“ดึกดื่นแบบนี้ เข้ามาทำไม!”
น้ำเสียงเธอสั่นน้อย ๆ แต่แฝงความเฉียบขาด ราวกับปฏิกิริยาอัตโนมัติจากความกลัว
สรรค์ยังคงยืนอยู่กลางเงามืด ไม่ขยับเข้าไปใกล้ แต่ก็ไม่ถอย เขาก้มหน้าลง หัวเราะแผ่ว ๆ แบบคนเศร้าแต่ดื้อเงียบ
“ฉันแค่อยากจับมือ แค่กอดนิดเดียวก็ได้”
ทิพย์ธาราลุกพรวดขึ้นทันที เหยียดแขนออกดันอากาศราวกับเป็นกำแพง
“หยุดนะสรรค์! อย่าเข้ามา!”
เสียงของเธอทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนทันที เสียงดังขนาดนี้ไม่พ้นหูคนทั้งบ้านแน่
“พ่อ!!” เธอร้องออกมาโดยไม่ทันคิด ร่างหมุนไปทางประตูในเสี้ยววินาที
ปึ้ง!
ประตูห้องเปิดผางทันที ด้วยแรงกระแทกของคนที่ไม่เคยปล่อยเวลาให้ความอันตรายได้ก้าวหน้า
“ไอ้เวร!!!” เสียงพ่อพนาดังลั่น เหมือนฟ้าผ่ากลางห้องไม้
เงาร่างสูงใหญ่ทะยานเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็วเกินกว่าคนวัยห้าสิบควรจะทำได้ พ่อคว้าไม้ค้ำหน้าต่างด้ามใหญ่จากมุมห้องด้วยมือซ้าย แล้วสะวัดขึ้นเหนือหัว
“พ่ออย่า!” ทิพย์ธาราร้องสุดเสียง พุ่งตัวเข้าไปขวางกลางคัน เสียงลูกสาวทำให้ไม้ในมือลดช้าลง ก่อนที่จะถึงปลายคอคนผิด แล้วทำให้มันตายคาห้องลูกตัวเองเสียก่อน
พ่อชะงัก หายใจฟืดฟาด ดวงตาแดงกล่ำจ้องสรรค์อย่างจะกลืนกิน
“ไอ้สรรค์ มึงมาทางไหน มึงกลับไปทางนั้นเลย!”
แต่ไม่ทันจะขยับ…
ปัก!
เท้าของพ่อพนาเตะเข้าที่ลำคอของสรรค์อย่างรวดเร็วแบบไม่เตือนก่อน ร่างของเขาทรุดลงกับพื้นเสียงดัง ตะแคงไปหนึ่งข้าง แต่ยังไม่หมดสติ
เขาฮึดลุกขึ้น ก่อนจะกระโจนออกหน้าต่างไปอย่างคล่องแคล่ว
พรวด!
ทิพย์ธาราสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นแผ่นหลังของเขาหายลับไปกับเงามืด
“มันออกทางหน้าต่าง แสดงว่ามันเข้ามาทางหน้าต่างล่ะสินั่น!” พ่อพนาพูด ก่อนจะขบกรามแน่น เดินไปคว้าตะปู เหล็กเส้น และลวดมาจากมุมผนังโดยไม่พูดอะไร น้ำเสียงเงียบเย็นของเขาเปลี่ยนมาแทนเสียงด่าเดือดเมื่อครู่
เขานั่งลงหน้าแง่งหน้าต่าง เอาลวดคล้องเป็นแนว ขึงเป็นบ่วง แล้วตีตะปูทีละดอกอย่างมั่นคง
“จะมุดยังไงก็ไม่ผ่านละทีนี้” เสียงตะปูสุดท้ายถูกตอกแน่นลงไม้ พร้อมกับคำพูดที่เปล่งออกมาเรียบ ๆ
“อีหนู มึงกลับไปหาผัวมึงซะไป ถ้ามึงจะอยู่บ้านแล้วมีคนปีนมาแบบนี้ กูก็ไม่ไหวเหมือนกันว่ะ”
ทิพย์ธารายืนอยู่ตรงนั้น สะโพกเกร็ง มือยกแตะอกซ้ายเหมือนจะกดหัวใจให้หยุดเต้นแรง
“ฉันไม่เห็นมันมานานมาก” เธอพึมพำเสียงเบา
“มันคงดูเอ็งอยู่นานแล้ว วันวันก็ไม่ได้อยู่บ้านซะด้วยกู มีแต่ผู้หญิง มึงกลับไปหาผัวมึงซะไป” พ่อยังคงพูดพลางหยิบตะปูดอกสุดท้ายลงกล่อง
“แม่จะยอมหรอพ่อ” เธอหันมามองหน้าพ่อเต็มตา
“ถ้าพรุ่งนี้แม่ตื่นจะไปตลาดเช้าแล้วไม่เจอฉันล่ะ”
พ่อพนาเงยหน้าขึ้น หันมามองลูกสาวนิ่ง ๆ ราวกับชั่งใจ ก่อนพยักหน้าเบา ๆ
“แล้วพ่อจะบอกเอง”
ทิพย์ธาราเงียบลง ริมฝีปากสั่นน้อย ๆ
“ยังไงซะมันก็ไม่ได้ตั้งใจทำมึง มันยังมาขอเอ็งกับพ่อแม่ถูกต้องกว่าไอ้เด็กเวรพวกนี้”
พ่อพูดพลางยืดหลังตรง เสียงตะปูที่เขาตอกเมื่อครู่ยังดังก้องอยู่ในใจเธอ
“พ่อจะคุยกับแม่เองว่าไม่ต้องเอาอะไรจากพวกเอ็งแล้ว”
“ไปซะไป แต่งงานแล้ว ก็ไม่ต้องมานอนกระสับกระส่ายคิดถึงเอกมันทุกคืนหรอก จะได้ไม่ต้องมีใครมาทำร้ายดึก ๆ ดื่น ๆ”
ทิพย์ธาราพยักหน้าเบา ๆ ไม่พูดอะไร น้ำตาหยดแรกไหลลงตามแนวแก้ม ซึมเข้าเส้นผมข้างหู
เสียงของแม่ยังไม่เงียบหายจากหูเธอเลยสักนิด
“ถ้ามึงหนีไปอีกครั้ง คราวนี้มึงอย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีกนะ!”
คำพูดนั้นเหมือนเงาแข็ง ๆ วนอยู่รอบตัว ไม่ว่าขยับไปทางไหนก็ชนเจ็บ
ทิพย์ธารานิ่งไป น้ำตาไหลหนักขึ้นอีกหยดหนึ่งตามหลังอีกหยดหนึ่ง บนพื้นไม้เย็นเยียบตรงปลายเท้าเปล่า
ในหัวของเธอขณะนั้น...คำตอบมันชัดเจนเหลือเกิน
เธอจะไป ไม่ใช่เพราะอยากหนีแม่
แต่เพราะอยากกลับไปหาหัวใจของตัวเองอีกครั้ง
เช้าวันถัดมา
แม่วารีตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่สว่างดี มือหนึ่งสาวผ้าขาวม้าขึ้นพาดบ่า อีกมือหยิบมีดปลายแหลมด้ามเก่าเข้ากับตะกร้าสานใบใหญ่ที่แขวนอยู่ข้างฝา
ฝ่าเท้าเปล่าเหยียบกระดานเรือนเสียงเบา ๆ ขณะเธอก้าวช้า ๆ ผ่านชานไม้ เข้าสู่เรือนชั้นบน
เธอหยุดยืนหน้าห้องเล็กที่อยู่ริมสุด ด้านในเงียบสงบเหมือนทุกเช้า แต่อะไรบางอย่างในความเงียบนั้นทำให้เธอชะงักปลายเท้า
นิ้วมือที่หยาบกร้านเคาะบานประตูไม้เบา ๆ สองครั้ง เสียงไม้แห้งกระทบกันดังกึกก้องในความเงียบ
“ธารา เอ็งตื่นหรือยังวะ จะไปด้วยมั้ยข้าจะไปตัดหน่อไม้”
เงียบ
ไม่มีเสียงขานรับ
แม่วารีนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตู บานประตูเปิดออกช้า ๆ
ภายในห้องเล็ก ไม่มีร่างของลูกสาว มีเพียงผ้าห่มที่พับไว้ครึ่งหนึ่งอย่างเรียบร้อย
เธอขยับเข้าไปอีกหนึ่งก้าว สายตากวาดมองรอบห้อง
ไม่มีตะกร้าผ้า ไม่มีรองเท้าแตะ ไม่มีผ้าถุง ไม่มีเสื้อเชิ้ตลายดอกที่ลูกเคยพับวางไว้บนปลายฟูก
แม่วารีหันหลังกลับออกมาทันที ก้าวฉับ ๆ ลงบันไดไม้เสียงดังถี่ ชุดผ้าถุงสะบัดตามแรงขยับตัว
“ตาพนา!!” เสียงตะโกนแผดออกมา กังวานลอดลงไปถึงใต้ถุนบ้าน
พ่อพนา ซึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ใต้บ้าน มือหนึ่งถือกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ ที่ใช้สูบยา ยกคิ้วขึ้นช้า ๆ อย่างรู้ทัน ก่อนจะหันหน้าเงยขึ้นมองตามเสียง
“นังธาราอยู่ไหน!?” แม่วารีถามเสียงแข็ง มือที่ถือหูตะกร้ากำแน่น
“ไปแล้ว” พ่อพนายกมวนบุหรี่ออกจากปากช้า ๆ แล้วพูดตอบสั้น ๆ
“ไปไหน!”
“กลับไปหาเอกภพ”
เงียบ
สายลมจากทุ่งด้านหลังบ้านพัดมาต้องกระดานไม้จนแผ่วเสียง
แม่วารียืนนิ่งอยู่ตรงบันได สองตาจ้องคนตรงหน้าราวกับคำตอบนั้นคือคำที่เธอไม่อยากได้ยินที่สุด
“แล้วแกปล่อยให้มันไปอีกทำไม! แกไม่คิดจะห้ามมันเลยรึไง เกิดมันฆ่าลูกเราตายจะทำยังไง!”
เสียงเธอสั่น เหมือนจวนจะกลายเป็นเสียงสะอื้น แต่ยังพยายามรักษาน้ำเสียงให้เป็นเส้นตรง
พ่อพนายังไม่ตอบในทันที เขาเพียงแต่ลดสายตาลง มองเถ้าไฟที่ปลายมวนบุหรี่กำลังจะแตกปลิวลงดิน
“จะให้มันอยู่ต่อ แล้วนอนน้ำตาไหลทุกคืนรึไง” พ่อพนาเอ่ยเสียงเรียบ ไม่เร่ง ไม่ช้า
“หรือถ้าวันดีคืนดี คนที่ไม่ใช่ผัวมันปีนมาหามันอีก แกจะทำไงล่ะ”
วารีชะงัก
“ปีนมา ใคร!”
พ่อพนาไม่ตอบในทันที เขายกมือขึ้นดีดขี้เถ้าบุหรี่ลงดินเบา ๆ ลมหายใจผ่านช่องจมูกดังลอด เหมือนรำคาญทั้งควันและคำที่ต้องพูด
“ก็ไอ้สรรค์ มันปีนเข้ามาหามันตอนดึกเมื่อคืนนี้แหละ”
“ห้ะ...อะไรวะ!” แม่วารีถอยหนึ่งก้าวราวถูกผลัก ดวงตาเบิกกว้าง เธอกระชับมือเข้ากับตะกร้าแน่นขึ้นจนข้อขึ้นสีขาว
“แกก็หลับเป็นตายดีจังเลย ทีวันอื่นตื่นง่ายเหมือนไม่ได้หลับ!”
“แล้วแกไม่เรียกข้าด้วยวะตาพนา! มันได้แตะต้องลูกกูมั้ย!”
พ่อพนาเพียงส่ายหน้า แต่ไม่ตอบ
แม่วารีเหมือนคนถูกปลิดแรงทั้งตัว เธอยืนพิงเสาใต้ถุน เสียงหายใจขาดห้วง
“งั้นข้าจะลงกลอนแน่นกว่านี้ก็ได้! จะคอยระวังให้มันทุกวัน แต่ทำไมแกถึงปล่อยให้นังธารามันไปหาไอ้เอกได้วะ!” แม่วารีเสียงดังขึ้น น้ำเสียงทั้งกลัว ทั้งสั่น ทั้งโกรธ ทั้งหวาด
“ถ้าใจมันไม่อยู่ตรงนี้ จะลงกลอนหนาแค่ไหนมันก็อยู่ไม่ได้หรอกวารี” พ่อพนาเอ่ยช้า ๆ น้ำเสียงแห้งแล้งแต่มั่นคง เหมือนคนที่พูดทุกอย่างหมดใจมาหลายรอบแล้ว และรู้ว่าคำของตนไม่มีวันฝังลงใจเมีย
“แล้วแกจะให้มันกลับไปหาคนที่เกือบฆ่ามันเรอะ!” แม่วารีกัดฟันจนแน่น ริมฝีปากเม้มกันแนบสนิท ดวงตาแดงขึ้นทีละน้อย เธอก้าวลงมาสองขั้น ยืนนิ่งตรงปลายบันได แขนทั้งสองแนบข้างตัวจนแน่น
“ก็มันบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ แกก็ปล่อยมันไปหาผัวมันเถอะ ไม่ต้องอะไรกับมันแล้ว มันจะมีจะลำบาก อย่างน้อยก็ให้มันอยู่กินกันเป็นผัวเมีย ดูแลกันไป”
“แล้วถ้ามันทำร้ายลูกกูอีกล่ะ!” น้ำเสียงแม่แผ่วลง แต่ขาดเป็นห้วง ๆ
“ถ้าไอ้เอกมันไม่ได้ดีขึ้น มันไม่ให้นังธารากลับมาอีกเลย จะให้มันไปตายหรอ”
“ข้าก็ไม่อยากให้มันตายตรงนี้ไง” พ่อพนาเงยหน้าขึ้นมองเมียตรง ๆ
เขาหยุดเงียบ สูบลมหายใจลึกทีหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอีก
“ตายทั้งเป็น คิดถึงจนจะเป็นจะตายทุกคืน อยู่บ้านแต่ใจมันอยู่อีกที่ จะเรียกว่ามีชีวิตยังไงเล่าแม่วารี!”
แม่วารีหลบตาลงช้า ๆ หายใจแรงจนอกกระเพื่อม มือที่ถือหูตะกร้าสั่นไหวจนได้ยินเสียงหวายเบา ๆ
“แล้วถ้ามันต้องผิดพลาดอีก อย่างน้อยก็ให้มันเลือกเอง” พ่อพนาพูดต่อ
แม่วารียืนนิ่งอยู่อย่างนั้นนาน...นานพอจะได้ยินเสียงนกกระจอกบินผ่านหลังคา และเสียงไผ่เสียดลมที่อยู่ไกล
จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาที่แดงก่ำขึงใส่พ่อพนาเต็มแรง
“งั้นถ้ามึงจะหนีไปกับมันอีก ก็ตามใจมึง”
เธอกัดฟันแน่นจนคำพูดสุดท้ายหลุดออกมาพร้อมเสียงสะอื้นอันแผ่วเบา
“แต่อย่าให้กูตามมึงเจออีกแล้วกัน!!”
เสียงนั้นขาดสะบั้น เหมือนเชือกที่ถูกดึงจนขาด ผืนผ้าที่ห้อยอยู่พลัดตกลงดิน
แล้วแม่วารีก็หันหลังกลับทันที ก้าวยาว ๆ ลงจากเรือน เสียงเท้าเปล่ากระทบขั้นบันไดเร่งร้อน ตะกร้าสานที่เคยถือแน่นเผลอปล่อยจากมือ ร่วงกระแทกพื้นดัง “กึก!”
เธอเดินลิ่วจากใต้ถุนบ้านผ่านผืนหญ้าโดยไม่หันหลังกลับแม้เพียงนิด
ใต้ถุนบ้านกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
พ่อพนายกมวนบุหรี่ขึ้นจ่อริมฝีปาก จุดไฟใหม่ช้า ๆ
เสียงสูบดัง “ฟืด” เบา ๆ แล้วควันขาวขุ่นลอยผ่านช่องไม้ขึ้นสู่แสงเช้า
เขาพึมพำกับตัวเองโดยไม่หันไปทางใด
“…พูดแบบนี้ทุกที…”