลงทำให้ลืมตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจ
“สวัสดีครับ เห็นคุณนั่งอยู่คนเดียว ผมก็เลยอยากมานั่งเป็นเพื่อน" หนุ่มนิรนามหน้าตาพอไปวัดไปวาได้เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม ดวงตากลมโตของหม่อนไหมพร่าเลือนจนไม่อาจเห็นได้ชัด เธอส่ายหัวเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเขาคนนั้นยื่นแก้วมาตรงหน้า
“ไม่ไหวแล้วค่ะ ฉันไม่ดื่มแล้ว" มือบางคว้าเอากระเป๋าถือมาวางบนตัก อยากจะเปิดหาโทรศัพท์มือถือเพื่อใช้เรียกรถให้มารับไปยังโรงแรมที่จองห้องและเก็บกระเป๋าเดินทางไว้ แต่ดูเหมือนจะหาไม่พบ
“หานี่อยู่หรือเปล่าครับ" ชายหนุ่มยกมือถือเคสสีชมพูสดใสมาให้ตรงหน้า หม่อนไหมจึงรีบคว้ามาทันที “ไม่สนใจไปต่อกับผมเหรอครับ ดูท่าทางแล้วคุณคงยังไม่อยากกลับเร็ว ๆ นี้"
“ไม่ค่ะ… ฉันเช็กบิลไปแล้ว ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ… เพื่อนกำลังรออยู่ที่ห้องวีวีไอพีด้วย" หญิงสาวรีบลุกขึ้นเมื่อรู้ตัวแล้วว่าเริ่มครองสติไม่อยู่ หม่อนไหมเดินโซเซไปคนละทางกับห้องน้ำเพื่อหลีกหนีชายนิรนามที่ยังนั่งอยู่ตรงโซฟา
หนุ่มหล่อที่เข้ามาทักหัวเราะเบา ๆ ยกเครื่องดื่มที่ในทีแรกตั้งใจจะมอบให้กับหญิงสาวเข้าปากตัวเอง นึกถึงขาประจำห้องวีวีไอพีแล้วรู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมา ริมฝีปากแห้งผากพึมพำโดยที่สายตาเหลือบมองขึ้นไปยังห้องดังกล่าวที่ชั้นบน
“เกือบไปยุ่งกับผู้หญิงของคนที่ไม่ควรยุ่งแล้วไหมล่ะ… รอดไปนะเรา"