ร้านแหวนเล็ก ๆ ย่านทองหล่อ บรรยากาศสงบ มีเสียงเพลงคลอเบา ๆ ภายในร้านมีแหวนหลายแบบเรียงรายอยู่ในตู้กระจก เอกภพเดินเข้ามาช้า ๆ พร้อมกับวิไลที่ถือแก้วกาแฟในมือ
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะถึงวันนี้ของพี่แล้วจริง ๆ นะ?” วิไลรัตน์พูดด้วยน้ำเสียงแอบตื่นเต้นเบา ๆ พร้อมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ร้านที่เต็มไปด้วยแสงไฟอบอุ่น
เอกภพเหลือบตามองวิไลรัตน์ “พามาขนาดนี้ ยังจะไม่เชื่ออีกหรือไงล่ะ”
“โห่~ เปรียบเปรยน่ะพี่ เปรียบเปรย!” วิไลรัตน์รีบโต้กลับ พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างแกล้ง ๆ
“อ้าว ก็คิดว่าไม่เชื่อจริง ๆ” เขาทำหน้านิ่ง ก่อนจะแอบยิ้มบาง ๆ
วิไลรัตน์ยักไหล่พลางพูดต่อด้วยท่าทางยุกยิกไปมา “โอ๊ย... คิดแล้วฉันก็ตื่นเต้นเหมือนกันนะนี่”
เอกภพเลิกคิ้ว “เป็นอะไร”
“อยากแต่งงานน่ะสิ” เธอพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ แบบเขิน ๆ
“โว้ะ!” เขาอุทานเสียงเข้มเล็กน้อย
สักพักพนักงานหญิงในร้านเดินเข้ามายิ้มต้อนรับด้วยความสุภาพ “คุณลูกค้าสนใจแหวนหมั้นแบบไหนคะ? มีแบบที่ชอบไว้บ้างหรือยังคะ?”
เอกภพหันไปหยิบสมุดเล่มเล็กที่วางไว้บนโต๊ะก่อนหน้านี้ขึ้นมา เปิดไปยังหน้าหนึ่งอย่างระมัดระวัง “ผมอยากได้แหวนที่เรียบง่าย แต่ใส่ใจในรายละเอียดครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่มั่นใจ
วิไลรัตน์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ช่วยหยิบสมุดให้พนักงานดู พร้อมกับเลื่อนไปที่ภาพร่างแหวนที่เขาวาดไว้เอง “แบบนี้ค่ะ แบบที่พี่เขาชอบ”
พนักงานหญิงมองภาพร่างด้วยความตั้งใจ ก่อนจะเปิดกล่องกำมะหยี่สีดำเรียงกันสามกล่องบนเคาน์เตอร์ เธอค่อย ๆ เปิดกล่องหนึ่งทีละกล่อง
สายตาของเอกภพหยุดอยู่ที่แหวนขนาดพอดีวงหนึ่งที่ดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่มีดีเทลประณีตแบบแฝงความละเอียดอ่อน “อันนี้... มันเหมือนกับธาราเลยนะ ไม่น้อยไป ไม่มากไป ดูแล้วอบอุ่นในใจดี” เขาวางนิ้วแตะเบา ๆ ที่แหวนวงนั้น
“มันดูยังไงอะพี่?” วิไลรัตน์เอียงคอถาม หัวเราะเบา ๆ กับคำพูดแอบโรแมนติกของเขา
“หมดกันเลยความโรแมนติกกู นี่ก็มันมีลายเส้นอยู่ ยังดูเรียบหรูอยู่ไงล่ะ” เอกภพตอบด้วยน้ำเสียงล้อเล่น แต่สายตายังมองแหวนอย่างจริงจัง
“ใจคอพี่จะดักฉันไปทุกเรื่องเลยใช่ไหม?” วิไลรัตน์ตอบโต้ไปอย่างติดขัด
“อย่าเพิ่งตีกัน ช่วยพี่เลือกแหวนก่อนเถอะ” เอกภพแอบยิ้มอย่างนุ่มนวล
“อ๋อ ๆ ได้ ๆ” วิไลรัตน์ตอบกลับแบบซึน ๆ ทันที พร้อมกับกวาดสายตามองแหวนอื่น ๆ ที่พนักงานเปิดออกมาอีก
“ขอดูวงอื่นเพิ่มหน่อยได้ไหมครับ?” เอกภพพูดสุภาพ
“ได้ค่ะ สักครู่นะคะ” พนักงานรับคำ ก่อนจะหยิบกล่องออกมาอีกหลายกล่อง เปิดให้ดูทีละวงอย่างใจเย็น
วิไลรัตน์มองแหวนวงหนึ่งที่มีเพชรเม็ดโตระยิบระยับ “หูย! พี่เอก อันนี้ก็ดีนะ พี่ สวยมากเลย” เธอพูดพร้อมยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะนิด ๆ
“โอ้โห เพชรเม็ดเบ่อเร่อ ระดับเศรษฐียังกลุ้ม” เอกภพพูดพร้อมแซวไปด้วยน้ำเสียงติดตลก
“เอ้า พี่ไม่ใช่ป๋าเอกหรอ ว้าา…” วิไลรัตน์หัวเราะกวน ๆ
เอกภพค่อย ๆ หันไปมองวิไลรัตน์ “ยัยหวึ่ง”
“เอ้า ตาโย่ง” เธอตอบกลับไม่ยอมแพ้
“ฉันชม” เขาพูดขึ้นพร้อมทำสีหน้าจริงจัง
“ชมยังไงวะพี่?”
“ก็ชมคนติดตลก อารมณ์ดีตลอดเวลาแบบแก ว่ายัยหวึ่งไง”
“อ๋อ แล้วไป….. เอ๊ะ! ทำไมมันแปลก ๆ อะพี่?” วิไลรัตน์ทำหน้างงเล็กน้อย
“เอาวงนี้เลยครับ” เอกภพชี้ไปที่แหวนวงที่เล็งไว้ในตอนแรกอย่างมั่นใจ ก่อนจะหันไปสบตาวิไลรัตน์อีกครั้ง
“พามาถูกคนไหมเนี่ย” เขาพูดเบา ๆ เหมือนถามความเห็น
วิไลรัตน์รีบตอบกลับ “ถูก”
สักพักเอกภพและวิไลรัตน์เดินออกมาจากร้านเพชรย่านทองหล่อ เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังก้องในย่านที่เริ่มเงียบลงในช่วงบ่ายแก่ ๆ
เอกภพทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หยิบมือขึ้นมาปิดกระเป๋าเงิน “โล่งเลยกระเป๋า” เขาพูดขึ้นและหัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลาย
ปลายเดือนตุลาคม ปี 1993
แสงอาทิตย์ยามเย็นไหลเอื่อยผ่านเสาไฟริมถนน เสียงล้อจักรยานสามล้อถีบดังกึกกักประสานกับเสียงแม่ค้าร้องขายกล้วยทอดข้างทาง
ทิพย์ธารา สาวน้อยวัยยี่สิบ ที่ตอนนี้เรียนจบและย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ได้ปีกว่าแล้ว เธอก้าวลงจากรถเมล์สายหนึ่งที่จอดหน้าปากซอยเพื่อส่งกลับที่พักในตอนเย็น
วันนี้เอกภพบอกว่าจะเป็นวันแรกที่อาจไม่ได้ไปรับด้วยตัวเอง เขาขอโทษเธอล่วงหน้า และยังบอกอีกว่าวันอื่นจะชดเชยให้ ซึ่งเธอก็ยินดีในทุกสิ่งที่เขาบอก หรือทุกสิ่งที่เป็นเขาอยู่แล้ว
เธอสะพายกระเป๋าผ้าสีซีดไว้ข้างหนึ่ง มืออีกข้างหิ้วถุงผ้าใส่ผักจากตลาดใกล้ออฟฟิศ เหงื่อเปียกซึมกรอบเสื้อเชิ้ตสีครีมที่แม่วารีเคยเย็บให้เธอก่อนมากรุงเทพฯ
ระหว่างเดินเข้าปากซอย สายตากวาดไปทั่ว เหมือนกำลังมองหาความรู้สึกของ “บ้าน” ท่ามกลางตึกแถวและเสียงเมืองใหญ่ เมื่อถึงห้องเช่าชั้นสองบนอาคารไม้เก่า ทิพย์ธาราหยิบกุญแจจากกระเป๋ากระโปรง ไขประตูบานพับที่เริ่มมีเสียงเอี๊ยดอ๊าด
เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะวางถุงผ้าไว้ข้างตู้
“กลับมาแล้ว”
เธอชะโยกดูมองซ้ายมองขวาคล้ายกำลังมองหาใคร แต่ก็ไม่เจอ
“ออกจากบ้านก่อน แต่กลับทีหลัง แสดงว่าต้องแอบไปแวะที่ไหนแน่ ๆ เจ้าแป้งร่ำ”
บรรยากาศในห้องมีเพียงพัดลมตั้งพื้น กับไฟฉายวางอยู่หัวเตียง เสียงตามสายตอนเย็นเปิดเพลงเบา ๆ ลอยมาดังคลอเบา ๆ
ทิพย์ธารานั่งลงบนพื้นกระดานไม้ข้างหน้าต่าง เปิดบานพับให้ลมพัดเข้า เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนสายตาจะเหลือบเห็นซองจดหมายสีขาววางอยู่หน้าประตูด้านใน
“ของใครนะ” เธอพึมพำ แล้วหยิบมันขึ้นมา “หรือยัยแป้งจะฝากไว้”
กระดาษเนื้อหนา เขียนด้วยปากกาหมึกซึมลายมือไม่คุ้นตาเลย
“ถึง ทิพย์ธารา...”
“ไม่ใช่ลายมือแป้งร่ำนิ่” เธอพึมพำ
ทิพย์ธาราใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยเพราะเกิดความสงสัยขึ้นมา ก่อนจะค่อย ๆ เปิดจดหมายออกอ่าน แสงสุดท้ายของวันก็ตกกระทบบนใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังจะพบคำสารภาพจากใครบางคน
ถึง ทิพย์ธารา
ตั้งแต่วันที่ได้เจอเธอที่ร้านอาหารริมคลอง พี่ก็เฝ้ารอเจอหน้าเธอทุกเช้าทุกเย็น บางครั้งถึงกับได้ยินชื่อของเธอลอยมากับสายลมผ่านต้นปีบหน้าห้องเช่าหลังน้อย ในทุกวันเวลาที่ผ่านไป มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในใจพี่มากขึ้นทุกทีคือ พี่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ กับเธอ ไม่ใช่ในฐานะเพื่อนสนิท ไม่ใช่คนรู้จัก แต่ในฐานะ “คู่ชีวิต”
ธารา... พี่ไม่ใช่คนเก่ง ไม่ร่ำรวย และอาจไม่มีอะไรน่าภูมิใจเท่าผู้ชายคนอื่น ๆ ในเมืองนี้ แต่พี่มีใจดวงหนึ่ง ที่เก็บรักษาเธอไว้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และวันนี้พี่อยากเอาใจดวงนั้นไปวางตรงหน้าเธอให้เธอเป็นเจ้าของมันโดยสมบูรณ์ ถ้าเธอเชื่อมั่นในตัวพี่ เชื่อมั่นว่าเราจะอยู่ด้วยกันแล้วพูดถึง “บ้าน” ที่มีเราสองคนได้ พี่อยากขอให้เธอมาหาพี่
มาในเย็นวันอาทิตย์นี้ ที่ที่เราเจอกันครั้งแรก พี่จะรอ…และมีคำถามที่พี่เฝ้ารอจะได้ถามเธอจากหัวใจ
เอกภพ
มือของเธอสั่นเล็กน้อย หัวใจเต้นแรงจนได้ยินเสียงของมันชัดเจนในอกตัวเอง แม้เพียงลายมือไม่กี่บรรทัดแต่กลับทำให้ลมหายใจของเธอติดขัดในชั่วขณะหนึ่ง
เมื่ออ่านจบเธอยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ แต่ดวงตาเป็นประกายใบหน้าแดงระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากเม้มเข้าหากันราวกับจะกลั้นรอยยิ้มที่พุ่งขึ้นมาจากข้างใน
“เขา... จะขอเราแต่งงานจริง ๆ เหรอ...” เธอพึมพำเสียงแผ่ว แล้วหัวเราะเบา ๆ กับตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา
เธอหยิบจดหมายนั้นแนบอกแล้วเอนตัวลงกับฟูกบาง ๆ โดยยังไม่ละสายตาจากกระดาษแผ่นนั้น หัวใจยังเต้นระรัวเหมือนกลองในอก ขณะสมองของเธอเริ่มประมวลทุกอย่างอย่างรวดเร็ว
เธอควรใส่ชุดอะไร? ควรบอกแม่ว่ายังไง? จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ไหม?
ความตื่นเต้นพาเธอลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมาในห้องเล็ก ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนโลกกว้างขึ้นกว่าที่เคย
เธอยิ้มทั้งน้ำตาเพราะคำว่า “รอ” ของเขาในจดหมาย มันไม่ใช่แค่การรอคำตอบ แต่มันคือการรอ “เธอ” จริง ๆ
ผ่านไปสักครู่เสียงฝีเท้าเร่งรีบวิ่งขึ้นบันไดไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าด ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูอย่างคุ้นเคย
“ธารา! กลับมายัง โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้า”
แป้งร่ำโผล่หัวเข้ามาในห้อง มือหิ้วถุงกับข้าวมาสองสามถุง เสื้อยืดหลวม ๆ เปื้อนเหงื่อเล็กน้อยจากแดดยามเย็น
“ไปไหนมาอะ” ทิพย์ธาราเอ่ยถามแป้งร่ำพี่เพิ่งวิ่งเข้ามา
“กลับมาเปลี่ยนชุดแล้ว แต่เห็นว่าวันนี้เธอยังไม่กลับซะที ก็เลยไปซื้อกับข้าวรอ” แป้งร่ำเงียบไปชั่ววินาทีเดียว เธอสังเกตเห็นสีหน้าเพื่อนที่ผิดไปจากปกติ แล้วพูดต่อ
“เป็นไรอะธารา หน้าขึ้นสีเลย โดนแดดหรือโดนใจใครมา?”
“พี่เอกพาไปไหนมาหรอ ถึงได้กลับเย็น” เธอไม่รอช้า ถามต่อด้วยความอยากรู้
“บ้า โดนใจใครอะไรเล่า! วันนี้ฉันกลับมาเอง พี่เอกบอกฉันว่ามีธุระน่ะ” ทิพย์ธารานั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง ตอบด้วยแววตาเขิน ๆ
แป้งร่ำจึงหันมองตามตัว ตามมือเธอจึงเห็นว่า ทิพย์ธาราถือกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในมือ
“แล้วนั่นอะไรอะ”
ทิพย์ธาราหันมาหาเพื่อน มีรอยยิ้มบาง ๆ แต่แววตายังสั่น เธอยื่นจดหมายให้แป้งร่ำ โดยไม่ได้พูดอะไร
แป้งร่ำขมวดคิ้ว รับมาอ่าน เพียงแค่ประโยคแรก เธอก็ยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ
“...เอกภพ?”
ธาราพยักหน้าเบา ๆ แล้วเสียงเธอก็เปล่งออกมาช้า ๆ คล้ายกำลังฝัน
“เขาจะขอฉันแต่งงาน แป้ง เขารออยู่ที่ร้านที่เจอกันครั้งแรก วันอาทิตย์นี้”
แป้งร่ำเบิกตากว้างทันที ราวกับสมองต้องใช้เวลารีเฟรชข้อมูลที่ได้ยิน จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งข้างเพื่อนอย่างเงียบงัน
ทั้งห้องนิ่งสนิท มีเพียงเสียงพัดลมหมุนเอื่อย ๆ กับลมหายใจแผ่วเบาของสองสาว
“แล้ว เธอจะไปไหม?” เสียงของแป้งร่ำเบากว่าที่เคย คล้ายกลัวว่าหากพูดดังไป ความฝันตรงหน้าจะสลายหาย
ทิพย์ธารากำกระดาษในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย เธอสูดลมหายใจลึก แล้วพยักหน้า
“ฉันไม่รู้ว่า มันเร็วไปไหม หรือถูกต้องแค่ไหน แต่หัวใจฉันมัน...อยากไป”
แป้งร่ำนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างช้า ๆ ดวงตาเริ่มวาวขึ้นเล็กน้อย
จากนั้นเธอยื่นมือมากุมมือเพื่อนแน่น ราวกับส่งแรงใจทั้งหมดที่มีให้
“ธารา ฉันดีใจจนอยากกรี๊ดเลยนะเนี่ย แต่กลัวเธอตกใจ”
“กรี๊ด...ไม่เสียแรงที่ฉันเชียร์คู่นี้มาตั้งแต่วันแรก” เธอทำเสียงกรี๊ดเล็กแหลมเบา ๆ แทนก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วซบหัวลงกับไหล่เพื่อน
“อยากให้ถึงวันอาทิตย์เดี๋ยวนี้เลย ใจฉันจะขาดแทน!”
ธาราหัวเราะทั้งน้ำตา “ใจเย็น ๆ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ชุดก็ยังไม่มี แม่วารีก็ยังไม่รู้ด้วย!” ธาราระบายลมหายใจ “โอ๊ย ถ้ารู้ขึ้นมานะ ฉันจะโดนเพ่งกะบาลมั้ย?”
แป้งร่ำดีดตัวขึ้นมานั่งทันที
“เอาน่า แม่วารีไม่ขนาดนั้นหรอก ตอนนี้แกโตแล้วนะ เขาไม่ฟาดแล้วมั้ง”
ทิพย์ธาราหันขวับไปหาเพื่อน ตาโต “จำตอนเรียนไม่ได้หรอแป้งร่ำ ฉันเนี่ยนะรีบ ๆ ๆ กลับบ้านแทบตาย แต่ยังโดนฟาดขาลายเพราะลืมล้างจาน!”
แป้งร่ำระเบิดหัวเราะลั่น “โอ๊ย จำได้สิยะ! วันนั้นขาแดงรอยยาวเฟื้อย!”
“แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะอีกนะ!” ธาราเขกหัวเพื่อนเบา ๆ แต่ก็หัวเราะตามออกมา
แป้งร่ำยิ้มขำก่อนจะพยักหน้า “แต่เอาจริงนะ ถ้าแม่วารีจะฟาด ก็ให้ฟาดด้วยความปลื้มใจเถอะ เพราะลูกสาวจะได้แต่งกับผู้ชายที่ดีสุดในโลกขนาดนี้!”
“แล้วถ้าเขาคุกเข่าขอแต่งงานล่ะ? แกจะพูดยังไง!?” แป้งร่ำถามต่อแบบไม่รอจังหวะ พร้อมกับทำท่าตื่นเต้น
ธาราทำตาโต “ไม่รู้ดิ! พูดไม่ออกแน่ ๆ เลยอะ!”
“โอ๊ย ตายล่ะ ถ้าพูดไม่ออกเดี๋ยวฉันแอบซ่อนอยู่โต๊ะข้าง ๆ แล้วตะโกนแทนให้!”
เธอทำเสียงเข้ม “รับไปเลยลูกกกกก! แต่ง ๆ ไปเถอะ!”
“งั้น ไม่ต้องไปเลย!”
“แหงล่ะ ที่จริงก็ไม่อยากเป็น ก ข ค หรอก!”