“ขยับซ้ายอีกนิด”
“แบบนี้เหรอ”
“เยอะไป ๆ ขยับลงอีกหน่อย ไม่ ๆ นั่นต่ำไป”
“พอยัง?”
“มันยังเอียงอยู่ ขยับขึ้นอีกนิดสิเฮีย”
ร่างสูงที่กำลังเหยียบบันไดสูงสองเมตรเอื้อมมือดันป้ายเหนือประตูร้านเริ่มหน้าตึง เม็ดเหงื่อใส ๆ ไหลจากขมับลงมาตามสันกรามแล้วหยดติ๋ง ๆ เขาใช้หลังมือปาดทิ้งอย่างไม่ไยดี
“โอเค ๆ พอดีแล้ว”
“สักที!”
คนตัวสูงกระโดดลงมายืนบนพื้น เงยหน้ามองป้ายชื่อร้าน สายตาภูมิออกภูมิใจ
‘Le Rêve Café’ (คาเฟ่แห่งความฝัน)
“ในที่สุดเลอ แรฟ คาเฟ่ก็ได้แจ้งเกิดในไทยแล้วสินะ”
Le Rêve Café คือชื่อร้านกาแฟขนาดเล็ก ๆ ของนับฝันตอนอยู่เมืองกอลมาร์ หลังจากเธอตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย คาเฟ่หลังน้อยนั้นจึงถูกขายให้คนอื่น มีเพียงชื่อร้านที่เธอนำติดตัวกลับมาด้วย
คาเฟ่แห่งนี้ก็เหมือนกันคาเฟ่ทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือแตกต่าง สไตล์การตกแต่งร้านเน้นไปทางยุโรปตะวันตก บนผนังตกแต่งด้วยภาพวาดศิลปะเชิงอาร์ตซึ่งเป็นผลงานของเจ้าของร้าน มองไปมองมาคล้ายกับที่นี่เป็นแกลลอรี่คาเฟ่เสียมากกว่า
รอบตัวร้านตกแต่งด้วยสวนขนาดหย่อมเต็มพื้นที่สองร้อยตารางวา บรรยากาศภายในร้านเงียบสงบและมีมุมนั่งอย่างเป็นส่วนตัว โต๊ะแต่ละโต๊ะอยู่ห่างกันและมีกำแพงต้นไม้กั้นแบ่งเป็นโซน ที่นี่จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเงียบสงบและเป็นความส่วนตัวอย่างมาก
นอกจากคาเฟ่แห่งนี้จะมีเครื่องดื่มให้บริการแล้ว ยังมีเบเกอรี่และไอศกรีมหลากหลายชนิด เรื่องรสชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง การันตีด้วยใบประกาศนียบัตรจบหลักสูตรจำนวนสองใบบนผนัง
“วันเสาร์นี้ก็ถึงวันเปิดร้านแล้วใช่ไหม”
“อือ”
“แล้วเชิญบรรดาญาติพี่น้องเราครบหรือยัง?”
นับกาลสนใจเรื่องนี้มาก ความจริงคือตัวเขาเองอยากเจอญาติทุกคนเองมากกว่า ตั้งแต่ต่างคนต่างเติบโตแยกย้ายกันไปมีครอบครัวมีลูกมีเต้าก็แทบไม่ค่อยได้เจอหน้าเจอตากันเลยนอกจากในโซเชี่ยล คนที่ยังได้เจอกันอยู่ก็คือคนที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ส่วนพวกที่อยู่ไกลกันเช่นต่างจังหวัดหรือต่างประเทศเนี่ยแทบไม่เคยเห็นหน้าถ้าไม่มีงานอะไรสำคัญ ๆ อะนะ
“ฝันชวนทุกคนตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่ไม่รู้จะมากันครบหรือเปล่านะ ช่วงนี้เพิ่งเปิดประเทศด้วย เฮียก็อย่าคาดหวังมาก”
“อะไร? ใครคาดหวัง เฮียไม่ได้คาดหวังเหอะ”
นับฝันกลอกตาใส่พี่ชาย จ้า ไม่ได้คาดหวังเลยจ้า แล้วใครกันนะโพสต์โซเชี่ยลข่มขู่ทุกคนว่าถ้าใครไม่มาจะตัดญาติขาดมิตร ทำเอาพวกญาติพี่น้องเขาปั่นป่วนกันไปหมด
“เรื่องวัตถุดิบจัดการเรียบร้อยแล้วนะฝัน”
ร่างสูงของใครอีกคนเดินออกมาจากร้าน ใบหน้าหล่อเหลาสมฉายาเบ้าหน้าฟ้าประทานโดดเด่นรับแสงแดดยามบ่ายมาแต่ไกล ริมฝีปากหนาประดับรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ไม่ว่าสาว ๆ คนไหนเห็นเป็นต้องระทวย แต่ไม่ใช่กับสาวนับฝัน เพราะเธอชินกับดาเมจเรี่ยราดของผู้ชายคนนี้แล้ว
‘พายัพ’ คือเพื่อนชายคนสนิทของนับฝัน ทั้งคู่คบหากันตั้งแต่ชั้นประถม บ้านอยู่ใกล้กัน พ่อแม่เป็นเพื่อนกัน ทำให้ทั้งสองสนิทกันไม่ต่างจากพี่น้อง แม้ตอนที่นับฝันย้ายไปอยู่ฝรั่งเศส พายัพก็ยังย้ายตามเธอไปด้วย ตลอดเวลาหกปีที่ใช้ชีวิตต่างแดน เธอมีพายัพอยู่เคียงข้างเสมอ
สำหรับนับฝันแล้ว พายัพคือคนสำคัญ เขาเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่น้อง และครอบครัวของเธอ แม้ในอดีตเคยเกิด ‘เรื่องนั้น’ ขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองสั่นคลอนอยู่บ้าง แต่ความผูกพันในวัยเยาว์นั้นแน่นหนาเกินกว่าจะตัดขาดจากกันได้ นับฝันรับรู้ความรู้สึกของพายัพที่มีให้ตน แต่เพียงแค่รับรู้ ไม่ได้รับไว้… ซึ่งพายัพเข้าใจ และยินดีอยู่เคียงข้างเธอไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม
“อื้อ มีอะไรต้องสั่งเพิ่มอีกไหม ฝันจะได้สั่งทีเดียว”
“ไม่มีแล้วนะ เราสั่งมาครบหมดแล้ว”
“โอเค ขอบใจมากนะพา”
นับฝันก้มหน้าก้มตาอ่านใบรายชื่อวัตถุดิบในมือ สีหน้าจริงจังตั้งใจมาก ร่างสูงขยับเข้าใกล้พลางยกมือเกลี่ยปอยผมข้างแก้มทัดใบหู ปลายนิ้วโป้งปาดเช็ดคราบฝุ่นข้างแก้มนวลแผ่วเบา นับฝันไม่ได้ใส่ใจเพราะเคยชินกับการกระทำแบบสนิทชิดเชื้อของพายัพแล้ว แต่ไม่ใช่กับผู้ชายร่างโตอีกคน
“อะแฮ่ม! แฮ่ม ๆ กูยังยืนอยู่” นับกาลกระแอมกระไอเสียงดังขัดจังหวะบรรยากาศสีชมพูของทั้งสอง พายัพยกยิ้มเนือย ๆ ชักมือกลับเปลี่ยนเป็นกำมือจ่อริมฝีปากแสร้งไอกลบเกลื่อน
“ฝันไปล้างหน้าก่อนเถอะ มอมแมมไปหมดแล้ว”
“อ๊ะ เหรอ” เธอยกหลังมือปาดข้างแก้มลวก ๆ เป็นจังหวะเดียวกับรถยนต์คันหนึ่งขับเข้ามาจอดเทียบหน้าร้าน ประตูรถเลื่อนออกปรากฏร่างเล็ก ๆ ของเด็กน้อยสองคนวิ่งลงมา
“ปาปา~~ ปาปามาแล้วเหรอ~” เจ้าขุนวิ่งถลาเข้าใส่พายัพด้วยสีหน้าดีใจ ร่างสูงอุ้มเด็กน้อยขึ้นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเอ็นดู
เพราะเด็ก ๆ ออกเสียง พ.พาน ไม่ชัด และคำเขียนชื่อภาษาอังกฤษของพายัพคือตัว P ทำให้เด็ก ๆ ติดเรียกเขาว่าปาปามาตั้งแต่จำความได้ หากทว่าชื่อเรียกนี้มันกลับพ้องเสียงคล้ายคำว่า ‘ปะป๊า’ จึงมีหลายคนมักเข้าใจผิดคิดว่าพายัพคือพ่อของเด็กทั้งสองอยู่เป็นประจำ เรื่องนี้ทำให้นับกาลรู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อยจึงพลอยชักสีหน้าทุกครั้งที่ได้ยินเด็ก ๆ เรียกขานเขา
“ปาปามาช้าจัง เอยเอยบอกว่าปาปาลืมพวกเราแล้ว เอยเอยไม่น่ารักเลยฮะ เอยเอยใจร้ายมาก ปาปาจะลืมพวกเราได้ยังไง เนอะ ๆ”
“เอยเอยพูดจริงนิ ก็พวกเราย้ายเข้าบ้านใหม่ตั้งนานแล้วแต่ปาปาไม่มาหาสักทีนี่นา เอยเอยไม่ผิดนะ ขุนขุนนั่นแหละงอแงหาว่าปาปาไม่รักเอง ไม่เกี่ยวกับเอยเอยเลยนะคะหม่าม้า” เด็กหญิงแฝดพี่ทำหน้าตาขึงขัง ริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มเชิดขึ้น มั่นใจมากว่าตนเองไม่ผิด ท่าทางนั้นเรียกเสียงหัวเราะเบิกบานใจจากร่างสูงผู้ก้าวเท้าลงจากรถตามหลังเด็กทั้งสอง
“สมแล้วที่เป็นหลานสาวตา เลือดนักสู้ของตามันแรงดีจริง ๆ ฮ่า ๆ”
“คุณตาขา~” เจ้าเอยถลาเข้าอ้อมกอดคุณตาสุดที่รัก ‘นับพัน’ ย่อตัวอุ้มหลานสาวหัวแก้วหัวแหวน สีหน้าเปี่ยมล้นด้วยความรักใคร่
หากคิดว่าเฮียนับกาลเป็นลุงจอมสปอยหลานที่สุดในโลกแล้วนั้น ป๊านับพันนี่เรียกว่าเป็นคุณตาจอมสปอยระดับทะลุจักรวาลเลยเชียวแหละ
ความช่างสปอยมันเข้มข้นในสายเลือดสินะ