EP.24 #เกิดเรื่อง

1134 Words
“ผมว่านะ เฮียหยุดมองลูกเขาด้วยสายตาแบบนั้นก่อนดีไหมอ่ะ เหมือนเด็กเขาจะกลัวนะนั่น” เพลิงศูรย์เก็บสายตากลับมามองพุธ เขาไม่รู้ตัวว่าตนเองใช้สายตาแบบไหนมองพวกเด็ก ๆ แต่มันสงสัย มันคาใจ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่เขาพลาดไป “เฮียก็สงสัยเหมือนกันใช่ป่ะว่าทำไมเด็กสองคนนั้นถึงหน้าเหมือนเฮียขนาดนี้” “มึงจะพูดอะไรกันแน่” เพลิงศูรย์ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะเขากำลังสงสัยมากจริง ๆ “ก็เฮียดูดิ เด็กสองคนนั้นนั่งกันตามลำพังมาสักพักแล้ว แสดงว่าพ่อแม่ของเด็กจะต้องอยู่ไม่ไกลแน่ ๆ หรือไม่ก็อาจจะเป็นลูกหลานเจ้าของร้านก็ได้” พุธพยักพเยิดไปทางเคาน์เตอร์ซึ่งมีพนักงานกำลังบริการลูกค้าอยู่ “ถ้าพวกเรานั่งรอตรงนี้จนกว่าจะมีคนมารับเด็กสองคนนั้น เราก็อาจจะได้เห็นหน้าพ่อแม่ของเด็ก ๆ ด้วยไง” เพลิงศูรย์ยังไม่ทันครุ่นคิดตามข้อเสนอแนะของพุธ เด็กหญิงก็ปีนลงจากเก้าอี้แล้วเดินไปทางห้องน้ำ เหลือเพียงเด็กชายที่ยังนั่งงัดแงะของเล่นในมืออยู่ “มึงจะทำอะไร” มือหนาคว้าแขนพุธเอาไว้เมื่อจู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืน พุธหันมาทำหน้าเจ้าเล่ห์ได้โคตรไม่น่าไว้ใจ “ผมจะเอาช็อกโกแลตไปหลอกล่อนิดหน่อย อย่างน้อยถ้าเรารู้ชื่อแม่ของเด็ก ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลานั่งรอนานไง” “ไม่ต้องเลยมึง คิดจะก่ออาชญากรรมหรือไง” “อาชญากรรมอะไรล่ะเฮีย พูดซะเสียหมด เอาน่า คอยดูฝีมือผม” แล้วพุธก็เดินไปทางโต๊ะของเด็กแฝด เขานั่งคุกเข่าด้านข้างเด็กชาย พูดคุยสองสามประโยคก่อนยัดช็อกโกแลตใส่มือเด็กน้อยแล้วเดินกลับมา “มึงคุยหรือข่มขู่กันแน่ไอ้พุธ เด็กนั่นก้มหน้าจ๋อยกว่าเดิมอีก” เพลิงศูรย์หัวคิ้วกระตุก มองเด็กชายที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตา แม้ในตอนเด็กหญิงเดินกลับมาก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น “แค่คุยน่าเฮีย แต่ไม่ได้ความอะไรเลย เด็กนั่นไม่ยอมบอกชื่อพ่อแม่อ่ะ ผมไม่อยากเซ้าซี้มากกลัวเด็กมันร้องก็เลยยกช็อกโกแลตให้ไปเลย” “สรุปก็คือไม่ได้เรื่อง?” พุธได้แต่กลอกตา เมื่อกี้ใครกันนะที่ห้ามเขาน่ะ พอไม่ได้ความกลับมายังจะมาว่าเขาอีก เขานี่มันช่างอาภัพเสียจริง เพลิงศูรย์เลิกสนใจเด็กสองคนนั้นแล้วหันกลับมาทำงานของตนเองต่อ เสียงเพลงเบา ๆ ภายในร้านดังคลอแข่งกับเสียงพายุฝนกระหน่ำด้านนอก พุธเองก็นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ ต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัวของตน ทว่าหลังจากนั้นไม่ถึงห้านาทีโต๊ะข้าง ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้น… กึง! “อ๊ะ! ขุนขุนเป็นอะไร?” เสียงของเล่นตกกระทบพื้นดังขึ้นพร้อมเสียงเล็ก ๆ ของเด็กหญิงตะโกนถาม เพลิงศูรย์หยุดชะงักมือ หันมองไปทางโต๊ะข้าง ๆ เขาเห็นเด็กชายกำลังฟุบหน้ากับโต๊ะโดยมีเด็กหญิงยืนอยู่ด้านข้างท่าทางร้อนรน “เกิดอะไรขึ้นอ่ะเฮีย?” พุธถามทั้งที่สองตายังมองไปทางเด็ก ๆ ด้วยความงุนงง เพลิงศูรย์ไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาเด็กทั้งสอง พุธจึงลุกขึ้นเดินตาม “เป็นอะไรหรือเปล่า” “ขุนขุน… ขุนขุนอย่าหลับนะ!” เด็กหญิงไม่ได้สนใจผู้มาใหม่ เธอพยายามเขย่าร่างน้อย ๆ ของน้องชาย ก่อนสายตาเหลือบไปเห็นของบางอย่างในมือน้อง เธอรีบหยิบขึ้นมาดู สองตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจมากกว่าเดิม “แย่แล้ว… คราวนี้แย่จริง ๆ แล้ว ทำไงดี ฮึก! เอยเอยจะทำไงดี” เพลิงศูรย์มองอาการตื่นตระหนกของเด็กหญิง ความว้าวุ่นผุดเข้ามาในใจ เขาอยากจะดึงร่างเล็ก ๆ เข้ามาโอบกอดปลอบประโลมเสียเหลือเกิน และเขาอาจจะทำแบบนั้นไปแล้วถ้าไม่ติดเสียงไอค่อกแค่กจากเด็กชายตัวน้อย “แค่ก ๆ” “เจ้าหนู เป็นอะไรไป? อาหารติดคอเหรอ?” มือใหญ่จับไหล่เล็กของเด็กชาย เมื่อใบหน้าขาวเงยขึ้น ดวงตาคมวูบไหวทันที “ผมว่าไม่ใช่อาหารติดคอแล้วนะเฮีย ผื่นขึ้นกะทันหันแถมหน้าบวมปากบวมหายใจติดขัดด้วย อาการแบบนี้มันคุ้น ๆ เหมือน…” พุธยังพูดไม่ทันจบ เพลิงศูรย์รีบเดินกลับมาที่โต๊ะค้นหาของบางอย่างจากในกระเป๋าก่อนเดินกลับมา ย่อตัวนั่งลงข้างเด็กชายที่เริ่มหายใจอ่อนแรง เขาถกขากางเกงเด็กน้อยขึ้นใช้ปลายนิ้วกด ๆ ตามบนต้นขาเล็ก “เฮียจะทำอะไร?” “เด็กนี่มีอาการแพ้อาหารเฉียบพลัน” เขาตอบคำถามพุธแต่สายตามองไปทางเด็กหญิง เจ้าเอยน้ำตาคลอ สีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างมาก พอได้ยินคุณลุงแปลกหน้าวินิจฉัยอาการน้องชายได้อย่างถูกต้อง เธอรีบพยักหน้ารับรัวเร็ว เมื่อมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่ตนคาดเดาถูกต้อง เขาจึงหยิบ Epipen หรือ Epinephrine รูปแบบปากกาขึ้นมา มันคือยาที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์โดยมักใช้รักษาภาวะแพ้อย่างรุนแรง ซึ่งผู้ป่วยแพ้อาหารส่วนมากจะพกยาชนิดนี้ติดตัวเอาไว้เสมอเผื่อไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินอย่างเช่นตอนนี้ เพลิงศูรย์เองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ป่วยแพ้อาหาร เขาจึงมียานี้พกติดตัวไปด้วยทุกที่ และคิดว่าเด็กคนนี้ก็คงมีพกติดตัวเหมือนกัน แต่ดูจากที่เด็กหญิงตื่นตกใจขนาดนั้นคงไม่มีสติมากพอจะควานหายามาให้เขาแน่ ๆ เพราะงั้นการช่วยชีวิตก่อนจึงเป็นเรื่องสำคัญ “จับเด็กไว้” พุธรีบทำตามคำสั่ง เขาจับเด็กชายเอนพิงกับพนักเก้าอี้ ตอนนี้ลูกค้าและพนักงานในร้านเริ่มเข้ามามุงแล้ว จินนี่เป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามา “เกิดอะไรขึ้นคะ! น้องขุนเป็นอะไรคะ?” เจ้าเอยรีบวิ่งเข้าไปเขย่าแขนจินนี่แล้วสะอื้นไห้ออกมา “โทรหาหม่าม้า! ฮึก โทรหาหม่าม้าทีค่ะพี่จินนี่ ขุนขุนอาการกำเริบอีกแล้ว” จินนี่รีบวิ่งกลับเข้าไปหลังเคาน์เตอร์แล้วกดต่อสายหานับฝันทันที ตอนนี้นับฝันไม่อยู่ที่ร้านและได้ฝากเด็ก ๆ ไว้กับเธอ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเด็ก ๆ เจ้ฝันต้องกังวลใจมากแน่!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD