ตอนที่ 10 จากใจ...ถึงเธอ

2280 Words
ร้านแหวนเล็ก ๆ ย่านทองหล่อ บรรยากาศสงบ มีเสียงเพลงคลอเบา ๆ ภายในร้านมีแหวนหลายแบบเรียงรายอยู่ในตู้กระจก เอกภพเดินเข้ามาช้า ๆ พร้อมกับวิไลที่ถือแก้วกาแฟในมือ “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะถึงวันนี้ของพี่แล้วจริง ๆ นะ?” วิไลรัตน์พูดด้วยน้ำเสียงแอบตื่นเต้นเบา ๆ พร้อมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ร้านที่เต็มไปด้วยแสงไฟอบอุ่น เอกภพเหลือบตามองวิไลรัตน์ “พามาขนาดนี้ ยังจะไม่เชื่ออีกหรือไงล่ะ” “โห่~ เปรียบเปรยน่ะพี่ เปรียบเปรย!” วิไลรัตน์รีบโต้กลับ พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างแกล้ง ๆ “อ้าว ก็คิดว่าไม่เชื่อจริง ๆ” เขาทำหน้านิ่ง ก่อนจะแอบยิ้มบาง ๆ วิไลรัตน์ยักไหล่พลางพูดต่อด้วยท่าทางยุกยิกไปมา “โอ๊ย... คิดแล้วฉันก็ตื่นเต้นเหมือนกันนะนี่” เอกภพเลิกคิ้ว “เป็นอะไร” “อยากแต่งงานน่ะสิ” เธอพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ แบบเขิน ๆ “โว้ะ!” เขาอุทานเสียงเข้มเล็กน้อย สักพักพนักงานหญิงในร้านเดินเข้ามายิ้มต้อนรับด้วยความสุภาพ “คุณลูกค้าสนใจแหวนหมั้นแบบไหนคะ? มีแบบที่ชอบไว้บ้างหรือยังคะ?” เอกภพหันไปหยิบสมุดเล่มเล็กที่วางไว้บนโต๊ะก่อนหน้านี้ขึ้นมา เปิดไปยังหน้าหนึ่งอย่างระมัดระวัง “ผมอยากได้แหวนที่เรียบง่าย แต่ใส่ใจในรายละเอียดครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่มั่นใจ วิไลรัตน์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ช่วยหยิบสมุดให้พนักงานดู พร้อมกับเลื่อนไปที่ภาพร่างแหวนที่เขาวาดไว้เอง “แบบนี้ค่ะ แบบที่พี่เขาชอบ” พนักงานหญิงมองภาพร่างด้วยความตั้งใจ ก่อนจะเปิดกล่องกำมะหยี่สีดำเรียงกันสามกล่องบนเคาน์เตอร์ เธอค่อย ๆ เปิดกล่องหนึ่งทีละกล่อง สายตาของเอกภพหยุดอยู่ที่แหวนขนาดพอดีวงหนึ่งที่ดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่มีดีเทลประณีตแบบแฝงความละเอียดอ่อน “อันนี้... มันเหมือนกับธาราเลยนะ ไม่น้อยไป ไม่มากไป ดูแล้วอบอุ่นในใจดี” เขาวางนิ้วแตะเบา ๆ ที่แหวนวงนั้น “มันดูยังไงอะพี่?” วิไลรัตน์เอียงคอถาม หัวเราะเบา ๆ กับคำพูดแอบโรแมนติกของเขา “หมดกันเลยความโรแมนติกกู นี่ก็มันมีลายเส้นอยู่ ยังดูเรียบหรูอยู่ไงล่ะ” เอกภพตอบด้วยน้ำเสียงล้อเล่น แต่สายตายังมองแหวนอย่างจริงจัง “ใจคอพี่จะดักฉันไปทุกเรื่องเลยใช่ไหม?” วิไลรัตน์ตอบโต้ไปอย่างติดขัด “อย่าเพิ่งตีกัน ช่วยพี่เลือกแหวนก่อนเถอะ” เอกภพแอบยิ้มอย่างนุ่มนวล “อ๋อ ๆ ได้ ๆ” วิไลรัตน์ตอบกลับแบบซึน ๆ ทันที พร้อมกับกวาดสายตามองแหวนอื่น ๆ ที่พนักงานเปิดออกมาอีก “ขอดูวงอื่นเพิ่มหน่อยได้ไหมครับ?” เอกภพพูดสุภาพ “ได้ค่ะ สักครู่นะคะ” พนักงานรับคำ ก่อนจะหยิบกล่องออกมาอีกหลายกล่อง เปิดให้ดูทีละวงอย่างใจเย็น วิไลรัตน์มองแหวนวงหนึ่งที่มีเพชรเม็ดโตระยิบระยับ “หูย! พี่เอก อันนี้ก็ดีนะ พี่ สวยมากเลย” เธอพูดพร้อมยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะนิด ๆ “โอ้โห เพชรเม็ดเบ่อเร่อ ระดับเศรษฐียังกลุ้ม” เอกภพพูดพร้อมแซวไปด้วยน้ำเสียงติดตลก “เอ้า พี่ไม่ใช่ป๋าเอกหรอ ว้าา…” วิไลรัตน์หัวเราะกวน ๆ เอกภพค่อย ๆ หันไปมองวิไลรัตน์ “ยัยหวึ่ง” “เอ้า ตาโย่ง” เธอตอบกลับไม่ยอมแพ้ “ฉันชม” เขาพูดขึ้นพร้อมทำสีหน้าจริงจัง “ชมยังไงวะพี่?” “ก็ชมคนติดตลก อารมณ์ดีตลอดเวลาแบบแก ว่ายัยหวึ่งไง” “อ๋อ แล้วไป….. เอ๊ะ! ทำไมมันแปลก ๆ อะพี่?” วิไลรัตน์ทำหน้างงเล็กน้อย “เอาวงนี้เลยครับ” เอกภพชี้ไปที่แหวนวงที่เล็งไว้ในตอนแรกอย่างมั่นใจ ก่อนจะหันไปสบตาวิไลรัตน์อีกครั้ง “พามาถูกคนไหมเนี่ย” เขาพูดเบา ๆ เหมือนถามความเห็น วิไลรัตน์รีบตอบกลับ “ถูก” สักพักเอกภพและวิไลรัตน์เดินออกมาจากร้านเพชรย่านทองหล่อ เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังก้องในย่านที่เริ่มเงียบลงในช่วงบ่ายแก่ ๆ เอกภพทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หยิบมือขึ้นมาปิดกระเป๋าเงิน “โล่งเลยกระเป๋า” เขาพูดขึ้นและหัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลาย ปลายเดือนตุลาคม ปี 1993 แสงอาทิตย์ยามเย็นไหลเอื่อยผ่านเสาไฟริมถนน เสียงล้อจักรยานสามล้อถีบดังกึกกักประสานกับเสียงแม่ค้าร้องขายกล้วยทอดข้างทาง ทิพย์ธารา สาวน้อยวัยยี่สิบ ที่ตอนนี้เรียนจบและย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ได้ปีกว่าแล้ว เธอก้าวลงจากรถเมล์สายหนึ่งที่จอดหน้าปากซอยเพื่อส่งกลับที่พักในตอนเย็น วันนี้เอกภพบอกว่าจะเป็นวันแรกที่อาจไม่ได้ไปรับด้วยตัวเอง เขาขอโทษเธอล่วงหน้า และยังบอกอีกว่าวันอื่นจะชดเชยให้ ซึ่งเธอก็ยินดีในทุกสิ่งที่เขาบอก หรือทุกสิ่งที่เป็นเขาอยู่แล้ว เธอสะพายกระเป๋าผ้าสีซีดไว้ข้างหนึ่ง มืออีกข้างหิ้วถุงผ้าใส่ผักจากตลาดใกล้ออฟฟิศ เหงื่อเปียกซึมกรอบเสื้อเชิ้ตสีครีมที่แม่วารีเคยเย็บให้เธอก่อนมากรุงเทพฯ ระหว่างเดินเข้าปากซอย สายตากวาดไปทั่ว เหมือนกำลังมองหาความรู้สึกของ “บ้าน” ท่ามกลางตึกแถวและเสียงเมืองใหญ่ เมื่อถึงห้องเช่าชั้นสองบนอาคารไม้เก่า ทิพย์ธาราหยิบกุญแจจากกระเป๋ากระโปรง ไขประตูบานพับที่เริ่มมีเสียงเอี๊ยดอ๊าด เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะวางถุงผ้าไว้ข้างตู้ “กลับมาแล้ว” เธอชะโยกดูมองซ้ายมองขวาคล้ายกำลังมองหาใคร แต่ก็ไม่เจอ “ออกจากบ้านก่อน แต่กลับทีหลัง แสดงว่าต้องแอบไปแวะที่ไหนแน่ ๆ เจ้าแป้งร่ำ” บรรยากาศในห้องมีเพียงพัดลมตั้งพื้น กับไฟฉายวางอยู่หัวเตียง เสียงตามสายตอนเย็นเปิดเพลงเบา ๆ ลอยมาดังคลอเบา ๆ ทิพย์ธารานั่งลงบนพื้นกระดานไม้ข้างหน้าต่าง เปิดบานพับให้ลมพัดเข้า เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนสายตาจะเหลือบเห็นซองจดหมายสีขาววางอยู่หน้าประตูด้านใน “ของใครนะ” เธอพึมพำ แล้วหยิบมันขึ้นมา “หรือยัยแป้งจะฝากไว้” กระดาษเนื้อหนา เขียนด้วยปากกาหมึกซึมลายมือไม่คุ้นตาเลย “ถึง ทิพย์ธารา...” “ไม่ใช่ลายมือแป้งร่ำนิ่” เธอพึมพำ ทิพย์ธาราใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยเพราะเกิดความสงสัยขึ้นมา ก่อนจะค่อย ๆ เปิดจดหมายออกอ่าน แสงสุดท้ายของวันก็ตกกระทบบนใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังจะพบคำสารภาพจากใครบางคน ถึง ทิพย์ธารา ตั้งแต่วันที่ได้เจอเธอที่ร้านอาหารริมคลอง พี่ก็เฝ้ารอเจอหน้าเธอทุกเช้าทุกเย็น บางครั้งถึงกับได้ยินชื่อของเธอลอยมากับสายลมผ่านต้นปีบหน้าห้องเช่าหลังน้อย ในทุกวันเวลาที่ผ่านไป มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในใจพี่มากขึ้นทุกทีคือ พี่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ กับเธอ ไม่ใช่ในฐานะเพื่อนสนิท ไม่ใช่คนรู้จัก แต่ในฐานะ “คู่ชีวิต” ธารา... พี่ไม่ใช่คนเก่ง ไม่ร่ำรวย และอาจไม่มีอะไรน่าภูมิใจเท่าผู้ชายคนอื่น ๆ ในเมืองนี้ แต่พี่มีใจดวงหนึ่ง ที่เก็บรักษาเธอไว้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และวันนี้พี่อยากเอาใจดวงนั้นไปวางตรงหน้าเธอให้เธอเป็นเจ้าของมันโดยสมบูรณ์ ถ้าเธอเชื่อมั่นในตัวพี่ เชื่อมั่นว่าเราจะอยู่ด้วยกันแล้วพูดถึง “บ้าน” ที่มีเราสองคนได้ พี่อยากขอให้เธอมาหาพี่ มาในเย็นวันอาทิตย์นี้ ที่ที่เราเจอกันครั้งแรก พี่จะรอ…และมีคำถามที่พี่เฝ้ารอจะได้ถามเธอจากหัวใจ เอกภพ มือของเธอสั่นเล็กน้อย หัวใจเต้นแรงจนได้ยินเสียงของมันชัดเจนในอกตัวเอง แม้เพียงลายมือไม่กี่บรรทัดแต่กลับทำให้ลมหายใจของเธอติดขัดในชั่วขณะหนึ่ง เมื่ออ่านจบเธอยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ แต่ดวงตาเป็นประกายใบหน้าแดงระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากเม้มเข้าหากันราวกับจะกลั้นรอยยิ้มที่พุ่งขึ้นมาจากข้างใน “เขา... จะขอเราแต่งงานจริง ๆ เหรอ...” เธอพึมพำเสียงแผ่ว แล้วหัวเราะเบา ๆ กับตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา เธอหยิบจดหมายนั้นแนบอกแล้วเอนตัวลงกับฟูกบาง ๆ โดยยังไม่ละสายตาจากกระดาษแผ่นนั้น หัวใจยังเต้นระรัวเหมือนกลองในอก ขณะสมองของเธอเริ่มประมวลทุกอย่างอย่างรวดเร็ว เธอควรใส่ชุดอะไร? ควรบอกแม่ว่ายังไง? จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ไหม? ความตื่นเต้นพาเธอลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมาในห้องเล็ก ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนโลกกว้างขึ้นกว่าที่เคย เธอยิ้มทั้งน้ำตาเพราะคำว่า “รอ” ของเขาในจดหมาย มันไม่ใช่แค่การรอคำตอบ แต่มันคือการรอ “เธอ” จริง ๆ ผ่านไปสักครู่เสียงฝีเท้าเร่งรีบวิ่งขึ้นบันไดไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าด ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูอย่างคุ้นเคย “ธารา! กลับมายัง โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้า” แป้งร่ำโผล่หัวเข้ามาในห้อง มือหิ้วถุงกับข้าวมาสองสามถุง เสื้อยืดหลวม ๆ เปื้อนเหงื่อเล็กน้อยจากแดดยามเย็น “ไปไหนมาอะ” ทิพย์ธาราเอ่ยถามแป้งร่ำพี่เพิ่งวิ่งเข้ามา “กลับมาเปลี่ยนชุดแล้ว แต่เห็นว่าวันนี้เธอยังไม่กลับซะที ก็เลยไปซื้อกับข้าวรอ” แป้งร่ำเงียบไปชั่ววินาทีเดียว เธอสังเกตเห็นสีหน้าเพื่อนที่ผิดไปจากปกติ แล้วพูดต่อ “เป็นไรอะธารา หน้าขึ้นสีเลย โดนแดดหรือโดนใจใครมา?” “พี่เอกพาไปไหนมาหรอ ถึงได้กลับเย็น” เธอไม่รอช้า ถามต่อด้วยความอยากรู้ “บ้า โดนใจใครอะไรเล่า! วันนี้ฉันกลับมาเอง พี่เอกบอกฉันว่ามีธุระน่ะ” ทิพย์ธารานั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง ตอบด้วยแววตาเขิน ๆ แป้งร่ำจึงหันมองตามตัว ตามมือเธอจึงเห็นว่า ทิพย์ธาราถือกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในมือ “แล้วนั่นอะไรอะ” ทิพย์ธาราหันมาหาเพื่อน มีรอยยิ้มบาง ๆ แต่แววตายังสั่น เธอยื่นจดหมายให้แป้งร่ำ โดยไม่ได้พูดอะไร แป้งร่ำขมวดคิ้ว รับมาอ่าน เพียงแค่ประโยคแรก เธอก็ยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ “...เอกภพ?” ธาราพยักหน้าเบา ๆ แล้วเสียงเธอก็เปล่งออกมาช้า ๆ คล้ายกำลังฝัน “เขาจะขอฉันแต่งงาน แป้ง เขารออยู่ที่ร้านที่เจอกันครั้งแรก วันอาทิตย์นี้” แป้งร่ำเบิกตากว้างทันที ราวกับสมองต้องใช้เวลารีเฟรชข้อมูลที่ได้ยิน จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งข้างเพื่อนอย่างเงียบงัน ทั้งห้องนิ่งสนิท มีเพียงเสียงพัดลมหมุนเอื่อย ๆ กับลมหายใจแผ่วเบาของสองสาว “แล้ว เธอจะไปไหม?” เสียงของแป้งร่ำเบากว่าที่เคย คล้ายกลัวว่าหากพูดดังไป ความฝันตรงหน้าจะสลายหาย ทิพย์ธารากำกระดาษในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย เธอสูดลมหายใจลึก แล้วพยักหน้า “ฉันไม่รู้ว่า มันเร็วไปไหม หรือถูกต้องแค่ไหน แต่หัวใจฉันมัน...อยากไป” แป้งร่ำนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างช้า ๆ ดวงตาเริ่มวาวขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเธอยื่นมือมากุมมือเพื่อนแน่น ราวกับส่งแรงใจทั้งหมดที่มีให้ “ธารา ฉันดีใจจนอยากกรี๊ดเลยนะเนี่ย แต่กลัวเธอตกใจ” “กรี๊ด...ไม่เสียแรงที่ฉันเชียร์คู่นี้มาตั้งแต่วันแรก” เธอทำเสียงกรี๊ดเล็กแหลมเบา ๆ แทนก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วซบหัวลงกับไหล่เพื่อน “อยากให้ถึงวันอาทิตย์เดี๋ยวนี้เลย ใจฉันจะขาดแทน!” ธาราหัวเราะทั้งน้ำตา “ใจเย็น ๆ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ชุดก็ยังไม่มี แม่วารีก็ยังไม่รู้ด้วย!” ธาราระบายลมหายใจ “โอ๊ย ถ้ารู้ขึ้นมานะ ฉันจะโดนเพ่งกะบาลมั้ย?” แป้งร่ำดีดตัวขึ้นมานั่งทันที “เอาน่า แม่วารีไม่ขนาดนั้นหรอก ตอนนี้แกโตแล้วนะ เขาไม่ฟาดแล้วมั้ง” ทิพย์ธาราหันขวับไปหาเพื่อน ตาโต “จำตอนเรียนไม่ได้หรอแป้งร่ำ ฉันเนี่ยนะรีบ ๆ ๆ กลับบ้านแทบตาย แต่ยังโดนฟาดขาลายเพราะลืมล้างจาน!” แป้งร่ำระเบิดหัวเราะลั่น “โอ๊ย จำได้สิยะ! วันนั้นขาแดงรอยยาวเฟื้อย!” “แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะอีกนะ!” ธาราเขกหัวเพื่อนเบา ๆ แต่ก็หัวเราะตามออกมา แป้งร่ำยิ้มขำก่อนจะพยักหน้า “แต่เอาจริงนะ ถ้าแม่วารีจะฟาด ก็ให้ฟาดด้วยความปลื้มใจเถอะ เพราะลูกสาวจะได้แต่งกับผู้ชายที่ดีสุดในโลกขนาดนี้!” “แล้วถ้าเขาคุกเข่าขอแต่งงานล่ะ? แกจะพูดยังไง!?” แป้งร่ำถามต่อแบบไม่รอจังหวะ พร้อมกับทำท่าตื่นเต้น ธาราทำตาโต “ไม่รู้ดิ! พูดไม่ออกแน่ ๆ เลยอะ!” “โอ๊ย ตายล่ะ ถ้าพูดไม่ออกเดี๋ยวฉันแอบซ่อนอยู่โต๊ะข้าง ๆ แล้วตะโกนแทนให้!” เธอทำเสียงเข้ม “รับไปเลยลูกกกกก! แต่ง ๆ ไปเถอะ!” “งั้น ไม่ต้องไปเลย!” “แหงล่ะ ที่จริงก็ไม่อยากเป็น ก ข ค หรอก!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD