คำพูดนั้นเปรียบดังสะเก็ดไฟตกลงในกองเชื้อเพลิง เอกภพสะดุ้งเฮือก หันขวับมาหาเธอทันที สายตาเหมือนคนที่ถูกหักหลัง
“ไม่! เธอไปตอนนี้ แม่เธอไม่มีวันให้กลับมาอีกแน่!”
น้ำเสียงเขาดังขึ้น สั่นระรัว ริมฝีปากเม้มแน่นจนกล้ามเนื้อขากรรไกรขึ้นเป็นสัน
เธอสบตาเขาตรง ๆ สายตานิ่งสงบ
“แต่พี่จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จริง ๆ หรอพี่ เครียด กดดัน วนอยู่แต่กับคำว่าต้องหาเงิน พี่เอก...ฉันกลัวว่าถ้าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ พี่จะเปลี่ยนไปจนฉันตามไม่ทันอีกแล้ว”
เอกภพกระพริบตาถี่ เสียงลมหายใจเริ่มแปรปรวน มือทั้งสองข้างเริ่มกำแน่นขึ้นทีละน้อย
“อะไรก็ตามที่ได้เงินมา พี่จะยอมทำหมดนั่นแหละ!”
น้ำเสียงหนักแน่น กระแทกออกมาจากลำคออย่างรวดเร็ว คล้ายคนไม่ทันยั้งคิด
เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนจากนิ่งเรียบเป็นตกใจ ริมฝีปากสั่นน้อย ๆ
“แล้วพี่จะไปจี้ ไปปล้นใครเขาหรือไง!?”
เขานิ่งไปทันที ร่างกายเหมือนแข็งค้างไปชั่วขณะ สายตากระพริบไหวเล็กน้อย ก่อนจะหลุบลงต่ำ ไม่ตอบอะไร
“มันไม่มีหรอกนะพี่ ไอ้งานที่ได้เงินไวเท่าที่พี่ต้องการขนาดนั้น”
ทิพย์ธาราเม้มปากแน่น สองมือที่วางอยู่บนตักกำแน่น
“ฉันทนอยู่ในความรู้สึกแบบนี้มาหลายเดือนแล้ว มันอึดอัด มันไม่ใช่ความรักที่ควรจะเป็นเลยนะพี่ พี่เคยดี เคยน่ารักกับฉันมาก ๆ แต่พี่ตอนนี้กลายเป็นคนเย็นชา หมกมุ่นอยู่กับแต่เรื่องหาเงินไปให้แม่ฉันเห็นเพื่อพิสูจน์ตัวเองอยู่ทุกวัน”
เขาเงยหน้าขึ้นเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมา มีเพียงเสียงหายใจของเขาที่ดังกระชั้น ราวกับทุกคำพูดที่อยากจะเอ่ยนั้นถูกอะไรบางอย่างในใจตรึงเอาไว้แน่นหนา
ทิพย์ธาราขยับตัวถอยหลังเล็กน้อย สะโพกเลื่อนลงจนหลังพิงกับเสาด้านข้าง น้ำเสียงเธอเบาลง ขณะเอื้อมไปแตะหน้าท้องตัวเองคล้ายใช้สัมผัสปลอบใจตัวเองเสียมากกว่า
“ฉันจะกลับไปจัดการเรื่องนี้ให้จบ แล้วเราจะเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งก็ได้ แต่อย่างน้อย ฉันต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างก่อนที่พี่จะ...หายไปจากที่ฉันรู้จักจริง ๆ”
เขาลุกพรวดขึ้นจากพื้นราวกับฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้น เสียงขาเก้าอี้ครูดกับพื้นซีเมนต์ก้องไปทั่วทั้งห้อง เขาคว้าข้อมือของเธอไว้อย่างฉับไวจนทิพย์ธาราเซเสียหลัก ตามแรงดึงที่ฉุดกระชากอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ห้ามกลับไปเด็ดขาด!”
น้ำเสียงของเขาหนักแน่น ปนความเครียดขึง เสียงคำรามต่ำผ่านไรฟันที่ขบแน่นของเขาทำให้เธอรู้สึกเย็นวาบไปถึงปลายเท้า
“พี่เอก! ปล่อย! มันเจ็บนะ!”
เธอพยายามดิ้น ข้อมือเรียวบางของเธอขาวซีดลงเมื่อโดนมือของเขาบีบแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ทิพย์ธาราหลุบตาลง พยายามกลั้นน้ำตาไว้ในเบ้า แต่น้ำใส ๆ ก็ยังคลออยู่บนขอบเปลือกตา
เสียงลมหายใจของเขาแรงขึ้น รุนแรงขึ้น ราวกับคลื่นลมกรรโชกกลางพายุ แล้วในพริบตานั้น
ผลัก!
เขาเผลอผลักเธอโดยแรง ร่างเล็กของเธอล้มฟาดลงไปกับพื้นไม้กระดานอย่างไม่ทันตั้งตัว เสียงกระแทกดัง “ตุบ” คล้ายกับทุกอย่างในหัวใจเธอถูกสะเทือน
“ทิพย์ธารา พี่ขอโทษ”
แววตาคมเข้มที่เคยมั่นคง กลับสั่นไหวคล้ายเด็กหลงทาง เงาสะท้อนในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกินจากข้างใน
ทิพย์ธารายันกายลุกขึ้นช้า ๆ มือหนึ่งยันพื้นไว้ ขาอีกข้างยังสั่นระริก เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาเบิกโพลง ทั้งตกใจ ทั้งเสียใจ ทั้งไม่เข้าใจ ดวงตาเธอแดงก่ำเพราะน้ำตา ริมฝีปากซีดเผือด
“ถ้าพี่ยังใจร้อนแบบนี้ ต่อให้พี่ผลักฉันล้มไปกี่ครั้ง ถ้าฉันยังลุกได้ ฉันก็จะกลับ!” เสียงเธอสั่นพร่า แต่พยายามควบคุมให้มั่นคง
เขายืนนิ่งค้างอยู่กับที่ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นจนเป็นรอยลึก กล้ามเนื้อกรามเกร็ง เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบ ๆ เขากำหมัดแน่นจนเห็นข้อขาวพุ่งชัดผ่านผิวหนัง
“เธอจะหนีพี่ไปจริง ๆ เหรอ!?”
เสียงของเขาไม่ดังนัก แต่เต็มไปด้วยแรงอัดของอารมณ์ที่ไม่รู้จะระบายออกทางไหน
ร่างบางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแม้ขาจะยังสั่น เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแต่แน่วแน่
“ถ้าเรายังอยู่กันแบบนี้ มันไม่มีความรักหลงเหลือแล้วพี่...มีแต่ความทุกข์ ความกลัว ความกังวล ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น”
เอกภพเดินเข้ามาหาเธอช้า ๆ ทุกย่างก้าวของเขาหนักแน่นเหมือนเท้าทุกข้างเหยียบบนหินก้อนใหญ่ เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย ใกล้จนเธอได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นแรง เหมือนกลองสะบัดชัยในอก
“แล้วที่ผ่านมา มันไม่มีความหมายเลยเหรอธารา?” เขาเอ่ยอย่างขมขื่น
“มี มีมากด้วย แต่ไม่ใช่เพื่อจะต้องมาร้องไห้แบบนี้ทุกวัน” เธอกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาสั่นระริก
“พี่พยายามแทบตาย!”
เขากำหมัดแน่นอีกครั้ง ลมหายใจถี่จัดจนอกกระเพื่อมแรง เสื้อเชิ้ตที่หลุดลุ่ยอยู่แล้วยิ่งยับย่น มือเขาสั่น เส้นเลือดที่ข้อมือและลำคอเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ไม่! พี่ไม่ยอมให้เธอกลับ!” เขาพูดพร้อมสะบัดมือออกไปทางอากาศคล้ายกับปัดสิ่งที่มองไม่เห็น เสียงเขาสะท้อนกลับมาในห้องอย่างเศร้าและเคว้งคว้าง
“ถ้าเธอไป ทุกอย่างจะต้องจบลงตรงนี้!” เขาเงยหน้าขึ้น ตะโกนออกมาราวเสียงคำรามของผู้ชายที่ทั้งชีวิตเหลือเพียงเธอคนเดียว เสียงนั้นไม่ใช่เพียงความโกรธ หากแต่แฝงด้วยความปวดร้าวลึกถึงกระดูก เหมือนคนที่กำลังจะสูญเสียบางสิ่งที่รักยิ่งกว่าใจตัวเอง
ทิพย์ธาราชะงักไป ใบหน้าชา สีหน้าของเขาในตอนนี้ไม่ใช่เอกภพคนเดิมที่เธอรู้จักอีกแล้ว แววตาที่เคยอบอุ่นบัดนี้แข็งกร้าว ราวกับเขาถูกปีศาจในใจกลืนกินไปหมด
ก่อนที่เธอจะทันพูดอะไร เขาเดินหายไปที่มุมห้อง แล้วหยิบเชือกเส้นหนาสีน้ำตาลจากข้างกล่องไม้เก่า
“พี่จะทำอะไร พี่เอก อย่าทำแบบนี้เลยนะ”
เขาไม่ตอบอะไร เพียงแต่เดินเข้ามา ดึงแขนเธออย่างรวดเร็ว ทิพย์ธาราสะดุ้ง เธอดิ้นสุดแรง
“อย่า! อย่านะ!”
แต่เอกภพก็รวบมือเธอไว้ทั้งสองข้าง รัดเชือกอย่างแน่นหนาแล้วจับเธอให้นั่งพิงกกเสาต้นใหญ่ตรงมุมห้อง มือของเธอถูกไพล่ไปด้านหลัง ตึงจนเจ็บ
“ปล่อยนะพี่เอก โอ้ย มันแน่นไป”
เสียงเธออ่อนลง กลายเป็นเสียงสะอื้น เธอเงยหน้ามองเขาทั้งน้ำตา ริมฝีปากสั่น เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ แววตาที่เขาเคยใช้มองเธอด้วยความอ่อนโยน วันนี้กลับเต็มไปด้วยเงาเข้มและความสับสน
เอกภพยืนมองเธออยู่นิ่ง ๆ เหมือนคนที่หมดเรี่ยวแรงทั้งกายและใจ เขาเงียบไปนาน ดวงตาแดงก่ำ มือยังสั่นอยู่เบา ๆ
ตอนนี้เอกภพดูน่ากลัว ไม่เหมือนกับคนที่เธอเคยรู้จักก่อนหน้านี้
ทิพย์ธาราเอาแต่ร้องไห้ ใจก็กลัวอีกใจก็รักเขาเข้าเต็มหัวใจ เธอไม่ได้อยากเห็นเขาอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่ดูเหมือนตอนนี้ใจของเอกภพจะมีปัญหาขึ้นมา เขาอาจจะแบกรับความกดดันมากเกินไป หากเขารู้สึกแย่มาก ๆ ก็อาจจะทำอะไรวู่วามโดยไม่ทันคิดไปบ้าง
ชายหนุ่มนั่งฟุบอยู่กับโต๊ะไม้ที่ผิวหน้าเป็นรอยไหม้เก่า ๆ ดวงตาเขาจับจ้องไปยังขดลวดทองแดงที่แผ่กระจายเต็มโต๊ะ บางเส้นถูกปลอกเปลือกออกจนเนื้อในแวววาวสว่างราวแสงแห่งการตัดสินใจ บนโต๊ะยังมีหัวแร้งร้อนวางอยู่ ปลายหัวแร้งยังคงมีควันกรุ่นจาง ๆ ลอยเอื่อยวนขึ้น สะท้อนแสงสลัวเป็นเงาทอดผ่านฝาผนัง
มือขวาของเขากำหัวแร้งแน่น แม้ไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด แต่ปลายนิ้วก็แน่นตึงจนข้อนิ้วขาวซีด แขนอีกข้างวางค้างนิ่งกับพนักพิงเก้าอี้ ท่าทีของเขาราวกับชายที่เฝ้าคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ในห้องไร้เวลา ใบหน้าของเขาดูแห้งกร้าน แววตาลอยคว้าง ไม่ได้มีแววของความพยายามอีกต่อไป หากแต่เป็นความว่างเปล่าของผู้ที่หมดสิ้นทางไป
ทิพย์ธารานั่งอยู่ที่มุมห้อง ถูกมัดข้อมือด้วยเชือกเก่าจากกระเป๋าเป้ เธอนั่งนิ่งอยู่กับพื้นไม้ ผมปรกหน้าข้างหนึ่ง เสื้อผ้าชุ่มเหงื่อจากการดิ้นรน มือเล็ก ๆ พยายามขยับไหวอย่างลอบเร้นใต้ผืนผ้าที่คลุมช่วงขา ใบหน้าเธอซีดลงเล็กน้อย แต่ดวงตากลับยังไม่ลดแสงวาววับของการต่อสู้
เสียงฝนยังไม่หยุด เสียงสายลมพัดผ่านรอยรั่วของหน้าต่างเสียดสีแผ่นไม้เป็นเสียงหวีดหวิว
“พี่เอก พอเถอะ” เสียงเธอเบา แต่สั่นสะท้านจนปลายเสียงแทบขาดหาย
เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ กล้ามเนื้อรอบดวงตากระตุกเบา ๆ เขาหันมามองเธอครู่หนึ่ง ดวงตาแดงกร่ำ
“พี่ไม่มีอะไรให้เธอได้เลย ธารา” เสียงของเขาเอื้อนเอ่ยช้า ๆ แหบพร่า ช่วงท้ายขาดหายไปราวกับคำพูดมันหนักจนดึงหายใจเขาออกไปด้วย
เขาเงียบชั่วอึดใจ ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หน้าผากช้า ๆ ลูบขึ้นไปจนเส้นผมกระเซิง ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ คล้ายหัวเราะเยาะตนเอง
“เงินพี่ก็ไม่มี ขายรถก็ได้ไม่ถึงห้าหมื่น พี่จะเอาอะไรไปพูดกับแม่เธอได้”
เธอกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ ดวงตาสั่นระริก
“ไม่เอาแบบนี้ พี่ไม่ต้องให้ฉันอะไรเลย แค่พี่กลับมาเป็นเหมือนเดิม ก็พอแล้ว” เสียงของเธอเบาเหมือนจะหายไปกับเสียงฝน แต่หนักแน่นพอให้เขาหยุดมือที่กำสายไฟแน่น
เขาถอนหายใจครั้งหนึ่ง เสียงลมหายใจสะท้อนฝาผนังอย่างเหนื่อยอ่อน
“ถึงตอนนี้พี่จะมีงาน แต่ก็ไม่มีเงินมากพอ รถก็ขายไปแล้ว ยังไม่พออีก เธอรู้ไหม พี่รู้สึกแย่แค่ไหนที่ไม่สามารถดูแลเธอได้อย่างที่แม่พูดจริง ๆ”
ทิพย์ธาราเอียงหน้ามองเขา มือยังคงพยายามดึงเชือกออกจากข้อมืออย่างเงียบงัน
“ไม่พี่ แม่เค้าไม่ได้อยู่กับเราสักหน่อย มีแค่เราสองคนที่รู้ ว่าเรามีอะไรกันอยู่บ้าง”
เธอลองขยับลำตัวเล็กน้อย พยายามเบี่ยงข้อศอกให้พ้นจากปมเชือก แต่เขากลับขยับถอยอย่างระแวดระวัง สายไฟในมือข้างหนึ่งห้อยลงเหมือนงูรอเวลาตวัด
“ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้วธารา พี่พาเธอหนีออกมา พี่จะยังเป็นคนที่ดีในสายตาแม่เธอได้อีกหรอ”
“ถึงพี่เก็บเงินครบในอีกสิบปียี่สิบปี”
“แม่เธอก็ไม่ไว้หน้าพี่อยู่แล้ว!” น้ำเสียงของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่ความเหนื่อย แต่เป็นความว่างเปล่า ความท้อที่ไหลออกจากคำพูดทีละหยด ทีละคำ
ทิพย์ธารานิ่ง ดวงตาเริ่มขุ่นเหมือนน้ำที่ถูกรบกวนด้วยฝุ่นตะกอน
“......”
“งั้นพี่จะจบมันเอง...”
น้ำเสียงนั้นไม่ดัง ไม่เร่ง แต่เฉียบขาด
เอกภพลุกพรึ่บขึ้นโดยไร้การเตือน มือเขาคว้าแขนเธอไว้ข้างหนึ่งทันที ชั่วพริบตา เขาเอาสายไฟอีกเส้นที่เตรียมไว้พันรอบร่างเธออย่างแน่นหนา
ฟึ่บ!
ทองแดงเย็นเฉียบเสียดผิวเนื้อ เส้นสายพันจากอกเธอไปยังแขนอีกข้าง
จากนั้นเขาก็หยิบอีกเส้นขึ้น พันรอบตัวเองด้วยท่าทีรีบเร่ง
เสียงหายใจของเธอหอบชัดจนฝนด้านนอกแทบกลบไม่มิด เธอพยายามแกะ ม้วน คลี่ กัดแม้กระทั่งสายไฟที่ตึงแน่นบนข้อมือ
“พี่เอก อย่าทำแบบนี้ ”
เขาไม่ตอบ ขยับเข้าใกล้เต้าเสียบปลั๊กที่อยู่มุมห้อง ปลายนิ้วเขาสั่นเล็กน้อย ขณะที่หัวปลั๊กไฟขยับใกล้รูเสียบทีละน้อย ทีละเซนติเมตร
เขาหันหน้ากลับมา แววตาแดงก่ำ มือยังสั่นระริก ปลายสายไฟในมือชี้อยู่ตรงหน้าตัวเอง
“เราไปพร้อมกันแบบนี้แหละ ดีแล้ว”
ทิพย์ธาราเบิกตากว้าง หายใจเฮือกแรงเหมือนคนจมน้ำ มือยังคงดึงสายไฟพันแน่นออกจากข้อมือ แต่แรงเธอมีไม่มากพออีกแล้ว เธอกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดซึม
“พี่เอก!! หยุด!! อย่าทำแบบนี้!!”