“ห้าหมื่นบาท เอ็งเอามาให้แม่เห็นก่อนว่าเอ็งสามารถทำได้จริง แล้วค่อยพาธาราไปอยู่กรุงเทพฯ”
“แม่!” ทิพย์ธาราที่กำลังจัดกระเป๋าอยู่ใกล้ ๆ เงยหน้าขึ้นทันที เสียงของเธอเบาแต่แฝงด้วยความตกใจ และมือที่กำลังพับผ้าหยุดชะงักในทันใด
เอกภพยืนนิ่ง ใบหน้าเรียบขรึม มือสองข้างกำแน่นอยู่ข้างลำตัวอย่างเกร็ง แววตาวูบไหวชั่วครู่หนึ่ง
“ไม่เห็นต้องถึงขนาดนั้นเลยแม่ ฉันแต่งกับพี่เอกแล้ว แม่ก็ให้ฉันไปช่วยพี่เอกทำงานสิ แล้วเดี๋ยวฉันส่งเงินมาให้ก็ได้”
“เอ็งเงียบไปก่อนเลยธารา” แม่วารีไม่แม้แต่จะหันไปมองลูกสาว
“เอ้าแม่!” เธอร้องเบา ๆ แต่ไม่กล้าพูดต่อ
“มีเงินทุกอย่างจะดีเอง” เสียงแม่หนักแน่น
“วารี ธารามันก็แต่งไปแล้ว จะให้อยู่ห่างกันแบบนี้มันก็ไม่ดีนักหรอก ไหน ๆ ก็เป็นผัวเมียกันแล้ว ให้มันได้อยู่ด้วยกัน จะได้ช่วยกันทำมาหากิน” พ่อพนาที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ ก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบและใจเย็น
แม่วารีหันขวับไปมองพ่อพนา ดวงตาขุ่น ๆ
“ก็เพราะมันแต่งไปแล้วนี่แหละ ข้าถึงห่วง มันยิ่งต้องมีที่พึ่งที่มั่น อย่าลืมสิตาพนา เราเพิ่งจะเห็นหน้าไอ้หนุ่มนี่ไม่ถึงอาทิตย์ จะให้ยกลูกสาวตามมันไปกรุงเทพฯ แบบตัวเปล่า ไม่มีอะไรรับประกันเลยหรอ?”
“แต่เอกมันก็ตั้งใจดี ข้าเห็นอยู่ว่ามันพยายามจะเป็นผัวที่ดีให้ลูกอยู่” พ่อพนาช่วยพูดเสริมให้
เอกภพหันไปมองพ่อพนา ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ความตั้งใจมันกินไม่ได้หรอกตาพนา ข้าขอแค่ให้มันพิสูจน์ตัวเองก่อน มีเงิน มีหลักมีฐาน ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน” เสียงแม่วารียังคงหนักแน่น
“แต่งแล้วก็ไปทำงานด้วยกันได้สิแม่ แม่จะให้ฉันอยู่เฉย ๆ ที่นี่หรือไง” ร่างเล็กก้าวเข้ามายืนข้างร่างสูงโปร่ง พูดขึ้นเร็ว ๆ
แม่วารีหันมามองลูกสาว ดวงตายังคงแน่วแน่
“อยู่กับข้า อย่างน้อยข้าก็ยังมั่นใจว่าเอ็งจะไม่ลำบากกว่าตอนไปอยู่กับคนที่แม่ยังไม่รู้จักดีพอไง” นัยน์ตาดำสนิทเริ่มกราดเกรี้ยว
“แต่เราแต่งกันแล้วนะแม่ มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ” ทิพย์ธารากัดริมฝีปากแน่น น้ำตาคลอ ขณะที่มือข้างหนึ่งเอื้อมไปจับแขนเอกภพ
“ธาราเอ้ย... ถ้าแม่เขายังไม่สบายใจ เอ็งก็อยู่ช่วยแม่ก่อน ให้เอกมันไปตั้งหลักให้มั่น แล้วค่อยกลับมารับเอ็งอย่างคนที่พร้อมจริง ๆ” พ่อพนาพูดพลางเอื้อมมือแตะบ่าลูกสาวเบา ๆ
“ผมเข้าใจครับ แต่ผมก็อยากพาธารากลับไปด้วย ตอนนี้ผมมีงาน มีที่พัก ถึงไม่ได้มากมาย แต่ผมมีความตั้งใจจริง” เอกภพเงยหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่จริงใจ
แม่วารีเสียงลดลงเล็กน้อย แต่ยังไม่อ่อน
“ไม่ใช่เรื่องของความไว้ใจอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องอนาคตของมัน อยู่กินกันแล้วก็ต้องมีลูกมีเต้า ถ้าเอ็งยังไม่มีเงิน เอ็งก็ยังไม่พร้อมจะดูแลชีวิตใคร ”
ทิพย์ธาราถอนหายใจแรง พูดเสียงหนักแน่น
“งั้นก็ได้แม่ ฉันจะรอพี่เอกกลับมารับ” เสียงของทิพย์ธาราเอ่ยออกมาอย่างแน่วนิ่ง แต่ในดวงตาที่เคยสั่นไหวกลับฉายแววมั่นคง ราวกับหญิงสาวที่ยืนกรานในชะตาชีวิตของตนเอง เธอยืดหลังตรง หัวคิ้วขมวดน้อย ๆ แต่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
“ถ้าพี่เอกทำได้ แม่ต้องหยุดบงการกับชีวิตคู่ของฉันเลย”
เธอเงยหน้ามองแม่ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเรืองรองปนดื้อรั้น ริมฝีปากเม้มแน่นเล็กน้อยราวกับพยายามกลั้นอารมณ์ไม่ให้ไหลทะลักออกมา มือทั้งสองกำแน่นอยู่ข้างลำตัว ก่อนจะคลายลงอย่างช้า ๆ ด้วยลมหายใจลึก ๆ ที่สะท้อนความตัดสินใจสุดท้าย
“เอ้า! ธาราจะไม่กลับไปกับพี่แล้วหรอ…” เสียงทุ้มของเอกภพเจือแววตกใจ ใบหน้าคมหันขวับกลับมา ดวงตาคมเข้มตอนนี้สะท้อนแววร้อนรน ราวกับกลัวจะสูญเสียบางอย่างที่กำลังจะหลุดมือไป
เขาก้าวเข้ามาใกล้เพียงก้าวเดียว ขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของทิพย์ธาราไม่วางตา ดวงตาคู่นั้นที่เขาคุ้นเคย แต่วันนี้กลับอ่านยากเหลือเกิน
ทิพย์ธาราหันมามองเขา ดวงตาเป็นประกายสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากหลอดเล็ก ๆ ริมชานบ้าน ก่อนจะยิ้มจาง ๆ อย่างคนที่เข้าใจทุกอย่าง
“เถอะน่าพี่เอก พี่กลับไปก่อนละกัน ซักวันพี่ต้องทำได้แน่”
เธอพูดเสียงนุ่ม พร้อมขยิบตาข้างซ้ายเบา ๆ อย่างคนที่ฝากคำสัญญาไว้โดยไม่ต้องเอ่ยคำหนักแน่น
เอกภพนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาไหววูบคล้ายลังเล แต่สุดท้ายก็พยักหน้าช้า ๆ ด้วยแววตาที่ตั้งใจแน่วแน่
“ก็ได้ พี่จะพยายามให้ถึงที่สุด”
แม่วารียืนกอดอกอยู่ด้านหลัง ขยับปากเหมือนจะพูดอะไรอีก แต่สุดท้ายก็ได้เพียงพ่นลมหายใจยาว แววตาอ่อนลงอย่างยอมรับ
“ข้าไม่เคยอยากขวางความรักของเอ็ง แต่ก็อยากให้เอ็งมีชีวิตที่ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังเท่านั้นเอง”
เธอมองลูกสาวกับลูกเขยสลับกัน ก่อนพูดช้า ๆ เหมือนค่อย ๆ ปล่อยมือจากความห่วงใยที่เคยรัดแน่น
“ถ้าเอ็งคิดว่าเอกมันจะทำได้จริง ๆ แม่ก็จะรอวันที่มันกลับมารับ แล้วข้าจะไม่ว่าอะไรอีกเลย”
“ครับ อีกสองวันผมจะกลับกรุงเทพฯ แล้วผมจะตั้งใจทำงานทุกวัน ผมจะกลับมาพร้อมกับทุกอย่างที่แม่ต้องการครับ” เอกภพพยักหน้ารับเต็มหัวใจ
แม่วารีนิ่งไปครู่ ก่อนพยักหน้าน้อย ๆ สีหน้าไม่ได้ยิ้ม แต่ก็ไม่แข็งกร้าวอย่างเคย
“อือ แม่ก็หวังว่าเอ็งจะทำอย่างที่พูด”
หลังจากบทสนทนาสุดท้ายจบลง ความเงียบก็เข้ามาแทนที่ ไม่มีคำพูดใดอีกจากใคร ทุกคนแยกย้ายอย่างเงียบ ๆ ราวกับต่างคนต่างเก็บความคิดของตัวเองไว้ในใจ
บ้านไม้หลังนั้นดับไฟทีละดวงจนมืดสนิท เหลือเพียงเสียงลมยามค่ำที่พัดยอดไม้ไหวพลิ้ว และเสียงแมลงเรไรร้องรับกันในเงาค่ำของฤดูฝน
แต่ห้องของธารา ที่ยังมีเอกภพอยู่ด้วย ยังมีแสงไฟลอดผ่านช่องว่างของบานหน้าต่าง และประตูไม้เก่า ๆ ออกมาเป็นริ้วเรืองรองในความมืด ราวกับแสงเล็ก ๆ ของความหวังที่ยังไม่ดับ
...
“อีกสองวันใช่ไหมพี่”
ธาราถามเสียงเบา ขณะนั่งอยู่ปลายเตียง มือเล็กวางพาดอยู่บนตัก กระเป๋าใบใหญ่ถูกจัดวางไว้เรียบร้อยข้างตัว ราวกับเป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาแห่งการตัดสินใจใกล้เข้ามาทุกที
“ใช่ อีกสองวันพี่จะกลับกรุงเทพฯ” เอกภพตอบ เขานั่งลงช้า ๆ บนขอบเตียง ใกล้เธอเพียงคืบ
ความเงียบไหลผ่านระหว่างกัน ก่อนเขาจะพูดขึ้นอีกครั้ง ราวกับเพิ่งนึกบางอย่างได้
“แต่จริง ๆ เราต้องกลับไปด้วยกันสิ เพราะเราแต่งงานกันแล้วนี่” เสียงเขานุ่ม เรียบแต่หนักแน่น เหมือนต้องการย้ำความจริงที่หัวใจของเขายึดมั่น
ทิพย์ธาราหันขวับมามองเขา แววตาคมใต้ขนตางอนกระพริบช้า
“แล้วใครบอกพี่ว่าฉันจะไม่ได้กลับไปด้วยล่ะ?”
เอกภพกัดริมฝีปากแน่น ราวกับกลืนคำพูดที่ไม่อยากจะเชื่ออยู่ในใจ ก่อนจะพูดเสียงแผ่ว
“ก็แม่...” เขาหยุดไปนิด “ห้ะ! เมื่อกี้ธาราพูดว่าอะไรนะ?”
“ฉันจะหนีไปกับพี่คืนนี้เลย” เธอพ่นลมหายใจเบา ๆ
“หนีเหรอ?” เขาทวนคำ น้ำเสียงทั้งแปลกใจและไม่แน่ใจ
ทิพย์ธาราพยักหน้า แล้วเอนหลังพิงผนังเบา ๆ เหมือนแรงตึงเครียดทั้งหมดหล่นหายจากบ่า
“ก็ฉันบอกแม่ดี ๆ แล้วนี่ แม่ไม่ยอมฟังเลย”
“แล้วเธอไม่กลัวแม่โกรธหรอ” มือใหญ่แตะไหล่เธอแผ่วเบา
“ก็กลัวแหละ แต่แม่ฉันเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ โมโหร้าย แล้วอยู่ ๆ ก็โดนด่าก็โดนว่าก็โดนอีกสารพัด สู้ฉันหนีไปเลยดีกว่า” ธาราหัวเราะแห้ง ๆ ในลำคอ
“ขนาดนั้นเลย?” เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
“พี่ไม่เคยเจอฤทธิ์แม่ฉันหรอก” ธาราเหลือบตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง เสียงเธอแผ่วลง
“ก่อนหน้านี้แม่ทำอะไรเธอ?”
“เดี๋ยวพี่ก็ได้รู้เองแหละ” เธอชะงักเล็กน้อย ก่อนหลุดหัวเราะออกมาอย่างขื่นขม
มือเรียวเอื้อมไปลูบแขนเขาเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว ราวกับต้องการปลอบใจตัวเองให้กล้าพูดต่อ
“โดนตีนับครั้งไม่ถ้วน โดนตบจนสลบก็เคยมาแล้ว”
เอกภพเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาที่มองเธอมีประกายของความเจ็บปวดแฝงอยู่
“แม่เธอนี่ น่ากลัวจริง ๆ”
“ก็ ไปกันเสียตั้งแต่คืนนี้นี่แหละพี่” ธาราฝืนยิ้ม
“ฉันรู้นะว่าตัวเองห่วงแม่ แต่ใจคือจะกลับมาดูแลตอนแม่ตีฉันไม่ไหวเลยอะ” เธอพูดเสริมขึ้นมาอีกประโยค
เอกภพยกมือขึ้นวางบนปลายนิ้วเธอ ดวงตาคู่นั้นมองเธอนิ่ง ๆ อย่างอ่นโยน ไม่ได้พูดอะไร ริมฝีปากเม้มแน่นน้อย ๆ เหมือนกำลังกลั้นบางอย่าง ก่อนที่เขาจะโน้มตัวเข้าไปใกล้
“แต่วันนี้ เราได้แต่งงานกัน พี่อยากให้ธารามีรอยยิ้มบ้าง”
เขาพูดพลางจูบลงเบา ๆ ที่แก้มเธอ รอยสัมผัสอบอุ่น อ่อนโยน และมั่นคงจนเหมือนเวลาหยุดลงชั่วขณะ
ทิพย์ธาราสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าร้อนวูบจนแทบไม่กล้าเงยขึ้นมอง
“พี่เอก” เธอพึมพำเสียงสั่น แก้มสองข้างแดงเรื่อราวกลีบกุหลาบอ่อนที่เพิ่งผลิบาน
เอกภพหัวเราะน้อย ๆ ดวงตาเป็นประกาย “ก็แต่งงานกันแล้วนี่ พี่ขอแค่นี้เอง”
ธารายกมือขึ้นกุมแก้มตัวเองไว้แน่น รอยยิ้มละไมแต้มที่ริมฝีปาก ราวกับดอกไม้บานในฤดูแรกแย้ม
“แต่พี่อย่าทำบ่อยนะ” เธอว่าเบา ๆ อย่างเขินจัด
“ฉันใจไม่ดี”
เขาขยับเข้ามาใกล้จนแทบจะซบหน้ากับไหล่เธอ
“งั้นพรุ่งนี้พี่ขออีกข้างก็แล้วกัน”
“พี่เอก!” ธาราตีแขนเขาเบา ๆ ทั้งที่ใบหน้ายังแดงไม่หาย
เสียงหัวเราะของคนสองคนลอยเบาอยู่ในห้องเล็ก ๆ ท่ามกลางความมืดเงียบของค่ำคืน แต่หัวใจกลับอบอุ่นเสียจนเหมือนไม่ต้องการแสงตะวันอีกเลย
...
เรือนไม้ทั้งหลังเงียบสงัด ราวกับหลับใหลไปพร้อมกับผืนฟ้าและดวงดาว เสียงเข็มนาฬิกาเดินติ๊ก ๆ อย่างมั่นคง อยู่ในช่วงเวลาของค่ำคืนที่ยืดยาว แสงตะเกียงเจ้าพายุจากห้องโถงกลางยังคงริบหรี่ลอดผ่านช่องไม้ระแนง ราวกับเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวของบ้านหลังนี้อย่างเงียบงัน
ภายในห้องนอนเล็กชั้นบน ใต้แสงสลัวของไฟจากนอกห้อง ร่างสองร่างนั่งเคียงกันบนฟูกฟางเก่า ด้านหนึ่งคือหญิงสาวในชุดผ้าป่านบาง พับแขนเสื้อขึ้นจนเห็นข้อศอกขาว อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหนักแน่น แววตาแฝงความลังเลอย่างยากจะปิดบัง
เอกภพขยับตัวน้อย ๆ พลางชะโงกมองออกไปทางหน้าต่างที่ถูกม่านผืนบางแง้มออกเล็กน้อย พอให้เห็นเงาตะคุ่มของต้นมะม่วงยืนต้นเงียบงันที่หน้าบ้าน
“เธอว่า แม่หลับแล้วรึยัง” เขากระซิบเสียงแผ่ว เสียงนั้นเหมือนกลืนไปกับลมราตรี
ทิพย์ธารานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปพยักหน้าเบา ๆ ริมฝีปากสีซีดเปล่งคำออกมาช้า ๆ
“หลับมั้งพี่ เมื่อกี้ฉันแอบดู เห็นไฟในห้องแม่ดับไปแล้ว”
“แน่ใจนะ?” เขาเลิกคิ้ว ลมหายใจเข้าออกถี่ขึ้นเล็กน้อย
หญิงสาวเอื้อมมือไปจับมือเขาเบา ๆ ปลายนิ้วเย็นเฉียบ แต่แทรกด้วยแรงสั่นเล็ก ๆ ราวกับใจยังไม่มั่น
“คืนนี้แหละพี่เอก ถ้าไม่ไปตอนนี้ เราคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว” เสียงเธอแผ่วลงกว่ากระซิบ
“ไปกันเถอะ”
เอกภพเงยหน้ามองเธอ แววตานั้นเต็มไปด้วยคำถาม แต่เขาก็พยักหน้าในที่สุด เขากระชับมือเธอแน่นขึ้น แล้วทั้งสองค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนโดยไม่ส่งเสียงสักแอะ
แผ่นพื้นไม้ใต้ฝ่าเท้าร้องครางแผ่ว ๆ เมื่อทั้งคู่ย่างเท้าก้าวออกจากห้อง
เอี๊ยด...อ๊าด... เอี๊ยด...อ๊าด...
เสียงนั้นเบาราวกับเสียงกล่อมหลอนของบ้านไม้ที่เฝ้าดูความลับของลูกบ้านมานานปี แต่ในยามนี้มันฟังดูดังราวระฆังเตือนภัยในอกของทิพย์ธารา
กึก!
ขณะกำลังจะย่างก้าวลงบันได
เสียงสวดมนต์ดังขึ้นเบา ๆ จากห้องโถงกลาง ชัดถ้อยชัดคำในยามดึกเงียบสงัด เสียงนั้นชัดเจน เป็นบท “ชินบัญชร” ที่เปล่งเสียงออกมาช้า ๆ ราบเรียบ แต่กึกก้องกว่าฟ้าร้องกลางใจเธอ
ทิพย์ธาราหยุดชะงัก ร่างทั้งร่างเหมือนถูกตรึง เธอหันไปสบตาเอกภพที่หันมามองด้วยสีหน้าเดียวกัน ทั้งสองเบิกตากว้าง
ไม่มีคำพูด ไม่มีเสียง
พวกเขาหันหลังกลับทันที พยายามเดินวกไปทางหลังบ้านที่เตรียมทางไว้แล้ว
แต่ยังไม่ทันขยับได้พ้นระเบียงไม้
“ธารา… เอ็งจะไปไหนกัน!”
เสียงนั้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทว่าแฝงความเย็นยะเยือกประหนึ่งมีใครราดน้ำเย็นลงกลางอก
ร่างของแม่วารีปรากฏอยู่ที่ปลายระเบียงเรือน เงาร่างท้วมเล็กถือตะเกียงเจ้าพายุเล่มหนึ่ง แสงไฟนั้นก็เพียงพอจะเห็นดวงหน้าที่ไม่มีรอยง่วงงุนเลยสักนิด
“แม่” เสียงของทิพย์ธาราหลุดออกจากปากทันที ดวงตากลมโตเบิกโพลง ขณะฝ่ามือเย็นเฉียบยกขึ้นปิดริมฝีปาก
เอกภพยืนตัวแข็งทื่อ สายตาลอบมองไปรอบ ๆ เหมือนกำลังประเมินทางหนี มือของเขาขยับไปแตะต้นแขนเธอเบา ๆ สัมผัสนั้นไม่ได้บีบแน่น หากแต่มั่นคง
“ไปเร็วพี่เอก!!” เสียงของเธอดังลั่น ฝ่าฝืนความเงียบของราตรี และเป็นเหมือนสัญญาณปล่อยตัว
ทั้งคู่หันหลังแล้ววิ่งพรวดออกจากเรือน
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดินแน่น ๆ วิ่งข้ามลานบ้านอันคุ้นเคยมุ่งตรงไปยังรั้วไม้เก่า ที่พวกเขาแอบแง้มไว้ตั้งแต่หัวค่ำ ท่ามกลางความมืดที่หนาทึบ
“ธารา มึงทำกับแม่แบบนี้ได้ยังไง!”
เสียงแม่วารีตะโกนตามหลังมา มันไม่ดังนัก แต่ดังพอจะให้หัวใจของเธอสั่นสะท้าน
เสียงฝีเท้าแม่ดังไล่หลังออกมาถึงบันไดไม้ เสียงนั้นไม่เร่งร้อน แต่หนักแน่นทุกย่างก้าว ฝ่ามือข้างที่ว่างเปล่าของแม่วารีกำแน่นจนเส้นเอ็นที่หลังมือขึ้นเด่นชัด
“กูอุตส่าห์ตั้งใจเลี้ยงดูปูเสื่อมึงมาอย่างดี อดข้าวอดนอน ส่งเรียนหนังสือทุกบาททุกสตางค์ ทำไมกูต้องเห็นมึงทำแบบนี้กับกูด้วย!”
น้ำเสียงของแม่วารีไม่ใช่แค่โกรธ แต่มันปนด้วยความเจ็บ ความอัดอั้น ความเสียใจ และสิ่งใดอีกหลายอย่างที่ทิพย์ธาราฟังแล้วไม่อาจแยกออก
ทิพย์ธาราหันกลับมามอง น้ำตาไหลเงียบ ๆ อาบสองแก้ม
“ฉันขอโทษนะแม่” เสียงเธอสั่น แต่เปล่งออกมาเต็มที่
“แต่แม่บังคับฉันมากเกินไปแล้ว!”
แม่วารียกตะเกียงขึ้น ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำ
“กูทำไปเพราะรัก!” แม่วารีพูดพร้อมเสียงสะอื้นที่สะกดไว้ไม่อยู่
ทิพย์ธาราไม่ตอบอะไรอีก เธอกระชากประตูรถขึ้น นั่งลงข้างเอกภพที่บิดกุญแจสตาร์ตรถไว้ตั้งแต่แรก
เครื่องยนต์เก่าดังครืดคราด ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากบ้านช้า ๆ เหมือนยังลังเล ไม่กล้าไปให้พ้นเงาของผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
แม่วารียังยืนอยู่ตรงบันไดไม้ เงาของเธอยาวเหยียดภายใต้แสงตะเกียง
เธอมองไฟท้ายรถที่ไกลออกไปทุกที ทุกที ก่อนที่ร่างจะทรุดนั่งลงตรงขั้นไม้ที่เย็นเฉียบ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำสนิท
น้ำตาของเธอร่วงเงียบ ๆ ลงข้างแก้ม
ฮึก...ฮือ...ฮือ...
ไม่มีใครรู้ว่าคืนนั้นเธอร้องไห้นานแค่ไหน รู้แค่ว่า เธอไม่รู้เลยว่าหลังจากคืนนี้ ลูกสาวของเธอจะไปอยู่ที่ไหน จะมีข้าวกินไหม จะมีหลังคาให้หลบฝนหรือไม่
และที่เจ็บที่สุด
เธอไม่รู้เลยว่า เธอจะได้เห็นลูกอีกครั้งเมื่อไหร่ หรืออาจจะไม่มีวันนั้นอีกเลยก็ได้...