“พี่เอก? มาได้ยังไงเนี่ย”
“ก็... ได้ยินจากวิไลน่ะ ว่าเธอจะมาทำงานวันนี้”
“แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าฉันจะอยู่ตรงนี้”
“วิไลก็ยังบอกด้วยว่าออฟฟิศอยู่แถวนี้ พี่เลยขับรถวนดู เผื่อเจอ... แล้วก็เจอจริง ๆ ด้วย”
“แล้วทำไมพี่ต้องมาตามหาฉันด้วยล่ะ” ธารากลืนน้ำลายเบา ๆ ทั้งเขินและตกใจ
“รู้รึเปล่าว่าโลกนี้มันมีคำว่าบังเอิญในบางโอกาส” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะสบตาเธออย่างไม่หลบสายตา
ทิพย์ธารานิ่งไปชั่วครู่ ไม่รู้แน่ชัดว่าเพราะคำพูดของเขา หรือเพราะแววตาคู่นั้นที่แนบความหมายมากกว่าคำพูดกันแน่
เธอกระซิบเสียงแผ่ว “…ก็พี่บอกว่าวนรถดูฉันนิ่”
เอกภพไม่ตอบทันที แต่แค่ยิ้มออกมาเหมือนคำถามนั้นเป็นสิ่งที่เขาเองก็รอให้เธอถาม
“บางอย่าง...ไม่ต้องให้เหตุผลก็ได้มั้ง” เขาพูดเบา ๆ แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถของเขาช้า ๆ ก่อนพยักหน้าเชื้อเชิญ
“ขึ้นรถเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ทำงาน อยู่แถวนี้เองใช่ไหม?”
ทิพย์ธาราลังเลเล็กน้อย พลางมองนาฬิกาข้อมือ เหลือเวลาอีกประมาณยี่สิบนาที ก่อนจะต้องเข้างาน เธอพอจะเดินต่อได้แน่นอน แต่จะปฏิเสธไมตรีแบบนี้...ก็คงดูเย็นชาเกินไป
เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง แล้วก็ต้องเผลอยิ้มบาง ๆ อย่างห้ามไม่อยู่
“…งั้นก็… ขอบคุณนะพี่”
ธาราก้าวขึ้นรถอย่างลังเลเล็กน้อย มือหนึ่งจับสายกระเป๋าสะพายแน่น อีกมือแตะประตูรถเบา ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เบาะข้างคนขับ กลิ่นหอมจาง ๆ ของน้ำหอมผู้ชายลอยแตะจมูก ไม่ฉุน แต่ติดอบอุ่นแบบที่เธอไม่ค่อยได้รู้สึกบ่อยนัก
เธอวางกระเป๋าไว้บนตัก ขณะที่สายตาเหลือบไปเห็นเอกภพหยิบแว่นกันแดดออกจากช่องข้างประตูแล้ววางไว้บนคอนโซลรถ เขาหันมายิ้มน้อย ๆ เหมือนไม่ได้เร่งรีบ แต่กลับเต็มไปด้วยความตั้งใจอ่อนโยนอย่างน่าแปลก
รถคันเก่าแล่นช้า ๆ ไปตามถนน ก่อนจะค่อย ๆ จอดเทียบข้างฟุตบาทหน้าร้านอาหารตามสั่งเล็ก ๆ ที่มีโต๊ะไม้ไม่กี่ชุดตั้งอยู่ใต้ชายคา
“พี่ขอแวะร้านนี้แป๊บหนึ่งนะ” เอกภพพูดพร้อมดับเครื่องยนต์
ธาราหันมามองด้วยความแปลกใจ “แวะกินข้าวหรอพี่?”
“ใช่แล้ว ร้านประจำพี่เอง สมัยพี่เด็ก ๆ ไม่ได้แวะมานานแล้ว”
“เออ หิวก็แวะกิน ไม่เห็นจะยากเลย” เธอคิดในใจและยิ้มบาง ๆ
“มาสมัยเด็ก ๆ ... งั้นก็เหมือนได้ย้อนเวลากลับมาเลยสิ”
“ไม่เหมือนหรอก ปัจจุบันมีธารามาด้วยนิ่” เขายักไหล่ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ไปเถอะ ลงไปกินกัน พี่เลี้ยงเอง”
“ไม่ได้นะพี่ เดี๋ยวฉันจ่ายเองก็ได้” เธอรีบค้าน
“ได้ไงล่ะ พี่พามา พี่ก็ต้องเป็นคนจ่ายดิ่” เอกภพยิ้ม “ถึงพี่จะรวยไม่เท่าคุณชายในโฆษณา แต่ซื้อข้าวเช้าให้ผู้หญิงคนเดียวในรถได้อยู่”
ธาราหัวเราะ “พี่พูดเหมือนฉันเป็นคนพิเศษเลยนะ”
เขาแกล้งทำหน้าจริงจัง “ก็พิเศษจริง ๆ ไง”
ประโยคนั้นเหมือนจะลอยอยู่ในอากาศนานกว่าปกติ เธอนิ่งไปสักพัก มือกำสายกระเป๋าไว้แน่นกว่าเดิม แต่ก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา แล้วก็ต้องยิ้มออกมาในที่สุด
...
ทั้งคู่เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะไม้เก่า ๆ ใต้ชายคาสังกะสีที่เริ่มมีคราบสนิมกระจายตามรอยต่อของโครงเหล็กนิดหน่อย
ธาราหย่อนตัวลงนั่งช้า ๆ วางกระเป๋าสะพายไว้บนเก้าอี้ข้างตัว ก่อนจะประสานมือไว้บนตักเรียบร้อยอย่างคนที่มีมารยาทติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ๆ สายตาเธอกวาดไปรอบร้านอย่างเงียบ ๆ ผนังไม้เก่าด้านในมีปฏิทินที่ขาดมุม แขวนค้างไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว โต๊ะไม้กลม ๆ ขัดเรียบตามมีตามเกิด บางจุดยังเห็นรอยคราบน้ำสีน้ำตาลที่ไม่จางหาย
แม่ค้าสวมผ้ากันเปื้อนลายจุด เดินถือสมุดจดเมนูมาใกล้ ๆ พร้อมรอยยิ้มใจดี ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยอ่อน ๆ ของคนที่ยืนอยู่หน้าเตามานานหลายปี
เอกภพยกมือขึ้นนิด ๆ เป็นเชิงทัก เธอยิ้มรับ ก่อนจะจดเมนูที่เขาสั่งลงในสมุดเล่มเล็ก
“ข้าวผัดไข่กับต้มจืดหมูสับหนึ่งให้เธอ แล้วก็ไข่เจียวหมูสับกับข้าวเปล่าให้ผมครับ”
“ได้จ้ะ รอแป๊บนึงนะลูก” แม่ค้าตอบก่อนจะหันไปตะโกนสั่งในครัวเล็ก ๆ หลังร้าน
ธาราหันมามองเขาเล็กน้อย “ชอบกินไข่เจียวหรอพี่?”
เอกภพพยักหน้า ช้า ๆ “มากเลย”
เขาหัวเราะเบา ๆ ขณะวางแขนข้างหนึ่งบนพนักเก้าอี้ตัวเอง แล้วเอนตัวพิงผนักไม้หลวม ๆ ด้านหลัง
“ง่าย อร่อย แล้วก็ไม่เคยผิดหวัง”
ธารายกคิ้วขึ้นนิด ๆ “ฟังดูเหมือนนิสัยพี่เลยนะ”
เขาหัวเราะอีกที คราวนี้ลึกขึ้น “ยังไง?”
“ง่าย ๆ ตรง ๆ ไม่ซับซ้อน” เธอยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“แล้วธาราล่ะ เป็นคนแบบไหน?” เขาถามขึ้นระหว่างที่กำลังหยิบช้อนออกจากกระบอกไม้ไผ่
ธารานิ่งไปนิดหนึ่ง สายตาหลุบลงต่ำ มองพื้นซีเมนต์ที่มีรอยด่างเป็นหย่อม ๆ
“...ไม่รู้สิ บางทีฉันก็คิดว่าตัวเองซับซ้อนเกินไป คนเลยเข้าถึงยาก นอกจากแป้งฉันก็คุยกับใครไม่เก่งแล้ว”
เอกภพมองเธอ เงียบไปครู่ ก่อนจะตอบเสียงเรียบแต่หนักแน่น
“แต่พี่ว่าธาราน่ารู้จักนะ”
ธาราขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายไม่เข้าใจ
“คือ... ถึงจะดูเงียบ ๆ แต่พอได้ฟังเวลาธาราพูด มันก็รู้สึกเหมือนมีอะไรน่าสนใจอยู่ข้างในตลอด”
เธอชะงักเล็กน้อย ใบหน้าร้อนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว มือที่วางอยู่บนตักขยับนิด ๆ ราวกับไม่รู้จะเก็บไว้ตรงไหนดี
“พี่พูดแบบนี้กับทุกคนรึเปล่าเนี่ย?” น้ำเสียงเธอเหมือนตั้งใจให้ฟังดูล้อเลียน แต่แอบมีความระแวงแฝงอยู่เล็กน้อย
เอกภพยิ้ม “ไม่หรอก”
เขาเท้าคางไว้กับมือข้างหนึ่ง สายตามองเธอราวกับจะสังเกตท่าทางทุกรายละเอียด
“ถ้าพี่พูดกับทุกคนแบบนี้ ป่านนี้คงโดนตบไปแล้วหลายที”
ธาราหัวเราะออกมาเบา ๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วหันหน้าหนีไปมองซุ้มต้นไม้ด้านนอก ขณะที่ปลายผมด้านข้างแก้มแกว่งตามลมเบา ๆ
เธอก้มหน้าลงเหมือนกำลังหลบสายตา แต่หางตากลับยังชำเลืองมองเขาอย่างอดไม่ได้
ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแผ่ว ๆ เป็นนิสัยติดตัวที่เธอมักเผลอทำเวลาประหม่า
“…เขากำลังจีบแน่ ๆ” เสียงในใจเธอพูดขึ้นเงียบ ๆ
“แล้วเราก็… ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองมานั่งยิ้มให้เขาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ”
“รู้ทั้งรู้ว่าแค่กินข้าวด้วยกัน แต่ใจมันกลับเต้นเหมือนเด็กเพิ่งเรียนมอหนึ่งเลย”
“บ้าจริง… คิดอะไรอยู่เนี่ยทิพย์ธารา ใจง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เธอขยับปลายนิ้วกับตักตัวเองเบา ๆ เหมือนกำลังหาที่ยึดเหนี่ยวในความลังเลที่แทรกเข้ามาไม่หยุด
“ลุกไปเลยดีไหม ลุกแล้วเดินออกไปเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งวุ่นวายกับตัวเองอยู่แบบนี้”
“แต่ถ้าลุกไปตอนนี้... จะดูเสียมารยาทไหมนะ เขายังไม่ได้กินข้าวเลยด้วยซ้ำ”
“...ไม่สิ เราก็มากับเขา จะลุกไปเฉย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่อง”
เธอนั่งนิ่ง พยายามไม่แสดงท่าทีอะไรออกมานอกจากรอยยิ้มบาง ๆ ที่ยังแข็งทื่ออยู่เล็กน้อย
ไม่นานนัก แม่ค้าก็เดินถือถาดไม้ใบหนึ่งมาวางบนโต๊ะ กลิ่นหอมของไข่เจียวกรอบ ๆ กับต้มจืดลอยฟุ้งออกมาในทันที
“ได้แล้วจ้ะ ทานให้อร่อยนะลูก”
“ขอบคุณครับ” เอกภพยิ้มพลางพนมมือไหว้เบา ๆ
เธอขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมา รินน้ำซุปใส่ชามข้าวของตัวเอง แล้วค่อย ๆ ตักขึ้นมาชิมอย่างระมัดระวัง
ทั้งสองคนนั่งกินกันเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง เสียงช้อนกระทบจานดังเบา ๆ สลับกับเสียงลมตีชายสังกะสีเหนือหัว
เอกภพเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน โดยที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากจาน
“พี่รู้สึกว่า... ตอนอยู่กับเธอ ไม่ต้องฝืนอะไรดีนะ”
ธาราเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่เขา ใบหน้าไม่ได้แสดงความตกใจเท่าไหร่ แต่อ่านไม่ง่ายว่าในใจคิดอะไร
“หืม?”
คำถามหลุดออกมาแผ่ว ๆ จากริมฝีปาก แต่ข้างในกลับแอบมีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นเงียบ ๆ
“แต่ฉันน่ะ... ฝืนอยู่ตลอดเลยนะ”
เธอคิดในใจอย่างเงียบงัน พลางเบือนสายตาไปทางถ้วยน้ำซุปตรงหน้า มือที่วางอยู่บนตักขยับเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว ปลายนิ้วบีบเข้าหากันเบา ๆ ราวกับเก็บอะไรไว้แน่น ๆ
“ฝืนไม่ให้พูดมาก ฝืนไม่ให้เผลอมองเขานานเกินไป ฝืนไม่ให้ยิ้มเวลาเขาเงยหน้ามาแบบนั้น”
เธอสูดหายใจเงียบ ๆ ผ่านจมูก ก่อนจะพยายามกลับมามองหน้าเขาอีกครั้ง
เขาเงยหน้าขึ้นพอดี ยิ้มบาง ๆ แล้วพูดต่อ
“ก็แบบ... ไม่ต้องพยายามเป็นคนเท่ หรือพูดอะไรให้ดูฉลาด พี่แค่เป็นตัวเอง แล้วธาราก็ยังยิ้มให้พี่ได้”
ธาราชะงักเล็กน้อย ดวงตาไหววูบ เธอไม่ตอบทันที แต่ลดสายตาลงไปที่ข้าวในจานแทน มือขยับช้อนในจังหวะช้า ๆ เหมือนตั้งใจจะกินต่อ แต่กลับไม่ได้ตักอะไรขึ้นมาจริงจัง
ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแผ่ว ๆ
“เขาไม่ต้องฝืนก็จริง... แต่ฉันสิ ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร แล้วแบบไหนที่เรียกว่า ‘เป็นตัวเอง’ จริง ๆ”
เธอวางช้อนลงข้างจานในที่สุด เงยหน้าขึ้นนิดหน่อยก่อนจะพูดเสียงเบา
“แล้วฉันจะว่าอะไรพี่ได้ล่ะ” น้ำเสียงนั้นคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม คล้ายล้อเล่นแต่กลับไม่มีอะไรขำอยู่ในนั้น
“ก็ถ้าพี่ทำตัวเท่ตั้งแต่เจอกัน... ฉันก็คงคิดว่าพี่เป็นแบบนั้นแต่แรก แต่ก็ยิ้มให้พี่ได้เหมือนเดิมนั่นแหละ”
เอกภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วหันไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบช้า ๆ มือเขาวางนิ่งข้างแก้วสักพัก เหมือนใช้จังหวะนั้นรวบรวมความคิดอะไรบางอย่าง แล้วจึงหันกลับมามองเธออีกครั้ง
ธาราเงียบอยู่ครู่หนึ่ง มองเขา มองจานของตัวเอง แล้วกลับไปมองหน้าเขาอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ
“ขอบคุณนะพี่เอก ที่พามากินข้าว...” คำพูดธรรมดาที่พูดออกมาเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่พอหลุดจากปากแล้วเธอกลับรู้สึกว่ามันหนักแน่นกว่าที่ตั้งใจ
เอกภพเงยหน้าขึ้นจากแก้วทันที ยิ้มกว้างจนตาหยีไปข้าง รอยยิ้มแบบไม่ตั้งใจที่ดูจริงใจจนเธอต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
เขาเกาหลังคอเบา ๆ ด้วยมือข้างหนึ่ง สีหน้าเหมือนคนที่ไม่รู้จะตอบอะไรดี จึงแค่ยิ้มอยู่แบบนั้น แล้วก้มหน้าลงกินข้าวต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่แววตายังมีประกายขำ ๆ เจือเขินติดอยู่ชัดเจน...