ตอนที่ 4 เรื่องราวของเพื่อนใหม่... ที่ใช่

1815 Words
เช้าวันอาทิตย์อากาศปลอดโปร่ง ชายเสื้อของทิพย์ธาราปลิวเบา ๆ ตามแรงลมเมื่อเธอเดินเคียงข้างแป้งร่ำเข้ามาในร้านข้าวต้มเล็ก ๆ ริมคลองเจริญกรุง เสียงพูดคุยแผ่ว ๆ ปนเสียงช้อนกระทบจานดังเบา ๆ อยู่รอบโต๊ะไม้เตี้ย ๆ ที่เรียงรายอยู่หน้าร้าน บรรยากาศดูสบาย ๆ เหมือนเช้าวันหยุดธรรมดา ที่ไม่มีใครต้องเร่งรีบ “อยู่นั่นแน่ะ” แป้งร่ำเอ่ยเบา ๆ พลางชี้มือไปทางมุมหนึ่งของร้าน ซึ่งวิไลรัตน์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว เธอโบกมือเรียกเพื่อนด้วยท่าทางสดใส “เฮ้! ทางนี้!” ทั้งทิพย์ธาราและแป้งร่ำเดินเข้าไปยังโต๊ะนั้นอย่างไม่เร่งรีบ พอเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่กับวิไลรัตน์ด้วย เขาหันมามองพวกเธอทันที รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก สายตาเขาหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของทิพย์ธาราอยู่นานเกินกว่าคำว่า “บังเอิญได้เห็น” มากกว่าคำว่า “ตั้งใจมอง” เสียอีก “ธารา แป้ง นี่เพื่อนสนิทฉันเองนะ พี่เอกภพ” วิไลรัตน์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางเหลือบมองชายข้าง ๆ ก่อนจะพูดต่อ “วันนี้เถ้าแก่ให้พี่เอกมาตลาดเจริญกรุง ตลาดจะเปิดช่วงสาย ๆ เลยแวะมาทานข้าวด้วยกันก่อน” “หวัดดีครับ” เอกภพทักพร้อมรอยยิ้ม เสียงทุ้มต่ำเป็นมิตร แต่แน่นอนว่าสายตาเขาไม่ได้มองใครนอกจากทิพย์ธารา เธอชะงักเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มกลับไปบาง ๆ พร้อมพยักหน้าเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “สวัสดีค่ะ เป็นรุ่นพี่หรอคะ อายุเท่าไรแล้ว” “พี่ 22 แล้วครับ เกิดปี 2512” เขาตอบอย่างไม่ลังเล น้ำเสียงมั่นใจเหมือนคนที่ผ่านโลกมาพอสมควร แป้งร่ำหันขวับมามองเพื่อนของเธอ แยกคิ้วอย่างรู้ทัน ก่อนจะกระซิบกระซาบให้ทิพย์ธาราฟัง “ดูสิเพื่อนวิไลเขาจ้องแกตั้งแต่เข้ามาเลยนะธารา” “ก็ไม่ใช่ใครจะเจอสาวสวยน่ารักแบบธาราง่าย ๆ หรอก” ทว่าเอกภพได้ยิน จึงพูดเสริมขึ้นมาทันควัน เสียงนั้นมีแววกลั้วหัวเราะเบา ๆ อยู่ด้วย ทิพย์ธารายิ้มน้อย ๆ แก้มเริ่มมีสีระเรื่อ เธอหลบสายตาเล็กน้อยก่อนจะเอียงหน้าไปกระซิบถามเพื่อนที่เสียงเบาลงกว่าเดิม “เคยเจอแซวแบบนี้มั้ยแป้ง เขินมั้ย!” “ก็อาจจะเคยเจอ ก็มีเขินอยู่มั้ง!” “แล้วต้องทำตัวยังไงต่อ!” “ไม่รู้สิ เคยเจอแค่แซว ไม่เคยมีใครมาจ้องฉันขนาดนั้น” แป้งร่ำพูดข้างหูเพื่อน ก่อนจะชันตัวขึ้นแล้วหยิบเมนูในมือขึ้นมาเปิดดู เมนูในสมุดเล่มบาง ๆ ทิพย์ธาราเหลือบมองเอกภพผ่านหางตา เห็นอีกฝ่ายยังคงยิ้มนิด ๆ อย่างอารมณ์ดี ทั้งสี่คนสั่งอาหารหลากหลายเมนู แต่ละเมนูล้วนแล้วแต่กินง่าย ๆ เป็นเมนูบ้าน ๆ และราคาไม่แพง พนักงานของร้านรับออเดอร์จากกระดาษที่วิไลรัตน์จดให้ ไม่นานนัก อาหารหลายจานก็ถูกยกมาเสิร์ฟ วางเรียงกันบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ มีทั้งไข่เค็ม ปลาทูทอด ข้าวต้มหมูสับ และผัดผักบุ้งไฟแดง กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกจนทิพย์ธาราหลุดยิ้มออกมา เอกภพเอื้อมมือหยิบถ้วยพริกน้ำปลาขึ้นมาแล้วเลื่อนมาวางตรงหน้าทิพย์ธารา เธอทำหน้ายิ้มแหย ๆ แล้วพูดเบา ๆ “ขอบคุณค่ะ” ก่อนจะรับถ้วยนั้นไปแล้ววางไว้ข้างจานตัวเองอย่างนุ่มนวล “อ้าว ยกไปไหนล่ะครับนั่น พี่กะว่าจะปรุงให้ธาราพอดีเลย เผื่อไว้ให้พี่ปรุงรสให้เผ็ดจัด ๆ หน่อยสิ จะได้รู้รสชาติชีวิตบ้าง” เอกภพพูดกลั้วหัวเราะ สีหน้าเขาดูเจ้าเล่ห์เล็ก ๆ แป้งร่ำกระซิบข้างหูธารา “ดูทรง พี่เอกเขาจะราดพริกทั้งถ้วยให้เธอแน่” ได้ยินอย่างนั้น ทิพย์ธาราจึงยกตัวขึ้นก่อนจะขยับปากเหมือนจะพูดให้ทั้งสามคนได้ยินด้วย “ก็ใครจะรู้ล่ะพี่ เผื่อมีใครคิดจะแกล้งฉันขึ้นมาทำไง ชิงยกหนีก่อนดีที่สุด” ทิพย์ธาราพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วหยิบช้อนข้าวต้มขึ้นคนเบา ๆ “ถ้าให้พี่ปรุง ฉันกลัวว่าจะเผ็ดจนต้องร้องไห้กลางร้านน่ะสิ” เธอพูดเสริม แล้วแอบเหล่ตามองเขา เอกภพยักไหล่ “กลัวทำไมกัน สมัยพี่อยู่โรงเรียน ใครทนกินเผ็ดไม่ไหวต้องเต้นระบำพริกป่น นี่ถ้ายิ่งกลัวไปก่อนแบบนี้ โดนหนักกว่าเดิมอีกนะ” “คงจะเป็นเรื่องปกติของพวกเด็กผู้ชายใช่ไหมคะ ชอบแกล้งเพื่อนแรง ๆ ฮ่า ๆ” แป้งร่ำพูดเสริม พลางหันไปหัวเราะกับวิไลรัตน์ “แต่ฉันว่าพี่เอกใจดีนะ... ถ้าได้รู้จักจริง ๆ” วิไลรัตน์เองก็หัวเราะร่วมด้วย แล้วพยักหน้าน้อย ๆ ให้เพื่อนสองคนตรงหน้า การสนทนาเริ่มไหลลื่นขึ้น เอกภพเริ่มเล่าถึงชีวิตวัยเด็กในโรงเรียนที่บ้านเกิดของเขา เรื่องวิ่งหนีครูพละ วิ่งตามลูกบอลที่กลิ้งลงคลอง แล้วจบด้วยเรื่องโดนทำโทษหน้าห้องเพราะแอบเอาลูกชิ้นมาแบ่งเพื่อนตอนเรียน แป้งร่ำหัวเราะเสียงใส “เรื่องอย่างนี้แหละ ที่ทำให้คิดถึงสมัยเรียน” แล้วเธอก็เล่าเรื่องที่เธอกับทิพย์ธาราเคยโดนครูให้นั่งแยกโต๊ะกันเพราะคุยกันไม่หยุด “ถึงแยกก็ยังเขียนกระดาษส่งกันได้” ทิพย์ธาราเสริมพลางหัวเราะเบา ๆ มือหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบช้า ๆ เวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว แสงแดดเริ่มลอดผ่านหน้าต่างไม้เก่า ๆ เข้ามาในร้าน เงาของเสาไม้ทอดลงบนพื้นซีเมนต์เหมือนเข็มนาฬิกา เอกภพก้มมองนาฬิกาข้อมือ แล้วยกมือขึ้นลูบต้นคอเบา ๆ “ตลาดช่วงสายเริ่มคึกคักแล้ว... ผมต้องรีบไปจัดการของให้เถ้าแก่ก่อน เดี๋ยวถ้าไปช้า ของอาจจะหมดก่อนจะได้ของดี ๆ” น้ำเสียงเขายังสุภาพ แต่แฝงความเร่งรีบอยู่จาง ๆ เขาลุกขึ้นอย่างไม่เร่งร้อน กดฝ่ามือลงบนขอบโต๊ะเบา ๆ แล้วจัดชายเสื้อเชิ้ตให้เรียบร้อย “โอ้โห พี่เอกนี่ดูเหมือนมือโปรตลาดจริง ๆ เลยนะเนี่ย!” แป้งร่ำพูดขึ้น “หน้าที่ของลูกมือดี ๆ น่ะครับ” เอกภพหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบ แล้วเขาหันไปทางทิพย์ธารา มองสบตาเธอเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรในทันที เขารอจังหวะเงียบ ๆ จนไม่มีใครพูดค้าง แล้วจึงเอ่ยขึ้น “ดีใจที่ได้เจอนะธารา... ถ้ามีวันไหนที่เหนื่อย ๆ เบื่อ ๆ ...ก็สะกิดวิไล แล้วบอกว่าอยากกินข้าวกับพี่อีกก็พอ” ทิพย์ธารานิ่งไปเล็กน้อย สายตาเธอลดต่ำลงมองถ้วยข้าวต้มที่เหลือเพียงครึ่ง ก่อนจะยกสายตาขึ้นสบตาเขาแล้วส่งยิ้มบาง ๆ กลับไป “อืม...ก็ถ้าพี่ไม่ลืมพวกเราไปก่อนอะนะ” เอกภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะตอบ “ลืมอะไรพี่ลืมได้...แต่คนที่ทำหน้าแบบนั้นตอนจะปรุงพริกน้ำปลาให้ คงลืมยากนะ” แป้งร่ำหัวเราะเสียงใส “เอ้า ธาราก็จำได้เฉพาะแค่ตอนจะโดนแกล้งซะด้วยสิพี่!” “สงสัยจะจำกันได้อยู่แค่สองคนแน่ ๆ” วิไลรัตน์พูดพลางหันมายิ้มขำกับแป้งร่ำ เอกภพมองทิพย์ธาราอีกครั้ง เพียงรอยยิ้มเงียบ ๆ และแววตาอ่อนโยนที่ไม่ต้องการคำพูดใดเพิ่มเติม แล้วเขาจึงหมุนตัวออกจากร้านไป ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มและความรู้สึกอบอุ่นที่ค้างอยู่ในใจใครบางคน เช้าวันจันทร์ อากาศยามเช้าในกรุงเทพฯ แม้จะไม่ถึงกับเย็นสบาย แต่ก็ยังพอมีลมพัดมาให้รู้สึกว่าโลกยังใจดีอยู่บ้าง ทิพย์ธารายืนหน้ากระจกไม้เล็ก ๆ ในห้องเช่าเก่า เธอสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน กระโปรงยาวสีกรม และผูกผมด้วยริบบิ้นเส้นเล็กสีขาวที่ใช้ซ้ำมาหลายครั้งแล้ว เธอขยับปอยผมเล็กน้อยให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบแป้งเย็นตลับเล็กจากโต๊ะไม้เตี้ยมาแตะหน้าผากเบา ๆ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแป้งผสมน้ำอบลอยมากระทบจมูก ทำให้นึกถึงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมาโดยไม่ตั้งใจ แม้จะผ่านไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ความรู้สึกจากการได้เจอกับเพื่อนเก่าอย่างวิไลรัตน์ และเสียงหัวเราะคิกคักจากแป้งร่ำ รวมถึงคำพูดแซว ๆ ที่พี่เอกภพโยนเข้ามาเป็นระยะ ๆ กลับยังชัดเจนอยู่ในหัวอย่างน่าแปลก “ทำงานเก็บเงิน ทำงานเก็บเงิน ” เธอบ่นกับตัวเองเบา ๆ ขณะคว้ากระเป๋าผ้าใบเก่าขึ้นพาดบ่า “ไม่ต้องไปยิ้มกับใครแบบนั้นอีกแล้ว...” เสียงพูดของตัวเองเบาเกือบเท่าลมหายใจ “ทำงาน เก็บเงิน แล้วกลับบ้าน” เธอหันมาล็อกประตูห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินลงบันไดไม้เก่าที่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกย่างก้าว ก้าวเท้าอย่างระวังไม่ให้ส้นรองเท้าติดซอกไม้ ก่อนจะออกไป เธอยกมือปัดชายกระโปรงให้เข้าที่ แล้วเดินออกไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก เสียงรองเท้าหนังที่ย่ำลงบนพื้นปูนซีเมนต์ในซอยแคบ ๆ ดัง ต๊อกแต๊ก ๆ ๆ ... จังหวะมั่นคงแต่ไม่รีบร้อน ระหว่างที่ยืนรอรถเมล์ใต้เงาต้นหูกวางที่แผ่กิ่งอยู่ริมฟุตปาธ สายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างผิดปกติ รถยนต์คันเก่า ๆ สีเข้มคันหนึ่งจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน แต่ก็ไม่ใช่รถคันที่เคยเห็นบ่อย ๆ แถวนั้น เธอมองเพียงแว้บแรก ก่อนจะก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ 07:35 น. รถเมล์สายที่เธอรอควรจะมาอีกไม่เกินสิบนาที แต่แล้วเสียงเปิดประตูรถฝั่งคนขับก็ดังขึ้น ปัง พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำที่เธอจำได้ดีเกินไปในเวลานี้ “ธารา!” เธอเงยหน้าขึ้นทันที เงาร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงสแล็คสีเข้มปรากฏอยู่ชัดเจน เขาก้าวลงจากรถพลางยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก สายตานั้นมองตรงมาหาเธอโดยไม่ลังเล “พี่เอกภพ...” ทิพย์ธาราพึมพำกับตัวเองเบา ๆ มือหนึ่งยังจับสายกระเป๋าไว้แน่น ส่วนอีกมือเธอเผลอแตะชายเสื้อเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนหัวใจที่กำลังปรับโหมด "ทำงานเก็บเงิน" อยู่นั้นสะดุดจังหวะไปชั่วขณะ เอกภพยิ้มกว้างพลางเดินข้ามถนนมาหาเธอ เธอหันไปมองด้วยความตกใจและงุนงง “พี่เอก? มาได้ยังไงเนี่ย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD