ตอนที่ 2 ไม่อยู่แล้วบ้านนี้

2691 Words
ทิพย์ธาราปั่นจักรยานมาตามทางลูกรังที่มีเงาไม้ทอดทาบ รอยล้อทิ้งทางยาวบนพื้นดิน เมื่อมาถึงใต้ต้นโพธิ์ใหญ่หน้าตึกเรียนเก่า เธอค่อย ๆ จอดจักรยาน แกร่ก ๆ แกร่ก ๆ ก่อนจะหยุดเสียงลงด้วยเสียง กึก! ตอนพิงจักรยานกับรากไม้เก่า เธอจัดผ้าถุงนิดหนึ่ง ปัดชายเสื้อให้เรียบร้อย แล้วจึงยกกระเป๋าผ้าขึ้นพาดบ่า เดินเข้าไปในตัวอาคารไม้ที่บันไดขึ้นชั้นสองเริ่มสึก เสียงฝีเท้า ก๊อก แก๊ก ก๊อก แก๊ก ดังประสานกับเสียงหัวเราะพูดคุยจากห้องเรียน เมื่อก้าวเข้าห้อง ทิพย์ธาราเหลือบมองรอบ ๆ ด้วยสายตาเฉยเมย เด็กผู้หญิงนั่งจับกลุ่มกันอยู่หน้าห้อง เด็กผู้ชายนั่งโยกเก้าอี้หลังห้อง บางคนปาห่อกระดาษเล่นกัน ส่วนอีกมุม แป้งร่ำกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ริมหน้าต่าง มือหนึ่งวาดอะไรเล่นลงในสมุด อีกมือยกขึ้นโบกใหญ่ ๆ ทันทีที่เห็นเธอ “ธารา!” แป้งร่ำร้องเสียงดังแล้วหัวเราะ “เมื่อวานฉันไม่โดนแม่ตีนะ ฮ่า ๆ!” ทิพย์ธาราเดินมาหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ไม้เก่า เสียงไม้ร้องเอี๊ยดเบา ๆ พร้อมถอนหายใจ “ไหนดูซิ ตรงไหนเป็นรอยบ้าง” แป้งร่ำชะเง้อมองเพื่อนเต็มตา แล้วทำตาหยีขำ ๆ “ปกติเราต้องอวดกันไม่ใช่เรอะ ว่าใครโดนหนักกว่า” ทิพย์ธาราก้มหน้าลงนิดหนึ่ง ยกชายกระโปรงนักเรียนขึ้นเล็กน้อยที่เหนือเข่า เผยให้เห็นรอยแดงจาง ๆ รูปแนวยาวอยู่ตรงต้นขาด้านใน พรึ่บ! แป้งร่ำเบิกตากว้าง เอียงตัวเข้ามาดูใกล้ ๆ พลางย่นจมูก “โห... ยาวเชียว!” ทิพย์ธาราลดกระโปรงลงตามเดิมก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้ ก้มมองโต๊ะเรียนไม้เก่าที่มีรอยขีดเขียนชื่อเพื่อนหลายรุ่น เธอเอานิ้วลูบรอยตัวหนังสือเล่นไปมา “ฉันจะไปกรุงเทพกับเธอนะ” เธอพูดขึ้นลอย ๆ น้ำเสียงราบเรียบจนแป้งร่ำต้องเงยหน้าจากสมุดขึ้นมา มือของเธอหมุนดินสอจนดินสอร่วงลงมากับพื้น “ว่าไงนะ? เธอจะไปกับฉันจริง ๆ หรอ คิดอยู่แค่คืนเดียวเนี่ยนะ?” “เออน่า” ทิพย์ธาราพยักหน้าช้า ๆ “ฉันขอไปด้วยคนนะ ฉันบอกแม่แล้ว” “แล้วแม่เธอยอมด้วยหรอ?” แป้งร่ำถาม พลางเอนตัวมาค้ำคางมองเพื่อน สีหน้ายังมีแววไม่อยากเชื่อเต็มที ทิพย์ธาราส่ายหน้าเบา ๆ หยิบดินสอที่หล่นอยู่บนพื้นมาใส่กระเป๋าดินสอ แล้วพูดสั้น ๆ “ก็...ไม่” “เอ้า! แล้วจะไปได้ยังไง เดี๋ยวก็โดนแพ่งกะบาลหรอก” แป้งร่ำหัวเราะ แต่ดวงตายังไม่คลายกังวล “ฉันก็จะบอกแม่จนกว่าแม่จะให้ไปนี่แหละ” ทิพย์ธาราพูดพลางกลอกตาน้อย ๆ แล้วกัดริมฝีปากเหมือนกำลังสะกดความดื้อรั้นไว้ “แม่ก็รู้น่าว่าฉันเป็นคนยังไง ถ้าฉันตั้งใจจะทำอะไรแล้วน่ะ ธาราคนนี้ไม่ถอยหรอก” แป้งร่ำยิ้มบาง หัวเราะออกมาในลำคอ ไหล่สะท้อนเบา ๆ จากแรงหัวเราะ “ดี มุ่งมั่นดี งั้นเธอต้องพูดให้แม่รู้ว่า นี่ไม่ใช่ความฝันลอย ๆ แต่มันคือแผนชีวิต ไม่ใช่แค่ความอยากหนี เธอต้องให้แม่เห็นว่าเธอคิดมาแล้ว ไม่ได้ทำเพราะหุนหัน” ทิพย์ธาราพยักหน้าช้า ๆ สีหน้าเริ่มจริงจังขึ้น “ฉันก็เตรียมใจไว้แล้วล่ะ ว่าแม่ต้องขึ้นเสียง ต้องด่า ต้องพูดอะไรที่ทำให้ฉันเจ็บใจเหมือนทุกที” เธอหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอียงคอพิงพนักเก้าอี้ เสียงเงียบลง แต่คำพูดยังคงแน่วแน่ “แต่คราวนี้ฉันจะไม่ร้องไห้ ไม่เถียง ไม่หนีไปไหน ฉันจะยืนอยู่ตรงนั้นให้แม่เห็นว่าฉันโตพอจะเลือกทางเดินเองได้แล้ว” แป้งร่ำเหลือบมองเพื่อน แล้วพยักหน้าเบา ๆ “ดีแล้วธารา เธอไม่ต้องกลัวว่าแม่จะไม่เห็นใจหรอก ถ้าเธอแสดงให้เขาเห็นว่าเธอคิดมาแล้วจริง ๆ แม่เธอก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำซะทีเดียว” ทิพย์ธาราอมยิ้มเล็ก ๆ พลางยักไหล่ “แต่ถ้าแม่ไม่ฟังเลย ก็คงได้ฝ่าตีนอีกชุดละนะ” เธอพูดขำ ๆ แต่ก็ไม่กลบความจริงที่ยังอึดอัดในอก “งั้นให้ฉันอยู่ตรงนั้นกับเธอ เธอไม่ต้องเถียง ไม่ต้องร้องไห้ ให้ฉันพูดแทน” แป้งร่ำขยับตัวเข้ามาใกล้ แล้วยิ้มตาเป็นประกาย “เฮ้ย ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้” ทิพย์ธาราหัวเราะพลางผลักแขนเพื่อนเบา ๆ “ฉันไม่ได้จะไปทะเลาะกับแม่เธอซะหน่อย” แป้งร่ำยังคงยิ้มเหมือนเดิม “แต่ฉันอยากให้แม่เธอรู้ว่าเธอไม่ได้คิดเรื่องนี้คนเดียว เธอมีฉันอยู่ข้าง ๆ มีคนที่เชื่อในตัวเธอเหมือนที่เธอเชื่อในความฝันของตัวเอง” ทิพย์ธารานิ่งไป หายใจเข้าแผ่ว ๆ เหมือนซึมซับพลังบางอย่างจากคำพูดนั้น แล้วหันมองหน้าเพื่อนที่ยังคงนั่งยิ้มให้เธอเหมือนเดิม “เธอนี่มัน... ไอ้แป้งร่ำ เพื่อนฉันจริง ๆ เลย” “ถ้าเพื่อนไม่กล้าก้าว... ฉันก็ต้องเป็นมือที่ผลักให้มันก้าว” “ขอบใจมากนะแป้ง” ... เย็นวันเดียวกัน ณ บ้านไม้ยกพื้นกลางทุ่งนา แม่วารียืนตักน้ำอย่างตั้งใจ ใบหน้าแฝงความเหน็ดเหนื่อยไว้บางเบา เสียงล้อจักรยานแกร่ก ๆ ดังมาถึงบริเวณหน้าบ้าน ทิพย์ธารากับแป้งร่ำปั่นจักรยานเข้ามาช้า ๆ จอดข้างโอ่งน้ำ ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปด้วยสีหน้าตึงเครียด ตึก ๆ ตึก ๆ ... แป้งร่ำหันไปมองเพื่อนเบา ๆ ก่อนพยักหน้าแน่วแน่ “แม่... ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย” แม่วารีหยุดตักน้ำ หันมามองลูกสาวช้า ๆ สายตาคมเฉียบบ่งบอกว่าพร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะได้ยิน “มีอะไรก็พูดมา แต่ถ้าเรื่องจะขอไปกรุงเทพ ข้าไม่อยากฟัง” “แม่... ฉันว่ากรุงเทพมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ” ทิพย์ธารากลืนน้ำลายหนักหน่วง รู้ดีว่าคำตอบคงไม่ง่าย แม่วารีสบตาเธอทันที น้ำเสียงหนักแน่น “เอ็งคิดว่าที่นี่มันแย่ งั้นสิ?” ทิพย์ธารากัดฟันแน่น “แม่ช่วยฟังเหตุผลหน่อยได้ไหม” “แล้วเอ็งจะทิ้งข้าไปทำไมวะ? ไม่ต้องพูดให้มากความ! ไปอยู่เมืองกรุงคนเดียว ไม่มีเงิน ไม่มีใคร จะอยู่ยังไง! กรุงเทพไม่ใช่บ้านเกิดเรานะธารา!” “คุณน้าวารีจ๊ะ... ทิพย์ธาราไม่ได้ตัดสินใจแบบลวก ๆ นะจ๊ะ เราะช่วยกันหางาน แถมยังวางแผนค่าใช้จ่ายไว้หมดแล้ว” แป้งร่ำก้าวเข้ามาใกล้ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่น “ใช่แม่ ฉันไม่อยากติดอยู่ตรงนี้ไปตลอด อยากมีโอกาส อยากลองพาตัวเองไปไกลกว่านี้ แม่ให้ฉันไปเถอะนะ ฉันจะส่งเงินกลับมาให้” ทิพย์ธาราเสริมทันที น้ำเสียงจริงจัง แม่วารีหันมามองแป้งร่ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับมาจ้องที่ทิพย์ธารา “ถ้างั้น กูคงแย่ขนาดนั้นเลยสิท่า มึงถึงไม่อยากติดอยู่ที่นี่” “ไม่ใช่แบบนั้นนะแม่ แต่โอกาสและทางเลือกที่นี่มันน้อยมาก ดูบ้านเราสิ ไม่ได้อยู่ท่ามกลางความเจริญอะไรเลย” แม่วารีกระชับมือแน่นขึ้น หันหน้าไปทางอื่น “แล้วถ้าพลาด! โดนใครเขาหลอก ถ้าอด ถ้าเจ็บ ถ้าร้องไห้อยู่ในเมืองใหญ่อยู่คนเดียว มึงจะทำยังไงวะ!” “มันไม่เป็นอะไรเลยแม่ ไม่มีใครไม่ท้อ ไม่ร้องไห้อยู่แล้ว เพราะที่แม่พูดมาเมื่อกี๊มันก็คือชีวิตไง” ทิพย์ธาราสบตาแม่ ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง “อีกอย่าง ธาราไม่ได้ตัวคนเดียวนะจ๊ะน้าวารี ยังมีแป้งด้วย” แป้งร่ำเสริมด้วยความหนักแน่น แม่วารีเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ยืนตรงนั้นนิ่งเหมือนถูกแรงปะทะของคำพูดทั้งหมดทำให้ต้องตั้งหลัก สายตาเธอสั่นไหวเล็กน้อย แล้วหันหน้าหนีไปทางครัว ฮึก... ทิพย์ธาราเห็นหลังแม่ที่เคยเข้มแข็งมาตลอด… ตอนนี้มันดูสั่นไหวอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน “ถ้าฉันพูดอะไรแรงไป ฉันขอโทษนะ แต่ถ้าไม่ไปตอนนี้ ตอนที่ฉันยังมีแรงขนาดนี้ มันก็อาจจะไม่ทันแล้วนะแม่” แม่วารีเงียบไปนาน ก้มหน้าคิดหนัก แป้งร่ำเดินมาข้างหน้า ยื่นซองเอกสารให้แม่วารีด้วยมือที่ไม่สั่น “นี่จ้ะ รายละเอียดงาน หอพัก ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง แป้งคำนวณไว้หมดแล้ว สัญญาค่ะว่าจะพยายามติดต่อกลับมา” แม่วารีรับซองจากแป้งร่ำ ดวงตาคมเริ่มมีหยาดน้ำใส ๆ “ข้าอ่านหนังสือไม่ออกหรอก เอกสารนี่ข้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นอย่างที่เอ็งพูดไหม” “เชื่อใจฉันเถอะแม่ ถึงล้ม มันก็คือการเรียนรู้ ให้ฉันได้ลองตัดสินใจดูก่อนก็ได้” ทิพย์ธารายืนข้าง ๆ เสริมเสียงมั่นใจ ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วห้อง แม่วารีวางซองลงบนโต๊ะไม้เก่า ๆ ด้วยน้ำหนักมือช้า ๆ “...มึงมันก็หัวแข็งเหมือนพ่อมึงนั่นแหละ เอาแต่ใจ ห้ามเท่าไรก็ไม่ฟัง” “แต่ถ้ามึงตั้งใจมาก จะไปก็ไป ข้าก็อยากเห็นว่าจะเติบโตได้อย่างที่พูดไหม แล้วก็ดูแลกันให้มันดี ๆ” “จริงหรอแม่ แม่ให้ฉันไปจริง ๆ หรอ” “เออ!” “งั้นฉันสัญญานะแม่ว่าจะตั้งใจทำงาน เก็บเงิน แล้วส่งมาให้พ่อกับแม่มาก ๆ” แม่วารีผ่อนลมหายใจลึก ๆ “แม่ไม่อยากได้เงินของเอ็ง อยู่ให้มันได้เถอะกรุงเทพน่ะ แค่ไม่กี่เดือนเอ็งก็หน้าตั้งกลับมาแล้วมั้ง” “โธ่! แม่อย่าเพิ่งดูถูกฉันสิ” “พอจะยากก็ยาก พอจะง่ายก็ง่าย แม่มึงเป็นอะไรวะอีหนู ผีเข้าผีออก” พ่อพนาเข้ามาพูดขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงกึ่งหมั่นไส้กึ่งห่วงใย แม่วารีชะงักไป ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นเสียงต่ำ “ให้มันน้อย ๆ หน่อยตาพนา ให้ไปก็ดีแล้ว...” เธอหยุดคิด ก่อนจะเสริมอีกคำสั้น ๆ “รึไม่ดี!” “ดีจ้ะ... ดี” สองสาวในชุดนักเรียนช่วยกันตอบประสานเสียงด้วยความสดใส “แล้วจะไปกันเมื่อไรล่ะอีหนู” พ่อพนาถามขึ้นอีกครั้ง “เดือนหน้าจ่ะพ่อ เดือนหน้าเรียนจบฉันก็จะไปเลย” “เขียนจดหมายมาหาพ่อบ่อย ๆ ล่ะ เขียนยาว ๆ ได้เลย พ่อขยันอ่าน” “ไปก็อย่าให้มันนานจนลืมหน้าพ่อกับแม่มึงล่ะ” แม่วารีพูด ก่อนจะเดินเข้าครัวไปช้า ๆ สีหน้าของแก แม้แต่ทิพย์ธาราเองก็ยังมองไม่ออกว่ายอมให้ไปแล้วจริง ๆ หรือ ต่างกับพ่อพนาที่ยังมองลูกสาวอยู่ราวกับจะส่งทุกแรงรัก แรงห่วง และแรงภาวนาไปกับการเดินทางครั้งนี้ด้วย... ควันไฟลอยเอื่อย ๆ จากใต้ถุนบ้านไม้ยกพื้นกลางทุ่งนา แม่วารีนั่งยอง ๆ อยู่หน้าเตาถ่าน ไฟลุกพรึบ ๆ ใต้หม้อใบใหญ่ กลิ่นควันหมูปลาทูคละคลุ้งในอากาศ มือข้างหนึ่งพลิกปลาทูในกระทะอย่างชำนาญ อีกข้างหยิบขวดน้ำปลาใกล้มือมารินราดลงไปทีละน้อย ตึง ตึง ตึง... เสียงฝีเท้าดังตึงตังจากบนเรือน ทำให้แม่วารีเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็เปล่งเสียงเรียกดังลั่น “เร็ว ๆ สิวะนังธารา! เดี๋ยวก็ไม่ทันรถไฟกันพอดี!” ประตูบ้านไม้เปิดออก ทิพย์ธาราโผล่หน้ามาพร้อมกับผมยุ่งฟูไม่เรียบร้อย แบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ดูจะหนักเกินตัวไว้บนหลัง “ไปแล้วแม่! นี่ฉันอุตส่าห์ตื่นตั้งแต่ตีห้าเลยนะ!” น้ำเสียงร่วน ๆ แต่มั่นใจ แม่วารีวางขวดน้ำปลาไว้บนโต๊ะไม้หน้าเตาแล้วเดินออกจากใต้ถุน พยุงกายขึ้นบันไดบ้านช้า ๆ มือยังไม่ว่าง “ของครบหมดแน่นะ ข้าไม่อยากให้ไปแบบลืมนั่นลืมนี่” ทิพย์ธาราทำหน้าเหมือนถูกเตือนเรื่องเดิม พลางดึงสายกระเป๋าให้แน่นขึ้น “ครบแล้วล่ะ ข้าวของอยู่ในกระเป๋าหมดแล้วจ่ะแม่” ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเร่งรีบของแป้งร่ำดังตามมา เธอวิ่งหน้าตั้งมาถึงหน้าบ้าน หอบหายใจหนักหน่วง “แฮ่ก แฮ่ก! แป้งจะดูแลธาราอย่างดีเลยนะจ๊ะน้าวารี ไม่ต้องห่วงจ้ะ” “เดินทางดี ๆ ล่ะ อย่าลืมเขียนจดหมายมาให้พ่อมึงอ่านบ้าง” แม่วารีสีหน้ายังเรียบเฉย แต่ในสายตาไม่อาจปิดซ่อนความห่วงใยได้ เสียงเคี้ยวหมากดังแผ่ว ๆ จากแคร่ไม้หน้าบ้าน พ่อพนานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตาติดตามลูกสาวด้วยความเงียบ เขาพยักหน้าให้สองสาวเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ไปเถอะอีหนู เดี๋ยวจะตกขบวน รถไฟไม่รอใครนะ” ... แป้งร่ำกับทิพย์ธาราหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเก่า ๆ กับถุงของใช้พะรุงพะรัง เตรียมตัวจะออกเดินทางไปกรุงเทพตามฝันที่ใกล้จะเป็นจริง ทิพย์ธาราหันมามองแป้งร่ำ พลางยิ้มกว้าง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แป้ง! ไหนบอกว่าไม่ค่อยเชื่อหมอดูเพราะไม่ค่อยแม่นไง ทำไมวันนี้มาทำหน้าตาจริงจังจังเลย?” “ก็อยากรู้ล่ะนะ ว่ามีอะไรจะเตือนหรือบอกเราบ้าง เผื่อจะได้เตรียมใจไว้ก่อน” ร้านเล็ก ๆ ที่ทำจากไม้เก่า ๆ มีผ้าม่านลายจีนสีแดงหม่นแขวนอยู่หน้าประตูทางเข้า กลิ่นธูปลอยเอื่อย ๆ เคล้ากับเสียงพัดลมตั้งพื้นที่ส่งเสียงดัง ครืด... ครืด... ไปเรื่อย ๆ ทิพย์ธารากับแป้งร่ำนั่งอยู่บนเสื่อเก่า หน้าหมอดูหญิงวัยกลางคน ผมดัดเป็นลอนแน่น เสียงพูดทุ้มต่ำแต่แฝงพลังบางอย่าง แป้งร่ำนั่งตัวตรง มือกำแน่นอย่างลุ้นสุดชีวิต “หมอคะ ดูให้แป้งก่อนเลยค่ะ เรื่องเนื้อคู่ ฮิ ๆ” น้ำเสียงยังไม่ทิ้งความตื่นเต้นปนเขินอาย หมอดูไม่พูดพร่ำ เพียงปรายตามองช้า ๆ ก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มต่ำและชัดถ้อย “เนื้อคู่จะมี... แต่จะเจอช้า... เจอตอนที่ไม่ได้ตั้งใจจะรักใคร” “ว้ายยย~ เจอตอนที่ไม่ตั้งใจงั้นเหรอ~” แป้งร่ำทำหน้าตกใจเหมือนโดนฟ้าผ่า “งั้นเดี๋ยวแป้งเลิกตั้งใจเลยค่ะ!” ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างฝันหวานทันที ทิพย์ธาราหัวเราะในลำคอเบา ๆ กับความเว่อร์ของเพื่อน “ขนาดนี้ยังไม่ตั้งใจอีกเหรอเนี่ย…” “เอาน่า ทีธาราบ้างล่ะ!” แป้งร่ำหันมาเบะปาก หมอดูปรายตามองทิพย์ธาราอยู่นานกว่าตอนแป้งร่ำเล็กน้อย ก่อนจะพึมพำเหมือนกับไม่ตั้งใจ “ร่างสูงใหญ่ ผิวไม่ได้ขาวมาก เป็นบุตรคนที่สามในพี่น้องห้าคน บ้านอยู่ทางทิศตะวันออก เฉียดคุกเฉียดตาราง” เงียบ... ทิพย์ธาราเบิกตากว้าง ส่วนแป้งร่ำทำหน้าเหวอไปสามวิ ก่อนจะพูดเบา ๆ “อะไรนะ เฉียดคุกเฉียดตาราง?” หมอดูยังไม่ตอบทันที กลับหลับตาแล้วพูดช้า ๆ ราวกับครุ่นคิด “เขาไม่ใช่คนเลว แต่เลือกผิด เดินทางที่ผิดน่ะ” ทิพย์ธารากลืนน้ำลายเงียบ ๆ แววตาไม่แน่ใจว่าควรจะกลัวหรือสงสาร แป้งร่ำรีบคว้ามือเพื่อนมาเขย่า “ธารา! ฟังดูโรแมนติกปะล่ะ! แบบผู้ชายมีอดีตไง! แบบในหนังกลางแปลง!” ทิพย์ธาราถอนใจพรืด เฮ้อ... จะไม่เชื่อก็ไม่ใช่ แต่จะเชื่อทั้งหมดก็ไม่ใช่อีก หมอดูมองทั้งสองคนก่อนจะพูดเสียงแผ่วลง “มีอีกอย่าง... ระวังช่วงสามเดือนแรกหลังจากเปลี่ยนถิ่นฐาน คนที่ใช่ อาจมาในวันที่ใจยังไม่พร้อม” ทิพย์ธารากับแป้งสบตากันเงียบ ๆ กะพริบตามองกันปริบ ๆ ฟิ้ว~ คราวนี้ไม่มีเสียงหัวเราะ มีเพียงลมโชยอ่อน ๆ และกลิ่นธูปที่ยังลอยควันจางอยู่ในอากาศ...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD