ตอนที่ 26 เจ็บแล้วจำไหม

1826 Words
“วารี เป็นอะไรไป?” เสียงเพื่อนคนหนึ่งถามเบา ๆ พลางเอียงหน้ามอง สีหน้าเป็นห่วง เมื่อเห็นเจ้าตัวหยุดนิ่งกะทันหัน ดวงตาเบิกเล็กน้อยเหมือนมองอะไรสักอย่างอยู่ไกล ๆ มือที่เคยตักข้าวเมื่อครู่ค้างอยู่กลางอากาศ ไม่ได้ขยับต่อ แม่วารีไม่ได้ตอบในทันที ริมฝีปากที่เคยพูดคุยอยู่เมื่อครู่เม้มแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง ช้อนในมือสั่นไหวเบา ๆ เหมือนกำลังฝืนอะไรบางอย่าง แล้วเธอก็ลุกขึ้นจากแคร่ไม้เล็ก ๆ แคบ ๆ ทันทีโดยไม่เอ่ยคำใด แววตาที่เคยเคร่งขรึมกลายเป็นแข็งกร้าวจนมองเห็นได้แม้ไม่ต้องจ้องตรง ๆ เหมือนเปลวไฟลุกวาบอยู่ในอก “วารี!” เพื่อนอีกคนขยับตัวลุกตามเหมือนจะรั้งไว้ แต่ก็ไม่กล้าพอจะยื่นมือจับ เธอก้าวยาว ๆ ไปตามทางเดินริมโรงงานที่ร้อนระอุจากแดดใกล้เที่ยง มือข้างหนึ่งคว้าแก้วน้ำกระเบื้องเคลือบที่วางอยู่บนแคร่โดยอัตโนมัติ ทั้งที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะหยิบตั้งแต่แรก เสียงฝีเท้ากระแทกพื้นดังสม่ำเสมอ จังหวะแรง เร็ว และแน่น เหมือนคนที่ไม่คิดจะหยุด ไกลออกไปประมาณห้าเมตร มีร่มไม้ใหญ่แผ่กิ่งอยู่ข้างซอยแคบ ด้านใต้เงาร่มนั้น ชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ใกล้ชิดกัน ชายหนุ่มกำลังค่อย ๆ ยื่นมือเช็ดอะไรบางอย่างบนแขนหญิงสาว ขณะที่เธอกำลังตากผ้า และดูเหมือนจะพูดคุยกันอย่างอ่อนโยน แม่วารีหยุดเท้าที่หัวมุมทันทีที่เห็นภาพนั้น ร่างของเธอแข็งเป็นหิน แววตาเบิกเล็กน้อยแต่กลับแฝงด้วยแสงวาวเหมือนเหล็กที่กำลังแดงจัด ทิพย์ธารายืนอยู่ตรงนั้นเอง ลูกสาวของเธอ หญิงสาวที่เคยยืนร้องไห้อยู่หน้าประตูบ้านในวันที่โดนผัวทำร้าย หญิงสาวที่เธอเคยเฝ้าเลี้ยงดูด้วยไม้เรียวและน้ำตา ยืนอยู่กับผู้ชายคนเดียวกับที่เคยทำให้เธอเกือบตายกลายเป็นผีเมืองกรุง ภาพนั้นมันแทงเข้าไปในใจโดยไม่ต้องมีคำอธิบายใด วาบ! เลือดในกายพุ่งขึ้นมาจนหน้าแดงจัดทันที เหมือนร่างกายตอบสนองต่ออารมณ์ได้ไวกว่าเหตุผล มือที่ถือแก้วอยู่เริ่มขยับขึ้นสูงอย่างเชื่องช้า แต่เต็มไปด้วยแรงกด ริมฝีปากขยับพึมพำเสียงต่ำ ราวกับไม่อาจกลั้นคำไว้ในใจ “นังธารา…” เธอง้างแขนขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่าทางนั้นคุ้นตาเกินกว่าทิพย์ธาราจะไม่รู้ ท่าที่มักตามมาด้วยเสียงไม้แขวนฟาด เสียงไม้กวาดกระแทก หรือเสียงโต๊ะล้มครืนในวัยเด็กที่แสนยาวนาน แก้วกระเบื้องเคลือบพุ่งจากมือแม่วารีอย่างรวดเร็ว เหมือนผ่านการฝึกมานับครั้งไม่ถ้วน เสียงลมเสียดผ่านข้างหูแม่วารีดังวืด ไม่มีลังเล ไม่มีเบี่ยงเบน ไม่มีเป้าหมายอื่นใดนอกจากร่างบางที่นั่งอยู่ตรงนั้น ทิพย์ธาราเหลือบเห็นพอดีในจังหวะนั้น หัวใจวูบเหมือนถูกหยุดดึงทันที เธอลุกพรวดโดยไม่รู้ตัว “พี่เอก หลบไป!” เสียงเธอสั่นเครือแต่แน่วแน่ ก่อนจะคว้าแขนเขาดึงขยับทันที ทั้ง ๆ ที่ตัวเธอเองก็อยู่ด้านหน้ากว่าเขา เพล้ง! เสียงแตกของแก้วกระทบผิวหนังไม่เหมือนเสียงกระจกปกติ มันแน่น หนัก และชัดเจน ขอบแก้วกระแทกเข้ากับหน้าผากและโหนกคิ้วขวาของทิพย์ธาราโดยตรง “โอ๊ย…” เสียงเธอขาดห้วง ใบหน้าเบี้ยวเล็กน้อยก่อนจะเซถอยไปครึ่งก้าว มือยกขึ้นแตะหน้าผากทันทีโดยสัญชาตญาณ เอกภพพุ่งเข้ามาคว้าร่างเธอไว้เต็มสองแขน ราวกับกลัวว่าเธอจะล้มลงไปทันที ดวงตาของเขาเบิกกว้าง “ธารา! เป็นอะไรมากไหม? ให้พี่ดูแผลหน่อยเร็ว” เขาพูดเร็วถี่ สีหน้าตกใจแทบสิ้นสติ มือควานหาผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อทันที ทิพย์ธารายกมือขึ้นช้า ๆ แล้วเห็นเลือดซึมออกมาติดปลายนิ้ว รอยแผลไม่ลึกแต่เปิดเป็นทางยาวพอให้เลือดไหลไม่หยุด น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ โดยไม่ต้องมีเสียงสะอื้น ไม่ใช่เพราะความเจ็บจากรอยแผลเท่านั้น แต่เพราะภาพเก่า ๆ ที่เธอพยายามฝังไว้ กลับผุดขึ้นมาเหมือนเงาในใจ “ถ้ามึงหนีไปอีกครั้ง คราวนี้มึงอย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีกนะ!” “แล้วถ้ากูตามมึงเจออีกกูจะฆ่ามึงให้ตายเลย!!” เสียงนั้นยังชัดเจนในหัว ไม่ผิดเพี้ยน… แม่ยังใช้ “แรง” กับเธอ เหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยน แม่วารีที่ยืนอยู่ตรงหัวมุมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเลือดที่ไหลอาบจากหน้าผากลูกสาว ท่าทางของเธอคล้ายจะหยุดหายใจชั่ววินาที แต่สายตายังแน่วแน่ ไม่มีร่องรอยสั่นไหวให้จับได้ “นี่มันผลของการไม่รู้จักฟังแม่! อยากไปอยู่กับมันนักใช่ไหมนังธารา! งั้นก็อยู่ไปเลย อยู่ให้พังไปเลย!” เธอพูดลอดไรฟัน เสียงแหบแห้งแต่แข็งกร้าว เสียงคำรามของเธอดังสะท้อนซอยแคบ ๆ ราวกับจะกระแทกเข้าใส่กำแพงให้สะเทือน เพื่อนสองคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลรีบลุกขึ้นวิ่งเข้ามาคว้าแขนเธอไว้ “พอแล้ววารี! แกกำลังจะทำร้ายลูกตัวเองนะ!” “ปล่อยข้า! พวกเอ็งไม่รู้หรอกว่ามันเกือบต้องเสียอะไรไปเพราะไอ้ผู้ชายคนนี้! แล้วมันยังกล้ากลับไปหาอีก!” เธอดิ้นพรวดพราด ดึงแขนออกอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่หลุดง่าย ๆ เพราะแรงเพื่อนสองคนยื้อไว้แน่น “นังธารา! พูดอะไรก็ไม่ฟัง!” เสียงเธอยังดังลั่นแม้ร่างจะถูกรั้ง ทิพย์ธารานิ่ง น้ำตาไหลเงียบ ราวกับไม่มีแม้แรงจะปาดออกจากใบหน้า เลือดยังคงซึมออกมาอย่างต่อเนื่อง เอกภพจับผ้าเช็ดหน้าแนบลงบนแผลอย่างแผ่วเบา ฝ่ามือเขาเย็นแต่นิ่ง ราวกับกำลังคุมสติไว้เต็มกำลัง “รีบไปเถอะธารา” เขาพูดเสียงเบา ไม่มั่นคงนัก ทิพย์ธาราส่ายหน้าเบา ๆ ไม่ได้หันมามองเขาด้วยซ้ำ น้ำเสียงเบาราวกระซิบ “เดี๋ยวพี่ แล้วเสื้อผ้าพวกนี้ล่ะ ถ้าไม่เอาไปคืน เขาจะไม่จ่ายเงิน” เอกภพเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “เดี๋ยวพี่จัดการเอง ธาราขึ้นไปทำแผลก่อนนะ พี่จะรีบซักและเอาไปคืนเขาให้เร็วที่สุด เราแค่รับเงินครึ่งเดียวก็พอ แล้วไปจากที่นี่กันเถอะ ก่อนที่แม่จะกลับมาอีกครั้ง” เธอยืนอยู่ตรงนั้น มองหน้าเขานิ่ง ๆ เหมือนหูไม่ได้ยินอะไรอีกต่อไป มือที่ยังกุมหน้าผากไว้สั่นเล็กน้อย หัวใจเหมือนถูกบีบช้า ๆ ด้วยมือที่มองไม่เห็น ดวงตาเหม่อไกลก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยออกมาเบา ๆ อย่างคนหมดแรง “มันเป็นไปได้ยังไง” ในกรุงเทพฯ ผู้คนนับล้าน บ้านเรือนนับแสน ถนนอีกเป็นร้อยเป็นพันสาย ทำไมต้องเป็นที่นี่ ทำไมต้องเป็นวันนี้ ทำไมแม่ต้องมาเห็น เธอก้มหน้าลงอย่างหมดแรง รู้สึกเหมือนทั้งโลกกำลังกลั่นแกล้งเธอด้วยบททดสอบที่ไม่มีวันจบ แล้วเธอจะต้องหนีไปถึงไหน ... เสียงกริ่งพักเที่ยงที่ใกล้หมดเวลาดังแผ่วเบาลงจากด้านในโรงงาน ราวกับเสียงกระดิ่งที่ปลุกเตือนให้ทุกชีวิตต้องเคลื่อนไปตามหน้าที่ แม้หัวใจยังไม่ทันได้เยียวยาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งพุ่งเข้ามากลางอก แม่วารียังคงยืนนิ่งอยู่ตรงปากทางซอย มือสองข้างของเธอแข็งเกร็ง กำแน่นจนข้อขาวขึ้น ด้านหลังเธอคือเสียงกึกก้องของเครื่องจักรที่เริ่มเดินเครื่องอีกครั้ง ข้างกายเธอคือเพื่อนร่วมงานหญิงคนหนึ่ง ซึ่งจับสายตาจ้องมองมาด้วยแววตาหนักแน่นแต่ไม่แข็งกร้าว “วารี อย่าเลยนะ เดี๋ยวเรื่องจะใหญ่ แกต้องกลับเข้าเวรแล้วด้วย” เพื่อนพูดเบา ๆ ริมฝีปากขยับอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวจะทำให้หญิงตรงหน้าระเบิดออกมาอีกครั้ง แม่วารีไม่ตอบในทันที เธอยังคงยืนนิ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง คางตั้งตรง ขณะสายตาหันไปยังทางเดินแคบ ๆ ที่ทอดยาวเข้าไปสู่ปลายซอย ปลายซอยที่เธอเพิ่งเดินจากมา ที่ซึ่งมีร่างของลูกสาวยืนนิ่ง กุมแผล เลือดเปื้อนมือ น้ำตาเปื้อนแก้ม แม่วารีขยับปลายเท้าเล็กน้อย เหมือนกำลังจะย่างก้าวกลับไปอีกครั้ง “ข้าต้องกลับไป” เธอพึมพำเสียงต่ำ จังหวะลมหายใจตื้น ๆ สะท้อนแรงอารมณ์ที่ยังหมุนวนไม่ยอมหยุด “ข้าต้องพูดกับมันให้รู้เรื่อง ให้มันรู้ว่ามันทำร้ายหัวใจข้ายังไง” มือขวาของเธอกำแน่นขึ้นกว่าเดิม กล้ามแขนตึงเครียดจนเห็นเส้นเลือดขึ้นชัด ฝีเท้าขยับอีกก้าวหนึ่งอย่างช้า ๆ ราวกับย่ำลงบนพื้นดินที่ร้อนระอุ แต่ยังไม่ทันได้เดินต่อ เสียงกริ่งเลิกพักก็ดังขึ้นอย่างชัดเจนในอากาศ กริ๊งงงงง... เสียงนั้นเหมือนสัญญาณสุดท้ายที่เตือนให้เธอคืนสติ เตือนให้เธอหันหลังให้กับความโกรธที่ยังไม่ทันระบายออก เสียงฝีเท้าของคนงานเริ่มดังเข้ามาเรื่อย ๆ จากมุมทางเดินที่เชื่อมต่อกับตัวอาคารโรงงาน หลายคนเดินสวนกันไปมา บางคนหยุดมองเธอ บ้างก็เดินเลยไปโดยไม่กล้าแม้แต่จะสบตา บางกลุ่มแอบกระซิบกันเบา ๆ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มากเกินไป แม่วารีหายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเธอยังจับจ้องปลายทางซอยที่ตอนนี้เริ่มพร่ามัวลงเล็กน้อยเพราะแสงแดดสะท้อนกับเหงื่อที่ซึมตรงหน้าผาก เธอคิดแบบเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน “มึงยังเลือกมันใช่ไหม” เสียงพึมพำแผ่ว ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากที่แห้งผาก มันเหมือนคำถามที่เธอไม่ต้องการคำตอบ แต่อดไม่ได้ที่จะพูดมันออกมา เธอไม่ได้หวังให้ใครได้ยิน แต่กลับยิ่งพูดเหมือนยิ่งตอกย้ำ “ไม่ใช่ตอนนี้” เสียงนั้นเบากว่าครั้งก่อน ราวกับเธอกำลังปลอบใจตัวเองมากกว่าการประกาศให้ใครฟัง เพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่ละสายตาไปไหน มือหนึ่งเอื้อมขึ้นจับแขนวารีไว้เบา ๆ นิ้วเรียวของเธอแตะลงบนท่อนแขนเสื้อผ้าสีหม่น “ใจเย็นก่อนวารี ไว้เลิกงานค่อยไปดีกว่าใช่ไหมล่ะ” วารียังไม่พูดอะไร พยักหน้าน้อย ๆ ช้า ๆ แต่หนักแน่น ดวงตายังแข็งกร้าว แต่แฝงรอยเหนื่อยล้าในแววเดียวกัน และเธอจะกลับไปจัดการทุกอย่างในใจเธอให้จบ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD