“พี่เอก!! หยุด!! อย่าทำแบบนี้!!” เสียงเธอแหลมสูง ตะโกนสุดเสียง คล้ายจะตัดอากาศหนักอึ้งในห้องทึบ ๆ ให้แตกกระจาย
“ธารานั่นแหละหยุด! มันไม่มีทางอื่นแล้ว!” เสียงเขาแข็งกระด้าง ดุดันกว่าที่เคย น้ำเสียงของคนที่แบกอะไรบางอย่างเอาไว้เต็มอก
ทิพย์ธาราขยับตัวแรง ๆ ใช้ทั้งไหล่ สะโพก ข้อมือ ข้อเท้า หมุนสะบัดไปทุกทิศ ร่างเธอเบา แต่ดิ้นรนเหมือนคนถูกไฟคลอก
“ธาราหยุด!! อย่าดิ้น!!!”
“ไม่พี่… ฉันตายไม่ได้!!!” เธอกัดฟันพูด เสียงแทบขาดห้วง แต่เต็มไปด้วยแรงฮึดสุดท้าย
มือเล็ก ๆ ของเธอผลักเชือกสายไฟที่รัดแน่นออกจนหลุด เสียงดัง พรึบ! ก่อนร่างจะร่วงพับลงกับพื้นดินแข็ง ๆ ของห้องพักแคบ ๆ
ตุบ!
เชือกและสายไฟพวกนั้นกลืนกินพลังแทบทั้งหมดของทิพย์ธาราไป อีกทั้งน้ำตาของเธอมันก็ยังทำให้ร่างกายหนัก และอ่อนแรงสิ้นดี เธอพยายามยันตัวขึ้น มือหนึ่งสั่น มือหนึ่งวางทาบพื้น ริมฝีปากเม้มแน่น
แต่ยังไม่ทันจะยืนได้ดี แขนข้างหนึ่งก็ถูกรั้งไว้แน่น
“อ๊ะ… อย่า!”
เอกภพคว้าข้อมือเธอไว้เต็มแรง นิ้วใหญ่ ๆ ที่เคยลูบผมเธออย่างอ่อนโยน บัดนี้กำแน่นจนผิวตรงข้อมือแดงจัด เธอเบี่ยงตัวพยายามดึงมือกลับ แต่ยิ่งขืน เขาก็ยิ่งรั้งไว้เหมือนจมอยู่กับอะไรที่ลึกเกินกว่าจะถอนตัว
เมื่อเธอสะบัด เขาก็เหวี่ยงมือเธอออก แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ
พลั่ก!
เสียงแรงกระแทกดังขึ้นเมื่อร่างเธอล้มลงอีกครั้ง
ด้านข้างศีรษะกระแทกกับมุมเตียงเสียงเบา ถึงจะไม่ได้แรงมากแต่ก็ทำให้เธอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
ใบหน้าของเอกภพก็ตกใจไม่น้อย เพราะเขาไม่ได้ต้องการให้เธอเจ็บเลย เขาต้องการให้ทุกอย่างจบลงง่ายที่สุด
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงพวงแก้มเล็กที่ซีดเผือด เธอไม่ได้เช็ด ไม่ได้สะอื้นด้วยซ้ำ แค่ปล่อยให้มันไหลไปตามเนินหน้า ไหลซึมลงปลายคาง เหมือนสายน้ำไม่มีวันหยุด
ทิพย์ธาราลุกอีกครั้ง เสียงหายใจหอบฟืดฟาด
“มีสิ มันยังมีทางอื่น” เสียงเธอแผ่วลง แต่หนักแน่น
เอกภพส่ายหน้าเงียบ ๆ แต่ดวงตากลับลุกวาบ
“พี่ไม่ให้ไป ถ้าเธอกลับไป ทุกอย่างก็จบจริง ๆ ธารา!”
“พี่เอก! พี่กำลังทำร้ายฉันนะ! พี่อยากเห็นฉันมีชีวิตแบบนี้เหรอ!?”
“ไม่หรอก...” เสียงเธอสั่น ก่อนพูดต่อ
“ตอนนี้พี่ไม่อยากให้ฉันมีชีวิตเลยมากกว่า”
เธอพูดด้วยเสียงเบาราวกับกระซิบ ทว่าคมกริบเหมือนมีดกรีดอก
เอกภพชะงักไปทันที เหมือนถูกรั้งลมหายใจไว้ตรงหน้าอก แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
และนั่นคือจังหวะที่ทิพย์ธารากระโจน ก้มตัวต่ำไหล่กระแทกเข้าเต็มลำตัวเขา ร่างเขาโงนถลาล้มกระแทกกล่องไม้เก่า ๆ ข้างผนัง
เสียงกระแทกดังสะท้านห้อง ก่อนเธอจะพุ่งไปที่บานประตู มือคว้าลูกบิดหมุนอย่างไม่ลังเล
“ธารา! อย่าไป! เธอจะทิ้งพี่จริง ๆ เหรอ!” เสียงเขาร้องไห้โฮออกมาเต็มเสียง
เธอหยุด หันหน้ากลับมา
น้ำตายังค้างอยู่ในดวงตา ริมฝีปากสั่นระริก
“ฉันไม่ได้ทิ้งพี่ พี่นั่นแหละที่กำลังทิ้งฉัน”
เธอสูดหายใจลึก ประโยคสุดท้ายเปล่งออกมาชัดถ้อยชัดคำ
“ฉันขอแค่พี่กลับมาเป็นเอกภพคนเดิม ไม่ใช่คนที่ยอมแพ้แบบนี้!!”
เสียงกริ๊กของลูกบิดประตูดังขึ้น บานไม้เปิดออก พร้อมลมเย็นที่ตีกลับเข้ามาในห้องราวกับซัดเธอออกไป
เธอก้าวออก วิ่งลงบันไดไม้ที่ฝืดฝืนทีละขั้น เหมือนแต่ละก้าวตอกลิ่มบางอย่างลงกลางอก
เสียงฝีเท้าเธอกระทบพื้นไม้เก่า
ข้างหลัง ไม่มีเสียงเขา ไม่มีแม้แต่เงาไล่ตาม มีเพียงความเงียบที่ตึงเครียดเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง
เธอวิ่งลงมาจากอพาร์ตเมนต์อย่างกับหนีไฟ หน้ากระแทกกับลม ผมยุ่งฟู ปลายผมติดแก้มเปียกชื้นทั้งเหงื่อ ทั้งน้ำตา หอบหายใจแรง ๆ ในความมืดที่มีเพียงแสงไฟฟ้าสีขุ่น
เธอหยุดยืนอยู่ข้างฟุตบาท มือแตะแผ่นอกตัวเองเบา ๆ
ลมหายใจยังไม่เข้าที่
“ไม่มีแม้แต่กระเป๋าสตางค์” เสียงเธอเบาเหมือนคุยกับตัวเอง
ไม่มีเงิน ไม่มีเสื้อผ้าสำรอง ไม่มีของอะไรมา มีแค่หัวใจที่สั่นและร่างกายที่ล้า
ขาที่ยังสั่นอยู่เริ่มขยับอีกครั้ง ช้า ๆ หนัก ๆ
แต่เธอก็ก้าวไปเรื่อย ๆ เพราะเธอรู้ว่าอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้
เวลานี้เธอไม่ได้คิดว่าจะต้องไปหาแป้งร่ำที่อยู่ในกรุงเทพสักนิด เธอคิดถึงแต่หน้าคนที่น่าจะเป็นห่วงเธอมากที่สุดในตอนนี้ นั่นก็คือ แม่!
เช้ามืดวันถัดมา
สถานีหยุดรถไฟอุรุพงษ์ ใจกลางกรุงเทพมหานคร
สีเทาหม่นของท้องฟ้าปะทะกับหมอกจาง ๆ ที่ลอยเอื่อยอยู่เหนือรางเหล็ก เสียงล้อเหล็กเสียดสีกับรางจากขบวนที่วิ่งผ่านไปก่อนหน้านั้นทิ้งไว้เพียงกลิ่นสนิมบาง ๆ ในอากาศ กับลมเย็นราวเหมันต์ที่พัดเฉียงผ่านซอกเสาและซุ้มป้ายเก่า
ทิพย์ธารานั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กยาวมุมหนึ่งของสถานี เป็นเก้าอี้ตัวท้ายที่พิงกำแพงปูนหยาบที่ยังอุ่นจากแสงไฟสลัวเมื่อคืน
ร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ทำให้แผ่นหลังของเธอโค้งงออยู่ตลอดเวลาหัวไหล่ห่อลงเล็กน้อยตามแรงลม ริมฝีปากซีดเผือดขยับน้อย ๆ
เธอกระพริบตาไปทางแสงสีทองส้มที่เริ่มแทรกผ่านเส้นขอบฟ้าอย่างเชื่องช้า
ดวงตาเธอแทบไม่หลับ ใช่ ไม่ได้หลับเลยต่างหาก มีเพียงร่างที่นั่งนิ่งนิ่งอย่างนั้นกับลมหายใจช้า ๆ ที่เกือบไม่รู้ตัวว่าเธอยังอยู่
“โชคดีที่มีขบวนรถไฟฟรี” เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ขณะปรายตาไปยังป้ายกระดานไม้ที่แขวนเบี้ยวอยู่ข้างสถานี
เสียงของตัวเองในยามเช้าดังแผ่วจนแทบกลืนไปกับเสียงลมหายใจ หญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนหน้า ห่างออกไปไม่ถึงสองเก้าอี้หญิงผู้นั้นสวมเสื้อไหมพรมสีหม่น ผ้าพันคอลายจุดห่มรอบไหล่ ดูเหมือนจะนั่งอยู่ตรงนี้มาสักพักแล้ว
เธอเหลือบตามองมาทางทิพย์ธาราอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นด้วยเสียงแหบเบา
“ลูกมาคนเดียวเหรอจ๊ะ”
ทิพย์ธาราเงยหน้าช้า ๆ ตอบกลับด้วยการพยักหน้าเบา ๆ แทนคำพูด ราวกับไม่มีแรงจะเปล่งเสียง
หญิงชราหรี่ตามอง ริมฝีปากบาง ๆ คลี่ยิ้มจาง แล้วล้วงอะไรบางอย่างจากตะกร้าผ้าข้างตัว
“ระวังตัวนะ แม่เห็นหน้าน้องซีด ๆ เหมือนจะเป็นลมแน่ะ เอานี่ไปกินก่อนมั้ย”
ขนมปังห่อเล็ก ๆ ถูกยื่นมาตรงหน้าอย่างช้า ๆ ด้วยมือที่สั่นเล็กน้อยตามวัย ทิพย์ธาราเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ” เสียงเธอแผ่วเบา แต่ชัดเจนพอจะสั่นอยู่ในอากาศ
เธอรับขนมปังมาแนบอกไว้อย่างเงียบ ๆ นิ้วมือที่จับห่อกระดาษไว้เบา ๆ เย็นเฉียบแทบไม่รู้สึกถึงผิวขนมปัง
เธอค่อย ๆ แกะกระดาษออก กัดไปคำหนึ่ง คำแรกที่ใส่เข้าปากในรอบหลายชั่วโมง
ขนมปังธรรมดา ไม่ได้ร้อน ไม่ได้นุ่ม แต่กลับทำให้น้ำตาเธอรื้นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะรสชาติ แต่เพราะมันมาจากน้ำใจของคนแปลกหน้า ซึ่งบางครั้งก็อ่อนโยนกว่าคนที่เรารู้จักที่สุด
…
ราวแปดโมงเช้า
เสียงหวูดของรถไฟดังก้องลั่นมาก่อน ก่อนที่หัวรถจักรเก่าสีเลือดหมูจะแล่นเข้ามาเทียบชานชาลาอย่างช้า ๆ
ทิพย์ธารารีบลุกขึ้นยืน ดึงเสื้อยืดให้เข้าที่ สะบัดผมเบา ๆ ให้พ้นบ่าก่อนจะคว้าขนมปังก้อนเล็กไว้แน่น
เธอก้าวขึ้นขบวนตามหลังผู้โดยสารคนอื่นอย่างสงบ
ไม่มีเสียงเพลง
ไม่มีเสียงคนอำลา
มีเพียงเสียงล้อเหล็กที่บดผ่านราง กับเสียงฝีเท้าของตัวเองที่สะท้อนกับพื้นไม้เก่า
เธอเลือกที่นั่งริมหน้าต่างวางตัวลงอย่างระมัดระวัง หอบหายใจหนึ่งครั้งก่อนเอนหลังกับพนักพิงไม้แข็ง ๆ แล้วหันหน้าออกไปข้างนอก
รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ภาพตึกแถวที่เคยเห็นทุกวันกำลังเคลื่อนถอยหลังออกไปช้า ๆ
หน้าต่างมีไอน้ำเกาะอยู่บางจุด เธอใช้นิ้วชี้ข้างหนึ่งปาดมันออกเป็นทาง
“พี่เอก” เธอเรียกชื่อเขาในใจเบา ๆ
ริมฝีปากขยับแค่เพียงน้อยนิด แววตาไม่หวือหวา แต่มีบางอย่างที่ยังอยู่ตรงนั้น บางอย่างที่ยังไม่จางหายไปง่าย ๆ
“พี่ จะเป็นยังไงบ้างนะ”
เธอไม่คาดหวังจะได้คำตอบ แต่คำถามนั้นลอยอยู่ในหัว ราวกับมันสำคัญพอจะต้องมีอยู่เสมอ
น้ำตาคลอขึ้นอีกครั้ง เธอหลุบตาต่ำ กัดขนมปังอีกคำหนึ่งอย่างเงียบ ๆ
ไม่ใช่เพราะไม่รักเขา แต่เพราะรักมากจนไม่อยากเห็นเขาเจ็บปวด และยิ่งไม่อยากเห็นเขาทำลายตัวเองด้วยมือของเขาเอง
เธอกลับไป เพื่อรักษาเขา จากระยะไกล
กลับไป เพื่อยอมแพ้ให้กับแม่อย่างหมดรูป
แต่อย่างน้อย เธอก็ยังมีชีวิตอยู่
ทิพย์ธารายืนนิ่งอยู่หน้ารั้วบ้านไม้สองชั้นกลางทุ่ง ถนนลูกรังทอดยาวไปไกล ปลายทางของฝุ่นสีแดงคุ้นตาที่เคยติดปลายรองเท้านักเรียนเป็นประจำในทุกเช้า รั้วไม้เตี้ยที่ขึงลวดบาง ๆ ไว้หลายชั้น กรอบเกรอะไปด้วยตะไคร่น้ำสีเขียวอมดำ จุดหนึ่งขาดหลุดห้อยลงมาเหมือนมือของใครสักคนที่เหนื่อยล้า หญ้าขึ้นรกริมทางจนคลุมพื้นดินแทบมิด บางต้นสูงเลยหัวเข่า ลำต้นแข็งกระด้างอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
หญิงสาวยืนนิ่ง ตัวเอนน้อย ๆ ไปข้างหน้า มือหนึ่งยื่นออกไปจับสายลวดที่ตึงเปราะ ปลายนิ้วแตะสนิมแดงกรังที่กัดกินเนื้อเหล็กเป็นหย่อม ๆ แรงสั่นสะท้านแล่นขึ้นมาถึงข้อมือ ใจสั่นเพราะความเงียบที่รายล้อมด้วยสายลม
ไม่ใช่เพราะบ้านที่ทำให้เธอกลัว แต่เป็นเพราะคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้นต่างหาก
มือเธอยกขึ้นช้า ๆ กดสายลวดลง แล้วค่อย ๆ ดันรั้วไม้ให้แง้มออก เสียงเอี๊ยดเบา ๆ ดังขึ้น ราวกับเสียงบานประตูที่จำได้ว่าเธอเคยผลักเข้าออกอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เท้าเธอก้าวข้ามเข้าไปช้า ๆ ทีละข้าง เดินผ่านแถวกระถางแตก ๆ ที่ยังมีเศษต้นผักหวานแห้งคาอยู่ตรงขอบพื้นบ้าน เท้าเปล่าของเธอเหยียบดินจนเป็นรอย ส้นเท้าชุ่มเหงื่อของความกลัว เสียงฝีเท้าแทบไม่ดัง แต่เพียงพอที่จะปลุกความสนใจจากใครบางคนที่กำลังตำพริกอยู่ตรงครัวหลังบ้าน
แม่วารีหันขวับมาในชั่วขณะ แสงสะท้อนจากตาแม่วาบแปลบ ดวงหน้าเข้มที่เคยคุ้นดูซีดลงครู่หนึ่ง มือแม่ยังกำด้ามสากค้างไว้ กลิ่นพริกตำยังฟุ้งอยู่ในอากาศ
กึก!
แม่ลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว สากในมือตกลงกระทบพื้นซีเมนต์ข้างครกเสียงดังแปลบ พริกแดงปลิวกระจายไปตามพื้น พอ ๆ กับแววตาตื่นตกใจที่วูบไหวอยู่ในดวงตา...