ตอนที่ 19 ให้มันจบแค่นี้

1982 Words
“พี่เอก!! หยุด!! อย่าทำแบบนี้!!” เสียงเธอแหลมสูง ตะโกนสุดเสียง คล้ายจะตัดอากาศหนักอึ้งในห้องทึบ ๆ ให้แตกกระจาย “ธารานั่นแหละหยุด! มันไม่มีทางอื่นแล้ว!” เสียงเขาแข็งกระด้าง ดุดันกว่าที่เคย น้ำเสียงของคนที่แบกอะไรบางอย่างเอาไว้เต็มอก ทิพย์ธาราขยับตัวแรง ๆ ใช้ทั้งไหล่ สะโพก ข้อมือ ข้อเท้า หมุนสะบัดไปทุกทิศ ร่างเธอเบา แต่ดิ้นรนเหมือนคนถูกไฟคลอก “ธาราหยุด!! อย่าดิ้น!!!” “ไม่พี่… ฉันตายไม่ได้!!!” เธอกัดฟันพูด เสียงแทบขาดห้วง แต่เต็มไปด้วยแรงฮึดสุดท้าย มือเล็ก ๆ ของเธอผลักเชือกสายไฟที่รัดแน่นออกจนหลุด เสียงดัง พรึบ! ก่อนร่างจะร่วงพับลงกับพื้นดินแข็ง ๆ ของห้องพักแคบ ๆ ตุบ! เชือกและสายไฟพวกนั้นกลืนกินพลังแทบทั้งหมดของทิพย์ธาราไป อีกทั้งน้ำตาของเธอมันก็ยังทำให้ร่างกายหนัก และอ่อนแรงสิ้นดี เธอพยายามยันตัวขึ้น มือหนึ่งสั่น มือหนึ่งวางทาบพื้น ริมฝีปากเม้มแน่น แต่ยังไม่ทันจะยืนได้ดี แขนข้างหนึ่งก็ถูกรั้งไว้แน่น “อ๊ะ… อย่า!” เอกภพคว้าข้อมือเธอไว้เต็มแรง นิ้วใหญ่ ๆ ที่เคยลูบผมเธออย่างอ่อนโยน บัดนี้กำแน่นจนผิวตรงข้อมือแดงจัด เธอเบี่ยงตัวพยายามดึงมือกลับ แต่ยิ่งขืน เขาก็ยิ่งรั้งไว้เหมือนจมอยู่กับอะไรที่ลึกเกินกว่าจะถอนตัว เมื่อเธอสะบัด เขาก็เหวี่ยงมือเธอออก แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ พลั่ก! เสียงแรงกระแทกดังขึ้นเมื่อร่างเธอล้มลงอีกครั้ง ด้านข้างศีรษะกระแทกกับมุมเตียงเสียงเบา ถึงจะไม่ได้แรงมากแต่ก็ทำให้เธอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ใบหน้าของเอกภพก็ตกใจไม่น้อย เพราะเขาไม่ได้ต้องการให้เธอเจ็บเลย เขาต้องการให้ทุกอย่างจบลงง่ายที่สุด น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงพวงแก้มเล็กที่ซีดเผือด เธอไม่ได้เช็ด ไม่ได้สะอื้นด้วยซ้ำ แค่ปล่อยให้มันไหลไปตามเนินหน้า ไหลซึมลงปลายคาง เหมือนสายน้ำไม่มีวันหยุด ทิพย์ธาราลุกอีกครั้ง เสียงหายใจหอบฟืดฟาด “มีสิ มันยังมีทางอื่น” เสียงเธอแผ่วลง แต่หนักแน่น เอกภพส่ายหน้าเงียบ ๆ แต่ดวงตากลับลุกวาบ “พี่ไม่ให้ไป ถ้าเธอกลับไป ทุกอย่างก็จบจริง ๆ ธารา!” “พี่เอก! พี่กำลังทำร้ายฉันนะ! พี่อยากเห็นฉันมีชีวิตแบบนี้เหรอ!?” “ไม่หรอก...” เสียงเธอสั่น ก่อนพูดต่อ “ตอนนี้พี่ไม่อยากให้ฉันมีชีวิตเลยมากกว่า” เธอพูดด้วยเสียงเบาราวกับกระซิบ ทว่าคมกริบเหมือนมีดกรีดอก เอกภพชะงักไปทันที เหมือนถูกรั้งลมหายใจไว้ตรงหน้าอก แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น และนั่นคือจังหวะที่ทิพย์ธารากระโจน ก้มตัวต่ำไหล่กระแทกเข้าเต็มลำตัวเขา ร่างเขาโงนถลาล้มกระแทกกล่องไม้เก่า ๆ ข้างผนัง เสียงกระแทกดังสะท้านห้อง ก่อนเธอจะพุ่งไปที่บานประตู มือคว้าลูกบิดหมุนอย่างไม่ลังเล “ธารา! อย่าไป! เธอจะทิ้งพี่จริง ๆ เหรอ!” เสียงเขาร้องไห้โฮออกมาเต็มเสียง เธอหยุด หันหน้ากลับมา น้ำตายังค้างอยู่ในดวงตา ริมฝีปากสั่นระริก “ฉันไม่ได้ทิ้งพี่ พี่นั่นแหละที่กำลังทิ้งฉัน” เธอสูดหายใจลึก ประโยคสุดท้ายเปล่งออกมาชัดถ้อยชัดคำ “ฉันขอแค่พี่กลับมาเป็นเอกภพคนเดิม ไม่ใช่คนที่ยอมแพ้แบบนี้!!” เสียงกริ๊กของลูกบิดประตูดังขึ้น บานไม้เปิดออก พร้อมลมเย็นที่ตีกลับเข้ามาในห้องราวกับซัดเธอออกไป เธอก้าวออก วิ่งลงบันไดไม้ที่ฝืดฝืนทีละขั้น เหมือนแต่ละก้าวตอกลิ่มบางอย่างลงกลางอก เสียงฝีเท้าเธอกระทบพื้นไม้เก่า ข้างหลัง ไม่มีเสียงเขา ไม่มีแม้แต่เงาไล่ตาม มีเพียงความเงียบที่ตึงเครียดเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง เธอวิ่งลงมาจากอพาร์ตเมนต์อย่างกับหนีไฟ หน้ากระแทกกับลม ผมยุ่งฟู ปลายผมติดแก้มเปียกชื้นทั้งเหงื่อ ทั้งน้ำตา หอบหายใจแรง ๆ ในความมืดที่มีเพียงแสงไฟฟ้าสีขุ่น เธอหยุดยืนอยู่ข้างฟุตบาท มือแตะแผ่นอกตัวเองเบา ๆ ลมหายใจยังไม่เข้าที่ “ไม่มีแม้แต่กระเป๋าสตางค์” เสียงเธอเบาเหมือนคุยกับตัวเอง ไม่มีเงิน ไม่มีเสื้อผ้าสำรอง ไม่มีของอะไรมา มีแค่หัวใจที่สั่นและร่างกายที่ล้า ขาที่ยังสั่นอยู่เริ่มขยับอีกครั้ง ช้า ๆ หนัก ๆ แต่เธอก็ก้าวไปเรื่อย ๆ เพราะเธอรู้ว่าอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้ เวลานี้เธอไม่ได้คิดว่าจะต้องไปหาแป้งร่ำที่อยู่ในกรุงเทพสักนิด เธอคิดถึงแต่หน้าคนที่น่าจะเป็นห่วงเธอมากที่สุดในตอนนี้ นั่นก็คือ แม่! เช้ามืดวันถัดมา สถานีหยุดรถไฟอุรุพงษ์ ใจกลางกรุงเทพมหานคร สีเทาหม่นของท้องฟ้าปะทะกับหมอกจาง ๆ ที่ลอยเอื่อยอยู่เหนือรางเหล็ก เสียงล้อเหล็กเสียดสีกับรางจากขบวนที่วิ่งผ่านไปก่อนหน้านั้นทิ้งไว้เพียงกลิ่นสนิมบาง ๆ ในอากาศ กับลมเย็นราวเหมันต์ที่พัดเฉียงผ่านซอกเสาและซุ้มป้ายเก่า ทิพย์ธารานั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กยาวมุมหนึ่งของสถานี เป็นเก้าอี้ตัวท้ายที่พิงกำแพงปูนหยาบที่ยังอุ่นจากแสงไฟสลัวเมื่อคืน ร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ทำให้แผ่นหลังของเธอโค้งงออยู่ตลอดเวลาหัวไหล่ห่อลงเล็กน้อยตามแรงลม ริมฝีปากซีดเผือดขยับน้อย ๆ เธอกระพริบตาไปทางแสงสีทองส้มที่เริ่มแทรกผ่านเส้นขอบฟ้าอย่างเชื่องช้า ดวงตาเธอแทบไม่หลับ ใช่ ไม่ได้หลับเลยต่างหาก มีเพียงร่างที่นั่งนิ่งนิ่งอย่างนั้นกับลมหายใจช้า ๆ ที่เกือบไม่รู้ตัวว่าเธอยังอยู่ “โชคดีที่มีขบวนรถไฟฟรี” เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ขณะปรายตาไปยังป้ายกระดานไม้ที่แขวนเบี้ยวอยู่ข้างสถานี เสียงของตัวเองในยามเช้าดังแผ่วจนแทบกลืนไปกับเสียงลมหายใจ หญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนหน้า ห่างออกไปไม่ถึงสองเก้าอี้หญิงผู้นั้นสวมเสื้อไหมพรมสีหม่น ผ้าพันคอลายจุดห่มรอบไหล่ ดูเหมือนจะนั่งอยู่ตรงนี้มาสักพักแล้ว เธอเหลือบตามองมาทางทิพย์ธาราอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นด้วยเสียงแหบเบา “ลูกมาคนเดียวเหรอจ๊ะ” ทิพย์ธาราเงยหน้าช้า ๆ ตอบกลับด้วยการพยักหน้าเบา ๆ แทนคำพูด ราวกับไม่มีแรงจะเปล่งเสียง หญิงชราหรี่ตามอง ริมฝีปากบาง ๆ คลี่ยิ้มจาง แล้วล้วงอะไรบางอย่างจากตะกร้าผ้าข้างตัว “ระวังตัวนะ แม่เห็นหน้าน้องซีด ๆ เหมือนจะเป็นลมแน่ะ เอานี่ไปกินก่อนมั้ย” ขนมปังห่อเล็ก ๆ ถูกยื่นมาตรงหน้าอย่างช้า ๆ ด้วยมือที่สั่นเล็กน้อยตามวัย ทิพย์ธาราเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ” เสียงเธอแผ่วเบา แต่ชัดเจนพอจะสั่นอยู่ในอากาศ เธอรับขนมปังมาแนบอกไว้อย่างเงียบ ๆ นิ้วมือที่จับห่อกระดาษไว้เบา ๆ เย็นเฉียบแทบไม่รู้สึกถึงผิวขนมปัง เธอค่อย ๆ แกะกระดาษออก กัดไปคำหนึ่ง คำแรกที่ใส่เข้าปากในรอบหลายชั่วโมง ขนมปังธรรมดา ไม่ได้ร้อน ไม่ได้นุ่ม แต่กลับทำให้น้ำตาเธอรื้นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะรสชาติ แต่เพราะมันมาจากน้ำใจของคนแปลกหน้า ซึ่งบางครั้งก็อ่อนโยนกว่าคนที่เรารู้จักที่สุด … ราวแปดโมงเช้า เสียงหวูดของรถไฟดังก้องลั่นมาก่อน ก่อนที่หัวรถจักรเก่าสีเลือดหมูจะแล่นเข้ามาเทียบชานชาลาอย่างช้า ๆ ทิพย์ธารารีบลุกขึ้นยืน ดึงเสื้อยืดให้เข้าที่ สะบัดผมเบา ๆ ให้พ้นบ่าก่อนจะคว้าขนมปังก้อนเล็กไว้แน่น เธอก้าวขึ้นขบวนตามหลังผู้โดยสารคนอื่นอย่างสงบ ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเสียงคนอำลา มีเพียงเสียงล้อเหล็กที่บดผ่านราง กับเสียงฝีเท้าของตัวเองที่สะท้อนกับพื้นไม้เก่า เธอเลือกที่นั่งริมหน้าต่างวางตัวลงอย่างระมัดระวัง หอบหายใจหนึ่งครั้งก่อนเอนหลังกับพนักพิงไม้แข็ง ๆ แล้วหันหน้าออกไปข้างนอก รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ภาพตึกแถวที่เคยเห็นทุกวันกำลังเคลื่อนถอยหลังออกไปช้า ๆ หน้าต่างมีไอน้ำเกาะอยู่บางจุด เธอใช้นิ้วชี้ข้างหนึ่งปาดมันออกเป็นทาง “พี่เอก” เธอเรียกชื่อเขาในใจเบา ๆ ริมฝีปากขยับแค่เพียงน้อยนิด แววตาไม่หวือหวา แต่มีบางอย่างที่ยังอยู่ตรงนั้น บางอย่างที่ยังไม่จางหายไปง่าย ๆ “พี่ จะเป็นยังไงบ้างนะ” เธอไม่คาดหวังจะได้คำตอบ แต่คำถามนั้นลอยอยู่ในหัว ราวกับมันสำคัญพอจะต้องมีอยู่เสมอ น้ำตาคลอขึ้นอีกครั้ง เธอหลุบตาต่ำ กัดขนมปังอีกคำหนึ่งอย่างเงียบ ๆ ไม่ใช่เพราะไม่รักเขา แต่เพราะรักมากจนไม่อยากเห็นเขาเจ็บปวด และยิ่งไม่อยากเห็นเขาทำลายตัวเองด้วยมือของเขาเอง เธอกลับไป เพื่อรักษาเขา จากระยะไกล กลับไป เพื่อยอมแพ้ให้กับแม่อย่างหมดรูป แต่อย่างน้อย เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ ทิพย์ธารายืนนิ่งอยู่หน้ารั้วบ้านไม้สองชั้นกลางทุ่ง ถนนลูกรังทอดยาวไปไกล ปลายทางของฝุ่นสีแดงคุ้นตาที่เคยติดปลายรองเท้านักเรียนเป็นประจำในทุกเช้า รั้วไม้เตี้ยที่ขึงลวดบาง ๆ ไว้หลายชั้น กรอบเกรอะไปด้วยตะไคร่น้ำสีเขียวอมดำ จุดหนึ่งขาดหลุดห้อยลงมาเหมือนมือของใครสักคนที่เหนื่อยล้า หญ้าขึ้นรกริมทางจนคลุมพื้นดินแทบมิด บางต้นสูงเลยหัวเข่า ลำต้นแข็งกระด้างอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หญิงสาวยืนนิ่ง ตัวเอนน้อย ๆ ไปข้างหน้า มือหนึ่งยื่นออกไปจับสายลวดที่ตึงเปราะ ปลายนิ้วแตะสนิมแดงกรังที่กัดกินเนื้อเหล็กเป็นหย่อม ๆ แรงสั่นสะท้านแล่นขึ้นมาถึงข้อมือ ใจสั่นเพราะความเงียบที่รายล้อมด้วยสายลม ไม่ใช่เพราะบ้านที่ทำให้เธอกลัว แต่เป็นเพราะคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้นต่างหาก มือเธอยกขึ้นช้า ๆ กดสายลวดลง แล้วค่อย ๆ ดันรั้วไม้ให้แง้มออก เสียงเอี๊ยดเบา ๆ ดังขึ้น ราวกับเสียงบานประตูที่จำได้ว่าเธอเคยผลักเข้าออกอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เท้าเธอก้าวข้ามเข้าไปช้า ๆ ทีละข้าง เดินผ่านแถวกระถางแตก ๆ ที่ยังมีเศษต้นผักหวานแห้งคาอยู่ตรงขอบพื้นบ้าน เท้าเปล่าของเธอเหยียบดินจนเป็นรอย ส้นเท้าชุ่มเหงื่อของความกลัว เสียงฝีเท้าแทบไม่ดัง แต่เพียงพอที่จะปลุกความสนใจจากใครบางคนที่กำลังตำพริกอยู่ตรงครัวหลังบ้าน แม่วารีหันขวับมาในชั่วขณะ แสงสะท้อนจากตาแม่วาบแปลบ ดวงหน้าเข้มที่เคยคุ้นดูซีดลงครู่หนึ่ง มือแม่ยังกำด้ามสากค้างไว้ กลิ่นพริกตำยังฟุ้งอยู่ในอากาศ กึก! แม่ลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว สากในมือตกลงกระทบพื้นซีเมนต์ข้างครกเสียงดังแปลบ พริกแดงปลิวกระจายไปตามพื้น พอ ๆ กับแววตาตื่นตกใจที่วูบไหวอยู่ในดวงตา...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD