“ทำไมกลับมาเร็วจังละคะ ไหนว่าจะกลับเย็น ๆ หน่อย แถมยังมาที่ร้านอีกต่างหาก” นับฝันเลิกคิ้วถามผู้เป็นพ่อ
“ก็ม้าลูกน่ะสิบอกว่าอยากจะทำอาหารทานกันพร้อมหน้าพร้อมตาเย็นนี้ ป๊าเลยพาแวะซูเปอร์ฯ ซื้อวัตถุดิบแล้วก็ตรงมาที่นี่เลย”
“เสร็จธุระที่ร้านหรือยังล่ะฝัน ถ้าเสร็จแล้วจะได้ตามกลับบ้านด้วยกัน จะได้ช่วยม้าทำอาหาร” เสียงหวานเจือความใจดีดังขึ้น ‘เฟรย่า’ คุณยายยังสาวยังสวยวัยห้าสิบของเด็ก ๆ ก้าวลงจากรถ รอยยิ้มนับฝันปรากฏจาง ๆ มุมปากยามมองผู้เป็นแม่
นับฝันสนิทกับม้ามาก ๆ ตอนย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสใหม่ ๆ ช่วงนั้นเป็นช่วงจิตตกที่สุดในชีวิตของนับฝัน ทั้งตั้งท้อง ทั้งจมอยู่กับความเสียใจ อารมณ์แปรปรวนชนิดที่ว่าต้องพึ่งพาจิตแพทย์อยู่ช่วงหนึ่ง โชคดีที่เธอก้าวผ่านวันเวลาย่ำแย่เหล่านั้นมาได้เพราะมีครอบครัวเคียงข้าง รวมถึงเพื่อนสนิทอย่างพายัพด้วย
“เสร็จแล้วค่ะ ว่าแต่เฮียจะไปบ้านฝันด้วยไหม หรือว่าต้องกลับบ้านเลย?”
“เฮียโทรบอกให้หยาดพาลูกมาที่นี่แล้ว เย็นนี้พวกเราจะได้ทานอาหารกันพร้อมหน้าพร้อมตา”
“จริงสิ ตายายมารอที่บ้านฝันแล้วใช่ไหม?” ม้าหันมาถามนับฝัน
“ตายายมาถึงตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วค่ะ บ่นคิดถึงหลาน ๆ ไม่หยุดเลยด้วย”
“อย่าว่าแต่ฝั่งตายาย ฝั่งปู่ย่าก็น้อยหน้าซะที่ไหน นี่ก็กำลังบึ่งรถมาอยู่ เห็นว่าจะมาพักบ้านยัยฝันจนกว่าจะถึงวันเปิดร้านเลยด้วย” ป๊าทำหน้าเนือย ๆ เมื่อพูดถึงปู่กับย่า ดูท่าแล้วเย็นนี้บ้านของเธอคงจะครึกครื้นน่าดูทีเดียว โชคดีนะที่ตอนสร้างบ้านเธอคิดเผื่อเอาไว้แล้วจึงมีห้องรับแขกมากพอรับรองพวกญาติ ๆ เพราะญาติเธอน่ะเยอะมาก อย่าให้ได้ลำดับวงศ์ตระกูลเลย ทั้งฝั่งป๊าฝั่งม้าเยอะแยะไปหมด นับญาติกันไม่จบสิ้นแน่
.
.
.
ตกเย็น
บรรยากาศภายในบ้านหลังน้อยเต็มไปความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ เสียงเด็ก ๆ ทั้งสามวิ่งเล่นกันสนุกสนาน หลังทานมื้อเย็นเสร็จทุกคนย้ายมานั่งกันที่ศาลาในสวน ฝั่งปู่ย่าตาทวดก็นั่งคุยกันออกรสด้วยเพราะไม่ค่อยได้เจอหน้ากันบ่อย ๆ เรื่องที่คุยกันหลัก ๆ ก็หนีไม่พ้นเรื่องสมัยเอ๊าะ ๆ ของพวกท่าน
“ตอนหนุ่ม ๆ คุณปู่ทวดกับคุณตาทวดใครหล่อกว่ากันเหรอคะ?” เสียงไร้เดียงสาเอ่ยถามตาแป๋ว เจ้าเอยกำลังยืนเกาะขอบศาลา ด้านข้างมีเจ้าขุนกับทันกาลทำท่าเลียนแบบเจเจ้อยู่ด้วย
“โอ้ ของมันแน่อยู่แล้ว ก็ต้องเป็นปู่ทวดสิหลานรัก ตาทวดของหลานน่ะหล่อสู้ปู่ทวดไม่ได้หร้อก”
‘นำทัพ’ ปู่ทวดวัยเกือบเจ็ดสิบเชิดหน้าหัวเราะ ทำเอาตาทวดอย่าง ‘ไซเรนท์’ อดจะกลอกตาใส่ไม่ได้ แก่หงำเหงือกปูนนี้แล้วยังคิดจะมาขิงใส่เขาอีกเรอะ!
แม้ทั้งคู่จะอยู่ในวัยชรา แต่อย่าหาเรียกคำนี้ให้เข้าหูเชียว เพราะเค้าความหล่อเหลาและหนุ่มแน่นปึ๋งปั๋งของพวกเขานั้นไม่ได้โรยราตามอายุเลยสักนิด
“แต่ผมเคยฟังจากม้าเล่ามาว่าสมัยนั้นไม่มีใครหล่อเกินพ่อไซเลยนะ จริงไหมจ๊ะเฟรย์” นับพันอดประจบพ่อตาสักหน่อยไม่ได้ ยังไงก็รักลูกสาวเขา ต้องเอาใจเขาหน่อย หาได้ดูสีหน้าบึ้งตึงของพ่อตนเองเลยสักนิด
“เอ๊ะ แต่แม่เคยเล่าให้เฟรย์ฟังว่าสมัยนั้นป๊าทัพก็หล่อมาก ๆ เลยนะ” คำตอบของเฟรย่าเรียกสายตาชิ้ง ๆ จากสองผู้เฒ่าฟาดฟันกันทันที ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่สิบปีไอ้ความหึงหวงเมียรักก็ไม่เคยลดลงเลย แถมไอ้ความขัดแข้งขัดขาเขม่นกันนี่ยิ่งแก่ยิ่งขมจริง ๆ แต่ถึงจะอย่างนั้นทั้งสองบ้านก็สนิทกันมาอย่างยาวนานนับห้าสิบปี
‘พันเก้า’ สบตา ‘เอวิล’ พลางส่ายหน้ายิ้ม ๆ ทั้งสองเองก็วัยล่วงเลยเกือบเจ็ดสิบเช่นกัน แม้จะอายุมากแล้วแต่กาลเวลากลับทำอะไรพวกเธอไม่ได้ ความสวยงามยังคงปรากฏอยู่บนดวงหน้าสวยงามและรอยยิ้มอ่อนโยนนั้น
“ว้าว ๆ ปู่ทวดก็หล่อ ตาทวดก็หล่อ คุณตาก็หล่อ ลุงกาลก็หล่อ งั้นขุนขุนกับทันทันโตขึ้นก็ต้องหล่อมาก ๆ เหมือนกันใช่ไหมฮะ?” เจ้าขุนปีนขึ้นนั่งบนตักคุณตานับพันพลางเอียงคอมอง แววตาวิบวับทอประกายตื่นเต้นชวนเอ็นดู
“แน่นอนอยู่แล้ว ลุงหล่อเหมือนตา ทันทันกับขุนขุนก็ต้องหล่อเหมือนลุงสิ” นับกาลอุ้มทันกาลขึ้นนั่งบนตักบ้าง เรื่องความหล่อนี่เป็นเรื่องใหญ่ พูดเท่าไหร่ก็ไม่จบหรอก
“หย่อเหมือนปะป๊า!” เด็กน้อยทันกาลชูไม้ชูมือประกอบความหล่อของตนเอง
“ใช่แล้ว หล่อเหมือนปะป๊า”
ทุกคนต่างยิ้มเอ็นดูให้กับความน่ารักของทันกาล ทว่าจู่ ๆ เด็กชายบนตักคุณตาพูดโพล่งขึ้นมา น้ำเสียงไร้เดียงสา แต่ทำพวกผู้ใหญ่แข็งเป็นหินในคำถามเดียว
“งั้นขุนขุนก็หล่อเหมือนปะป๊าใช่ไหมฮะ!”
ทุกคน “…”
บรรยากาศรอบตัวเงียบงันลงพริบตา พวกผู้ใหญ่ต่างอึกอักมองตากันเลิ่กลั่ก ส่วนแววตานับกาลกลับทะมึนขึ้นจนหยาดฟ้าต้องจับแขนเขาเบา ๆ เป็นเชิงเตือนสติ แววทะมึนในดวงตาคมจึงจางหายไป เขาเหลือบมองน้องสาวซึ่งนั่งนิ่งไม่สบตากับใคร
“อ๋า~ ของมันแน่อยู่แล้ว หม่าม้าต้องชอบผู้ชายหล่อ ๆ อยู่แล้ว เพราะงั้นปะป๊าก็ต้องหล่อม้ากมาก ใช่ไหมคะหม่าม้า” เด็กหญิงกอดแขนผู้เป็นแม่ ใบหน้าน่ารักยิ้มแป้นอย่างอวดภูมิว่าตนเองเดาถูกแน่นอน
นับฝันเลื่อนสายตามองลูกสาว กดเก็บความหวั่นไหวในแววตา ขยับยิ้มบางตอบ “เด็กแก่แดดคนนี้นี่นะ รู้ใจม้าจริง ๆ เลย”
“คิก~ เพราะเอยเอยก็ชอบคนหล่อเหมือนกันไงคะ ปาปาก็หล๊อหล่อ เอยเอยชอบปาปาม้ากมาก” เจ้าเอยเปลี่ยนไปยิ้มประจบเอาใจพายัพอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
“หืม ทำไมเอยเอยน่ารักขนาดนี้คะ แบกความน่ารักเอาไว้เยอะ ๆ ระวังปวดหลังนะ” พายัพอุ้มเจ้าเอยขึ้นนั่งบนตัก ท่าทางของเขาเป็นธรรมชาติจนไม่รู้สึกขัดตาคนมองเลยสักนิด ราวกับทั้งสองเป็นพ่อลูกกันก็ไม่ปาน
“นั่นสิคะ พูดแล้วเอยเอยก็รู้สึกปวดหลังเลย เฮ้อ บางทีแบกความน่ารักมากไปมันก็เหนื่อยเหมือนกันนะคะ”
“ขุนขุนก็เหนื่อยฮะ แบกความหล่อมากไป เหนื๊อยเหนื่อย”
“ทันทันก็เหนื่อย เพราะทันทันหย่อฉวยเหมือนปะป๊าหม่าม้าเยย ฮิ ๆ ๆ”
ความไร้เดียงสาของเด็ก ๆ ช่วยทำลายบรรยากาศแปลก ๆ เมื่อครู่ในที่สุด ทุกคนพากันหัวเราะชอบใจให้กับ DNA ความหลงตัวเองที่ส่งผ่านมารุ่นสู่รุ่น
สมแล้วที่เป็นลูกหลานของพวกเขา…