กระเป๋าผ้าใบใหญ่ถูกยกขึ้นชั้นวางเหนือศีรษะ แป้งร่ำกระโดดขึ้นตู้โดยสารเป็นคนแรก
ฟึ่บ...
เธอรีบจัดที่นั่งให้ตัวเองและเพื่อน ทิพย์ธาราเดินขึ้นขบวนรถไฟ พลางหันกลับไปมองชานชาลาที่ค่อย ๆ เว้นว่าง ไม่มีใครมายืนโบกมือ ไม่มีคำร่ำลาเสียงดัง
ปู๊น ปู๊นนน....
เสียงหวีดของรถจักรดังขึ้น ก่อนจะลากยาวไปตามรางเหล็ก รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวช้า ๆ จากสถานีในต่างจังหวัด มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
ธารานั่งชิดหน้าต่าง เหม่อมองออกไปเห็นเส้นทางรถไฟที่ทอดยาวผ่านทุ่งนา หมู่บ้าน และในที่สุดก็เริ่มเห็นแสงไฟของชานเมืองกระพริบอยู่ไกล ๆ เหมือนจุดเริ่มต้นของอีกโลกหนึ่ง
แป้งร่ำที่นั่งข้างกันเริ่มหลับตาพริ้ม เอนหัวพิงกระเป๋าใบโต ส่วนทิพย์ธารายังตื่นตา หัวใจเต้นแรงในแบบที่เธอไม่แน่ใจว่าเป็นความตื่นเต้น หรือความกลัวกันแน่
รถไฟเคลื่อนตัวเข้าสู่สถานีกรุงเทพฯ ท่ามกลางเสียงล้อเสียดกับรางเหล็กและเสียงประกาศผ่านลำโพง เสียงผู้คนบนชานชาลาคึกคัก ทั้งเสียงแม่ค้า เด็กวิ่งเล่น และกระเป๋ารถไฟที่ตะโกนเรียกลูกค้าให้รีบลงจากขบวน
“กรุงเทพนี่ใหญ่จริง ๆ เลยนะแป้ง” ทิพย์ธาราเอ่ยด้วยน้ำเสียงแอบหวั่นใจ
“ใช่! แล้วก็วุ่นวายกว่าที่เราอยู่เยอะเลย แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันมีญาติดูแลอยู่ที่กรุงเทพ แล้วทุกอย่างจะดีเอง” แป้งร่ำพยักหน้าอย่างมั่นใจ
ทั้งสองเดินหอบหิ้วกระเป๋าลงจากสถานีหัวลำโพง ข้ามถนนที่เต็มไปด้วยรถเมล์ควันดำ สามล้อเครื่อง และเสียงเร่ขายของ เดินลึกเข้าย่านเจริญกรุง ที่ที่ญาติแป้งพักอาศัยอยู่
ห้องพักของญาติแป้งอยู่บนชั้นสามของตึกเก่า ๆ แคบ ๆ มีหน้าต่างบานเล็กเปิดรับลม มีผ้าม่านบาง ๆ บังแสงไฟจากถนนด้านล่าง ในห้องเล็กมีเตียงเหล็กหนึ่งหลัง โต๊ะไม้เก่า ๆ ที่มีเอกสารและแก้วน้ำวางเกลื่อน กลิ่นของสบู่และน้ำยาซักผ้าอบอวลอยู่ในอากาศ
ธารายืนมองไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันระหว่างความหวังและความกลัว
“เริ่มต้นใหม่แบบนี้... มันก็ดีเหมือนกันนะ” ทิพย์ธาราพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันไปช่วยแป้งร่ำจัดของเข้าที่
คืนแรกในห้องเช่าที่ไม่ใช่บ้าน ไม่มีแม่วารี พ่อพนา ไม่มีเสียงนกตอนเช้า ไม่มีกลิ่นข้าวสุกในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า แต่มีเพื่อนนั่งพับผ้าอยู่ข้างกัน มีสายลมอ่อนจากหน้าต่าง และเสียงรถยนต์ที่ไม่ยอมหลับใหล ทำให้ทิพย์ธารารู้สึกว่าแม้ทุกอย่างจะไม่คุ้นเคย...แต่ก็ใช่แล้ว นี่คือชีวิตใหม่ของเธอจริง ๆ
เธอหลับไปทั้งที่ยังคิดอะไรไม่เสร็จ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะนัก แต่แน่นอนว่า...เธอพร้อมจะลอง
...
หลายวันต่อมา ชีวิตในเมืองหลวงเริ่มค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่าง
"แป้ง...แน่ใจเหรอว่าจะไปสมัครร้านสะดวกซื้อ?" ทิพย์ธาราถามขึ้นขณะบิดผ้าเปียกในกะละมัง ก่อนจะลงมือนั่งถูพื้นไม้กระดานที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบา ๆ ทุกครั้งที่มือเธอลูบผ่าน
"แน่สิยะเพื่อรัก ฉันว่าหน้าฉันเหมาะกับการยิ้มให้ลูกค้าขณะกดคิดเงินมากกว่าจ้องแฟ้มเอกสารนะ" แป้งร่ำตอบหน้าตาเฉย แล้วหันมาส่งยิ้มกว้างให้เพื่อน "แล้วเธอล่ะ จะไปที่บริษัทนั่นจริง ๆ เหรอ?"
ทิพย์ธาราหัวเราะน้อย ๆ "ก็มันอยู่แถวสุทธิสาร นั่งรถเมล์ไปไม่ไกล แล้วเขารับวุฒิ ม.6 ด้วย... อีกอย่าง ฉันกลัวโดนดุเรื่องยืนไม่ตรง ถ้าเป็นแคชเชียร์แบบเธอ"
"ยืนไม่ตรง...ยัยบ้า" แป้งร่ำส่ายหน้า "เอาน่า คนเราต้องหาที่เหมาะกับบุคลิก เราสองคนเลือกทางรอดแบบมีศิลปะ!"
เสียงหัวเราะของทั้งคู่แผ่วเบาในห้องเช่าขนาดเล็ก แต่ก็เต็มไปด้วยกำลังใจที่ต่างมอบให้กันอย่างเงียบ ๆ
…
ในเช้าสายของวันถัดมา ทิพย์ธาราสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวซีด กระโปรงกรมท่าที่ผ่านการรีดอย่างตั้งใจ และรองเท้าคัชชูมือสองที่เพิ่งขัดเงามาหมาด ๆ
เธอเดินมาถึงตึกอาคารพาณิชย์สามชั้นริมถนนสุทธิสาร ที่มีป้ายเขียนไว้ว่า “บริษัท พี.เอ็น.เทรดดิ้ง จำกัด” เธอสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะผลักประตูกระจกบานหนักเข้าไป
กลิ่นกระดาษใหม่ปะปนกับกลิ่นกาแฟจาง ๆ ลอยมาแตะจมูก
“มาสมัครงานหรือเปล่าคะ?” เสียงหญิงสาวที่นั่งหลังโต๊ะประชาสัมพันธ์เอ่ยขึ้น เธอมีใบหน้าอ่อนโยนและแต่งตัวสุภาพ
“ค่ะ มาสมัครตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ...” ทิพย์ธารากล่าวเสียงเบาแต่ชัด ดวงตาสั่นไหวแต่จริงจัง
หญิงสาวพยักหน้าเบา ๆ แล้วยื่นใบสมัครให้ “เขียนตรงนี้เลยนะคะ แล้วเดี๋ยวพี่จะเรียกขึ้นไปสัมภาษณ์ค่ะ”
…ไม่ถึงยี่สิบนาทีต่อมา ทิพย์ธาราก็ถูกเรียกขึ้นไปยังห้องเล็กบนชั้นสอง โต๊ะทำงานไม้เรียงกันแน่น เธอนั่งตัวตรงหน้าชายวัยกลางคนสวมเสื้อเชิ้ตขาวปลดกระดุมบน สวมแว่นกรอบทอง เขาเหลือบตามองใบสมัครครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเธอ
“จบ ม.6 มาเมื่อไหร่ครับ?”
“ปีนี้เลยค่ะ เพิ่งเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมในต่างจังหวัดค่ะ”
“เคยทำงานมาก่อนไหม?”
“ยังไม่เคยทำงานจริงจังค่ะ แต่ช่วยงานเอกสารในโรงเรียนบ่อย แล้วก็พิมพ์ดีดภาษาไทยได้ค่ะ”
ชายคนนั้นพยักหน้าเงียบ ๆ แล้วถามต่อ “ทำไมถึงอยากทำงานธุรการ?”
ทิพย์ธารานิ่งคิดเพียงครู่ ก่อนจะตอบด้วยแววตาจริงใจ
“ฉันอยากเริ่มต้นจากอะไรที่มั่นคงค่ะ ถึงจะเป็นงานเล็ก ๆ แต่ถ้าได้เรียนรู้ ก็อยากจะพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ฉันเชื่อว่างานแบบนี้จะสอนฉันให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น...ให้รับผิดชอบมากขึ้นค่ะ”
คำตอบนั้นทำให้ชายคนนั้นหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“พูดเหมือนเด็กเรียนเลยนะ... แต่ก็ดีแล้วล่ะ เดี๋ยวให้ลองงานสักเดือน ถ้าไม่ไหวก็บอก อย่าฝืน เข้าใจไหม?”
“เข้าใจค่ะ ฉันจะตั้งใจเรียนรู้งานให้ดีที่สุดค่ะ”
จากนั้นหญิงสาวพนักงานรุ่นพี่ก็พาทิพย์ธาราลงไปดูโต๊ะทำงานเล็ก ๆ มุมหนึ่งของออฟฟิศ ตรงข้ามกับเครื่องพิมพ์ดีดที่ยังใช้กันอยู่เป็นประจำ พร้อมกับกองเอกสารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ
“นี่แหละ โลกของจริง” เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
เอกสารกองพะเนินทำให้เธอต้องปรับตัวอย่างหนัก แต่ก็เริ่มเรียนรู้งานทีละนิดจากพี่ ๆ ในออฟฟิศ
บางวันเหนื่อยแทบขาดใจ แต่ทุกครั้งที่มองออกไปนอกหน้าต่างรถเมล์ หรือเห็นผู้คนเร่งรีบบนทางเท้า ทิพย์ธาราก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังเติบโต กำลังกลายเป็น “ผู้ใหญ่” ทีละก้าว
เวลาล่วงเลยไปจนถึงค่ำคืนหนึ่ง…
หลังจากที่ทั้งสองคนจัดการกับงานบ้านและเตรียมตัวนอน ทิพย์ธารานอนราบอยู่บนเตียง เหม่อมองแสงไฟสลัวจากถนนผ่านผ้าม่านบาง ๆ ที่ปลิวไหวตามลมหนาว
“ธารา วันนี้เหนื่อยไหม? งานแคชเชียร์ของฉันยุ่งมากเลยล่ะ แต่ก็รู้สึกดีที่ทำได้”
ทิพย์ธารายิ้ม “เหนื่อยเหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นว่าฉันทำได้จริง ๆ ไม่ต้องรอพึ่งใครแล้ว”
แป้งร่ำเงยหน้ามองเพดาน รู้สึกหัวใจอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
“ใช่! ก่อนหน้านี้เราสองคนเหมือนติดอยู่ในโลกเดิมที่แม่กับบ้านเป็นศูนย์กลาง แต่ตอนนี้ เรากำลังสร้างโลกของเราเอง โลกที่เราควบคุมได้” แป้งร่ำเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก
“เธอคิดถึงบ้านไหม?”
“คิดถึงนะ แต่ไม่ใช่แบบที่ทำให้เจ็บปวด มันเหมือนกับคิดถึงบทความเก่า ๆ ที่เคยอ่าน แต่ตอนนี้เราอ่านใหม่แล้วมันตื่นเต้นกว่า” ทิพย์ธารายิ้มอย่างจริงใจ ก่อนจะพูดต่อ
“บางทีก็กลัว กลัวว่าจะทำไม่สำเร็จ กลัวจะล้มเหลว แต่พอเห็นเธอสู้ ฉันก็อยากสู้ไปด้วย” ทิพย์ธาราเอ่ย
“เราไม่ล้มเหลวหรอกธารา เพราะเราเลือกเส้นทางนี้เอง และทุกก้าวที่เราก้าวไป มันคือความสำเร็จ”
“ก็หวังว่า วันหนึ่งแม่จะภูมิใจในตัวเรา เหมือนที่เราภูมิใจในตัวเองตอนนี้”
แป้งร่ำที่ตอนนี้นอนตะแคงอยู่บนฟูกบาง ๆ ใกล้หน้าต่าง แกะปลายผ้าห่มออกจากเท้าแล้วพลิกตัวมาหาทิพย์ธารา
“จริงสิ วันนี้มีลูกค้ามาจีบฉันด้วยล่ะ” แป้งร่ำเริ่มพูด น้ำเสียงเจื้อยแจ้วตามเคย
“เขาซื้อขนมจีบห้าถุง แล้วบอกว่า ‘ซื้อให้เธอคนเดียว’ ”
“ห้าถุงแน่ะ…” ทิพย์ธาราพูดพลางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะถามต่อ
“แล้วเธอว่าไง?”
“ฉันบอกว่า... ‘หนูแพ้กุ้งค่ะพี่ ขนมจีบกินไม่ได้’ ” แป้งร่ำยกมือกอดอก ท่าทางเหมือนจะเลียนแบบตอนพูดกับลูกค้า
“ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเลยหรอ! ฮ่า ๆ” ทิพย์ธาราหลุดหัวเราะตามทันที
“แน่นอนสิจ๊ะ ไว้มีเงินเก็บก่อนค่อยมีแฟนก็ไม่สาย ตอนนี้ขอแค่มีเงินค่าห้องไม่ขาดเดือนก็พอแล้ว!”
แล้วแป้งร่ำก็ลุกขึ้นนั่ง ไขว่ห้างแล้วเชิดหน้า ยักคิ้วใส่แบบทะเล้น ๆ
“อีกอย่างหมอดูก็บอกว่าจะมาตอนไม่ได้ตั้งใจรักใคร!”
“อ่าว แล้วเมื่อกี๊บอกจะเก็บเงิน!”
“ก็เก็บไง... แต่ต้องทำเป็นไม่รักใครตั้งแต่ตอนนี้แหละ ถึงตอนนั้นถ้ามีแฟนขึ้นมาจริง ๆ ก็คงเก็บได้เยอะละมั้ง!”
แป้งร่ำหัวเราะจนไหล่สั่น ทิพย์ธาราแกล้งทำหน้าเคร่งขรึมก่อนจะกระซิบเล่นๆ
“ถ้างั้นก็ต้องรีบหาคนที่ ‘ไม่ได้ตั้งใจรัก’ จริงจังแล้วละนะ”
แล้วเสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังก้องไปทั่วห้องเล็ก ๆ
คืนนี้ แม้จะเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน แต่ความอบอุ่นของมิตรภาพและความฝันที่ยังไม่เลือนหาย ก็ยังคงเบ่งบานในหัวใจของพวกเธออย่างสดใส พร้อมสำหรับวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง
เวลาล่วงเลยไปจนครบหนึ่งเดือนแรก…
แสงไฟสลัวจากโคมไฟตั้งโต๊ะในห้องเช่าผ่านม่านบาง ๆ ทิพย์ธารานั่งคุกเข่าบนฟูก บนมือถือปากกาเขียนจดหมายไปยังบ้านเกิดอย่างตั้งใจ แต่สีหน้ากลับแจ่มใสราวกับเล่าเรื่องตลกให้ตัวเองฟัง
“ถึงพ่อ... ถึงแม่... ฉันหายไปตั้งเดือนนึงอย่าเพิ่งโกรธฉันเลยนะ ฝากพ่ออ่านให้ฟังแทนแม่ด้วยนะจ้ะ”
ทิพย์ธาราหัวเราะในลำคอก่อนเขียนต่อ
“ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนที่ฉันอายุสิบแปดแล้ว ขอบคุณพ่อกับแม่ที่ดูแลฉันอย่างดี ไม่เคยอดเลยสักวัน”
ทิพย์ธาราหันไปมองแป้งร่ำที่นั่งกอดหมอนอยู่ข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้ฉันมีเรื่องดี ๆ จะบอก เงินเดือนเดือนแรกออกแล้วนะจ้ะ! ไม่ได้ฝัน ไม่ใช่ลมปาก แต่ฉันมีเงินในมือแล้วจริง ๆ”
“แถมฉันยังเตรียมธนาณัติไว้เรียบร้อยแล้วนะ พรุ่งนี้หลังเลิกงานตอนเย็นวันศุกร์ ธนาคารเปิดฉันจะรีบไปฝากเงิน แล้วส่งธนาณัติกลับบ้านให้พ่อแม่ทันทีเลย แต่ถึงตอนที่พ่อได้เปิดอ่าน เงินก็คงจะอยู่ในมือพ่อแล้วล่ะ :)”
“ฉันจะพยายามทำงานให้ดีที่สุด ไม่ลืมกินข้าว ไม่ลืมนอน ไม่ลืมส่งเงินกลับบ้าน และจะตั้งใจเรียนรู้ชีวิตด้วยสองมือของตัวเอง ถึงแม่จะบ่นว่า ‘ทำไมไม่ลางานกลับมาบ้านบ้าง’ ฉันก็รู้ว่าแม่ห่วง แต่ไว้ทำงานไปได้นานกว่านี้ ฉันจะหาวันกลับบ้านนะจ้ะ”
ทิพย์ธาราวางปากกา เก็บกระดาษใส่ซองเล็ก ๆ แล้วหันไปคุยกับแป้งร่ำ
“พรุ่งนี้เรารีบไปธนาคารให้ทันก่อนปิดตอนทุ่มนึงกันนะ”
“แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ยืนต่อคิวยาวเฟื้อยเหมือนงูหรือเปล่านี่สิ” แป้งร่ำกลอกตาแล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะบ่นเสียงงึมงำอีกประโยค
“ก็ขอให้เป็นงูแบบไม่มีพิษนะ งูชุดเครื่องแบบเสียงแหลม บ่นหน้าเคาน์เตอร์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร”
ทิพย์ธาราหัวเราะพรืดออกมา “อย่าพูดดัง แป้ง! เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ธนาคารก็มาเข้าฝันหรอก!”
“หรอ! แล้วเขาก็จะมายืนเท้าสะเอวแล้วพูดว่า ‘ถ้าเขียนชื่อไม่ชัดอีก ฉันจะให้ไปยืนเขียนใหม่ที่หน้าประตูเลยนะ!’ แล้วก็เอาปากกามาเคาะโต๊ะติ๊ง ๆๆๆ! น่ะหรอ”
ทิพย์ธาราขำจนน้ำตาเล็ด “โอย ไปเจอมาจากไหนเนี่ย!”
“ฮ่า ๆ หลับเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า แถมตอนเย็นก็มีภารกิจสำคัญมากด้วย” แป้งร่ำพูดปิดท้าย
“ใช่ พอไปถึงธนาคาร แล้วก็ลืมกระเป๋าตังค์ไว้บ้าน!” ทิพย์ธาราว่าเสริม ทำเสียงตกใจใส่ “พี่เจ้าหน้าที่คะ หนูมีแต่ใจ แต่ไม่มีเงินสดค่ะ!”
เธอคว่ำหน้าลงกับหมอน หัวเราะเสียงอู้อี้ ส่งเงินกลับบ้านครั้งแรก ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราจะมีวันนี้จริง ๆ วันธรรมดา ๆ ที่รู้สึกเหมือนเป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิต
แสงแดดท้ายบ่ายส่องลอดซอกตึกลงมากระทบฟุตปาธ
ถัดจากวันศุกร์ที่ทิพย์ธาราได้ส่งเงินงวดแรกกลับไปให้ที่บ้าน วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึงก็เป็นวันหยุดเธอด้วยเช่นกัน
ทิพย์ธาราเดินผ่านร้านรวงริมถนนในย่านเจริญกรุงที่เต็มไปด้วยเสียงเครื่องยนต์และกลิ่นอาหารลอยคลุ้ง สายตากวาดมองหาอะไรบางอย่างที่พอจะฝากท้องได้ในเย็นวันนั้น
บรื้น บรื้นน!...
เธอหยุดอยู่หน้าร้านข้าวราดแกงเจ้าประจำ กำลังจะชี้สั่งไข่พะโล้กับผัดผักบุ้งใส่กล่องพลาสติก
“ธารา ใช่ธาราปะ!?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เธอหันขวับ
หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ผมสั้นดัดลอน ยืนจ้องเธอด้วยแววตาตื่นเต้นปนตกใจ
“วิไล?” ทิพย์ธาราขานชื่อออกไปด้วยความงุนงง แต่เมื่อเพ่งมองดี ๆ เธอก็จำได้ วิไลรัตน์ เพื่อนร่วมชั้นสมัยม.ต้น ที่เคยนั่งโต๊ะติดกันและชอบกินกล้วยแขกหน้าโรงเรียน
“เฮ้ย ใช่จริงด้วย! จำเราได้ด้วยเหรอ!” วิไลรัตน์หัวเราะ ยกมือมาแตะแขนทิพย์ธาราเบา ๆ “ไม่คิดเลยว่าจะเจอกันที่นี่!”
“มาได้ยังไงล่ะ?” ทิพย์ธาราถามด้วยความสงสัย
“ก็ย้ายมาอยู่แถวนี้กับแม่ แม่ทำร้านดอกไม้ไว้ให้ฉันตั้งแต่เด็กเลย ไว้เป็นธุรกิจต่อยอดที่นี่น่ะ” วิไลตอบ
“แล้วเธอล่ะ… มาได้ยังไง” วิไลถามด้วยความอยากรู้ สีหน้าเผยให้เห็นความตื่นเต้นดีใจ
“ก็มาสมัครงานในกรุงเทพกับแป้ง หวังว่าจะมีเงินส่งกลับบ้านนี่แหละ เลยตัดสินใจมาที่นี่เลย”
แล้วทั้งคู่ยืนคุยกันพักใหญ่ ทิพย์ธาราเล่าแบบคร่าว ๆ ว่าเพิ่งย้ายมาเริ่มงานธุรการ ส่วนวิไลบอกว่าเธอทำงานร้านดอกไม้แถวนั้นที่เป็นร้านของแม่เธอเอง
“ถ้าว่างวันไหน อยากชวนไปกินข้าวด้วยกันบ้าง” วิไลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เดี๋ยวเรานัดกันที่ร้าน ‘สวนอาหารริมคลอง’ ฝั่งถนนเจริญกรุงนะ จะรอเจอที่นั่นเลย”
“โอเค ธาราจะไปรอเจอ” ทิพย์ธาราตอบยิ้ม ๆ
ทั้งคู่แลกเปลี่ยนเวลาคร่าว ๆ ว่าจะนัดกันช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ใกล้ที่สุด จากนั้นสองสาวก็แยกทางกันไป
...
ทิพย์ธาราก้าวเข้าห้องพักด้วยก้าวช้า ๆ พลางยกถุงใส่กับข้าวขึ้นวางข้างเตียงเหล็กที่ปูด้วยฟูกบาง ๆ
“ไปไหนมา? ซื้อข้าวนานเลยนะ?” แป้งร่ำที่นั่งกินมาม่าบนเตียงทันทีเงยหน้าขึ้นมา ถามเธอด้วยเสียงค่อนข้างเร่งเร้าเล็กน้อย
ทิพย์ธารานั่งลงข้าง ๆ พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “เจอเพื่อนเก่าสมัยม.ต้น วิไล...”
“วิไลหรอ!?” แป้งร่ำเลิกคิ้ว มือละออกจากตะเกียบ แถมยังรีบหันมามองเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย “แล้วเป็นไงบ้าง เพื่อนยังจำกันได้มั้ย?”
“ได้สิ” ทิพย์ธาราหัวเราะเบา ๆ
“วิไลจำฉันได้ก่อนเลย แถมชวนไปกินข้าวด้วยกันวันอาทิตย์นี้ ที่ ‘สวนอาหารริมคลอง’ แถวเจริญกรุงนี่แหละ”
“โลกกลมชะมัดเลยเนอะ”
“ใช่ อย่างน้อยก็ยังมีคนที่รู้จัก มีคนที่จำได้อยู่ที่นี่ให้อุ่นใจ” ทิพย์ธาราพูด ก่อนจะชะโงกไปที่ถ้วยบะหมี่ของแป้งร่ำ
“นี่... เลิกกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้วมากินข้าวที่ฉันซื้อมาได้แล้ว” เธอพูดพลางยกถุงกับข้าวขึ้นอย่างน่าสนใจ
แป้งร่ำยักไหล่ “ก็เธอมาช้าอะ ฉันกินบะหมี่หนีก่อนแล้ว”
“งั้นฉันกินข้าวหนีหมดเลยนะ”
แป้งร่ำได้ยินอย่างนั้นจึงรีบหันขวับมาทางทิพย์ธาราด้วยความเร็วแสง แล้วพ่นเสียงออกมาจากลำคอ “เฮอะ! ไม่มีปัญหา ฉันกินได้อีก มาม่านี่มันไม่อิ่มหรอก ขืนเธอกินข้าวหมดนี่คนเดียว พุงแตกตายพอดีล่ะมั้ง”
ทิพย์ธาราหัวเราะเบา ๆ แล้วค่อย ๆ แกะถุงกับข้าว ขณะที่แป้งร่ำก็หยิบช้อนขึ้นมาเตรียมกินต่อ...