แม่วารีนั่งอยู่กับพื้นหน้าตู้เสื้อผ้า หลังค่อมเล็กน้อยเหมือนคนแบกของบางอย่างที่มองไม่เห็น ใบหน้าอ่อนโรย ใต้ตาคล้ำเป็นเงา
พ่อพนานั่งอยู่ใกล้ ๆ ข้างตัวมีกล่องไม้เก่า ๆ วางไว้ ในนั้นมีบุหรี่พันมืออยู่ไม่กี่มวน เขาเงยหน้าช้า ๆ มองออกไปทางหน้าต่าง บานเก่าที่บานพับเริ่มเป็นสนิม
สายตาพ่อพนาผ่านกิ่งกระดังงาที่โน้มลงมาข้างหน้าต่าง มองเลยไปยังลานหน้าบ้านที่ไม่มีรอยเท้าลูกสาวมาหลายวันแล้ว ต้นไม้ที่เคยมีเสียงหัวเราะ เสียงฝีเท้าเดิน บัดนี้เหลือเพียงความนิ่งงัน
“วารี” เสียงพ่อพนาดังขึ้น เบา ๆ แต่หนักแน่น
“มีจดหมายจากพวกแรงงานเก่าที่ข้าเคยทำงานด้วย มันส่งข่าวมา เขาอยากให้ข้าไปช่วยงานที่โรงงานทอช่วงนี้ คนขาดแรงงานเยอะ เงินเดือนก็ไม่มาก แต่ก็มากกว่าขายของอยู่ที่นี่”
“โรงงานที่แกเคยไปทำอยู่สิงคโปร์เมื่อตอนที่ยังไม่มีนังธาราน่ะเรอะ”
“อืม” พ่อพนาพยักหน้าช้า ๆ
เงียบไปชั่วครู่
“ไปเถอะ” เสียงแหบต่ำของแม่วารีดังขึ้น
“ขนาดลูกไปแค่กรุงเทพยังห้ามแล้วห้ามอีก แต่กลับให้ข้าไปไกลถึงเมืองนอกเมืองนา” พ่อพนาเลิกคิ้วเล็กน้อย เอียงคอมองคนตรงหน้า
แม่วารีเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เธอกัดริมฝีปากล่างไว้นิดหนึ่ง แล้วค่อยพูดออกมา
“ก็ธารามันเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง จะให้ไปอยู่ไกลหูไกลตา ไม่มีใครคอยดูแล ตอนนั้นก็ยังไม่มีงาน ยังไม่มีเงินก้อน ข้าก็กลัวมันจะลำบาก”
“แต่แกมันผู้ชาย ผู้ใหญ่แล้ว มีสติพอจะวางแผนชีวิต มีคนจัดหางานช่วยดูแล ยังไงก็มีโอกาสเอาตัวรอดได้มากกว่า”
พ่อพนาพยักหน้าช้า ๆ เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังนั่งเฉย เสียงบุหรี่ในมือถูกหมุนเบา ๆ ดังครืดคราดกับฝ่ามือ
แม่วารีสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะพูดต่อ
“แต่ถ้าแกจะไปสิงคโปร์ ข้าจะอยู่คนเดียวทำไมล่ะ ย้ายกันไปทำงานเถอะ อย่างน้อยเงินก็ได้สองทาง” เสียงเธอเหมือนคนพูดกับตัวเองมากกว่า
พ่อพนาเบือนสายตาลงมองพื้นไม้ หยักลึกเหนือคิ้วมีรอยลึกขึ้น เขาถอนหายใจเบา ๆ
“ข้าตกลงกับคนจัดหางานไว้แล้ว ไปได้แค่สามเดือน เขาว่าถ้าขยัน งานดี อาจได้ต่อสัญญา แต่มันก็ไม่แน่นอนอะไรหรอก อยู่ไกลบ้านข้าเองก็ลังเล”
แม่วารีพยักหน้าเบา ๆ
“ก็ถ้าแกจะไปทำงานสิงคโปร์ ข้าก็จะได้ไปกรุงเทพ”
พ่อพนาหันขวับมาทันที ใบหน้าดูประหลาดใจปนห่วง
“ข้าก็ไม่รู้ว่านังธารามันไปอยู่ยังไง กินดีไหม นอนหลับไหมจะทะเลาะกันอีกแรงขนาดไหน”
มือของพ่อพนาเอื้อมมาโอบไหล่แม่วารีอย่างแผ่วเบา ฝ่ามือหยาบกร้านแนบลงบนผ้าฝ้ายบาง ๆ
“เออ ถ้าลูกมันตัดสินใจแล้วก็ปล่อยมันบ้าง ใจมันรักกันอยู่ ไม่ถึงขนาดเกลียดชังกันนิ่”
แม่วารีพยักหน้าช้า ๆ สีหน้าไม่เปลี่ยน
“ลึก ๆ ข้าก็อยากให้มันกลับมา มันหนีไปตั้งสองครั้งแล้ว มันก็ไม่จำสักครั้ง... คงต้องรอให้แม่มันเจ็บจนถึงมือหมอล่ะมั้งมันถึงจะกลับมา”
พ่อพนาส่ายหน้าอย่างเข้าใจ ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่นั่งอยู่ข้าง ๆ เงียบ ๆ ให้รู้ว่ายังมีเขาอยู่ใกล้
“ก็ถ้าแกไปสิงคโปร์สามเดือนนี้ ฉันก็อยากจะเขียนจดหมายไปหาแกบ้าง จะได้รู้ว่าเป็นอยู่ยังไง แต่ติดที่ฉันอ่านหนังสือไม่ออก เขียนเองก็ไม่ได้ หมดโอกาสไปอีกหลายอย่าง"
พ่อพนายิ้มมุมปากบาง ๆ คล้ายจะปลอบ
“ถ้าแม่วารีไปกรุงเทพ ก็ให้เพื่อนช่วยเขียนให้ก็ได้ คงมีคนที่กรุงเทพอ่านออก แล้วก็เขียนจดหมายมาให้ข้าได้อ่านบ้าง”
แม่วารีพยักหน้าเบา ๆ
เสียงในบ้านเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมหายใจ และเสียงไม้พื้นลั่นเบา ๆ ตามแรงขยับตัวของทั้งสอง
แม่วารีพูดขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับตัดสินใจบางอย่างในใจ
“งั้นข้าก็จะไปหางานแถวนั้นทำเหมือนนังธารามันที่กรุงเทพก็แล้วกัน... ยังดีกว่านั่งรออยู่เฉย ๆ ล่ะวะ”
พ่อพนาพยักหน้ารับอย่างช้า ๆ
เสียงลมพัดเบา ๆ ผ่านปลายใบไม้ แสงแดดยามบ่ายเริ่มอ่อนลง บรรยากาศเงียบสงบ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้งของคนเป็นพ่อแม่และไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
ทิพย์ธารานั่งเรียบร้อย เส้นผมด้านหน้าลู่ลงบดบังใบหน้าบางส่วน แต่ไม่อาจปิดดวงตาที่เงียบงันได้อย่างมิดชิด ส่วนเอกภพนั่งเอนหลังพิงพนัก มือข้างหนึ่งวางนิ่งบนหน้าขา ส่วนอีกข้างบีบแน่นราวกับไม่อาจปล่อยความรู้สึกที่กักเก็บไว้ออกมาได้ง่าย ๆ
“ธารา” เสียงของเขาแผ่วต่ำ เอกภพกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ สูดลมหายใจยาว ลึก และหนัก ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“เรื่องวันนั้น พี่ขอโทษนะ” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง สายตามองต่ำ
“พี่คงไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งนั้น แต่พี่อยากขอโทษ”
ทิพย์ธารายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว แต่คมกริบ
“พี่เอกรู้ไหมว่าฉันร้องไห้จนหมดน้ำตาไปแล้วกับเรื่องนี้”
เอกภพยกสายตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาข้างในคล้ายกำลังลุกไหม้อย่างเงียบงัน
“พี่รู้…” เขาเอ่ยเบา ๆ
“พี่เห็นแววตาเธอในตอนนั้น มันทำให้พี่เกลียดตัวเองยิ่งกว่าที่ใครเคยเกลียดพี่” เขากลืนน้ำลายอีกครั้ง เสียงสั่นเล็กน้อย
“มันไม่ควรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ต่อให้พี่โกรธแค่ไหน ต่อให้โลกจะถล่มลงมา พี่ก็ไม่ควรทำแบบนั้นกับเธอ”
ทิพย์ธาราค่อย ๆ หันกลับมามอง ดวงตาของเธอแดงนิด ๆ ร่องรอยของความเหนื่อยอ่อนเกาะอยู่ที่ขอบตา แต่ไม่มีน้ำตาไหล
“ฉันไม่ใช่คนเข้มแข็งหรอกนะพี่เอก” เธอพูด พลางยกมือข้างหนึ่งมาจับแขนเสื้อของเอกภพเบา ๆ
“แต่ฉันไม่อยากให้แผลพวกนั้น กลายเป็นภาพจำเดียวที่ฉันจำได้เกี่ยวกับเรา”
เอกภพค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง ดวงตาที่เคยมองตรง ตอนนี้กลับไหวระริกเล็กน้อยเหมือนยอมรับอะไรบางอย่าง
“ธารา พี่ไม่กล้าขอให้เธอให้อภัยพี่ด้วยซ้ำ” เขาขยับริมฝีปากช้า ๆ
“แต่แค่ได้เห็นเธอยังอยู่ตรงนี้ ยังฟังพี่อยู่ พี่ก็ดีใจที่สุดแล้ว”
ทิพย์ธาราค่อย ๆ ลุกขึ้นมายืนเต็มความสูง ขยับตัวตรงหน้าเขา สูดหายใจลึกจนแผ่นอกสั่นเล็กน้อย
“พี่ทำร้ายฉัน…ใช่” เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาตรงและมั่นคง น้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น
“แต่พี่ก็เป็นคนเดียวที่ฉันรักมากพอ ที่จะให้อภัยได้”
เอกภพนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ตาเบิกกว้างเพียงเล็กน้อย คล้ายถ้อยคำนั้นวิ่งเข้าไปข้างในอกแบบไม่ทันตั้งตัว
ทิพย์ธารายกมือขึ้นช้า ๆ แตะปลายนิ้วลงบนแก้มเขาเบา ๆ แผ่วจนเหมือนลมต้นฤดูหนาวพัดผ่าน
“ฉันไม่ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นหรอก” เธอพูดช้า ๆ
“แต่ฉันยังรักพี่อยู่ และฉันอยากเชื่อว่า พี่จะไม่มีวันทำร้ายฉันอีก”
เอกภพกุมมือเธอไว้แน่น มือใหญ่ครอบรอบฝ่ามือเธออย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวว่ามือคู่นั้นจะหลุดลอยไป
“พี่จะเป็นคนที่เธอไว้ใจได้อีกครั้งให้ได้” เขาพูด สายตาจริงจัง น้ำตาคลอแต่ยังไม่ไหล
ทิพย์ธาราพยักหน้าช้า ๆ ปลายผมปลิวระเรื่อ ก่อนเธอจะเอียงหน้าลงช้า ๆ ซบลงกับอกเขาอย่างเหนื่อยล้า
“ถ้ารักกันแล้วมันเจ็บ ก็ขอให้เรารักษากัน ไม่ใช่ทำร้ายกันอีกนะพี่” เสียงเธอคลออยู่กับจังหวะหัวใจเขา
เอกภพโอบเธอแน่นขึ้น แขนทั้งสองข้างกอดเธอแนบชิด ดวงตาหลับแน่น ริมฝีปากสั่นเพียงน้อยเหมือนพยายามกลั้นบางอย่างไว้
“พี่จะรักษาธาราทุกวัน จากนี้ไป”
พวกเขากอดกันเงียบ ๆ เหมือนเวลารอบข้างหยุดเดินไปชั่วครู่ ไม่มีคำพูด ไม่มีเสียง มีเพียงลมหายใจและหัวใจที่ยังเต้นอยู่ตรงนั้น
“ธารา พี่มีอะไรอยากพูด” เอกภพค่อย ๆ เอียงหน้าเล็กน้อย กระซิบเบา ๆ ใกล้ใบหูเธอ
“พี่อยากบอกอะไรฉันเหรอ” ทิพย์ธาราขยับศีรษะ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยจากอกเขา มองสบตา
เอกภพมองเธออย่างแน่วแน่ น้ำเสียงจริงจังแต่ละมุนลึกอย่างยากจะปฏิเสธ
“พี่อยากมีลูกกับเธอ”
ทิพย์ธารานิ่งงัน ดวงตากะพริบช้า ๆ ขณะที่เงาสะท้อนของความตกใจปะปนอยู่ในแววตา ใจเต้นแรงขึ้นทีละน้อย
“พี่เอก พูดจริงเหรอ”
เอกภพพยักหน้าช้า ๆ สายตาไม่ไหวเอนจากเธอ
“จริงสิ พี่รู้ว่าธาราอยากมีลูก
“พี่ไม่ได้พูดเพราะชดใช้ หรือเพราะความรู้สึกผิด แต่เพราะพี่อยากมีบางสิ่งที่เกิดจากความรักของเรา”
เขาพูดขณะยื่นมือมาจับมือเธอทั้งสองข้างเอาไว้แน่น
เขาหยุดไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงแผ่วลง
“บางสิ่งที่พี่จะไม่มีวันทำพังเหมือนที่เคยทำกับเธอ”
“แล้วถ้าฉันยังกลัว.. ไม่ใช่ฉันไม่มั่นใจว่าพี่จะเป็นพ่อที่ดีได้นะ แต่ตอนนี้ฉันกังวลกับอะไรก็ไม่รู้สิ” ทิพย์ธารายิ้มจาง ๆ อย่างไม่มั่นคงนัก
เอกภพจับมือเธอแน่นขึ้น ริมฝีปากเม้มเล็กน้อย
“เธอมีสิทธิ์กลัว และพี่จะพิสูจน์ตัวเองให้เธอเห็น”
“ไม่ใช่แค่คำพูด แต่จะพิสูจน์ในทุก ๆ วัน”
เขายกมือเธอขึ้นแนบอก ซ้ายมือแนบหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอ แต่หนักแน่น
“พี่ไม่อยากให้ลูกเราเกิดมาในความกลัว พี่อยากให้เขาเห็นว่า พ่อกับแม่รักกันมากแค่ไหน”
“ถ้าเธออยู่กับพี่ พี่ก็พร้อมจะเปลี่ยนตัวเอง เพื่อเธอ และ…ลูกของเรา”
ทิพย์ธาราเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาแนบสนิท ก่อนกระซิบเบา ๆ
“สิ่งที่พวกเราเป็นกันอยู่ ลูกก็จะสัมผัสได้ในสักวัน”
เธอยกมือขึ้น เอื้อมแตะใบหน้าเขา ความอ่อนโยนในสัมผัสนั้นเหมือนน้ำอุ่นที่หล่อเลี้ยงบาดแผลที่ไม่มีใครมองเห็น
“ฉันรักพี่นะ” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว
“ถึงแม้ฉันรู้ว่ายังไม่หายดีจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้น แต่หัวใจฉันก็ยังเลือกพี่อยู่ดี”
เอกภพไม่ตอบ แต่เขาดึงเธอเข้ามากอดช้า ๆ ราวกับกอดของเขาจะเป็นเกราะป้องกันเธอจากโลกทั้งใบ
แขนของเขาสอดเข้ากับหลังของเธออย่างทะนุถนอม มืออีกข้างลูบแผ่นหลังบางเบา ๆ เป็นจังหวะ เหมือนกำลังปลอบเธอให้หลับตาและวางใจ
กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเส้นผมของเธอ ลมหายใจที่กระทบลำคอของเขา มันไม่ได้แค่ทำให้เขารู้สึกอยากปกป้อง แต่ทำให้เขารู้ว่าตอนนี้เขา "มีบ้าน"
ริมฝีปากของเขาสัมผัสหน้าผากเธอเบา ๆ อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเลื่อนลงมาที่ปลายจมูก แล้วหยุดที่ริมฝีปากของเธอ
จูบนั้นไม่รีบร้อน ไม่เร่าร้อน แต่นุ่มลึก ราวกับคำสาบานที่ไม่มีคำพูดใดจะสื่อได้ชัดเจนไปกว่านั้น
ตึก ๆ ตึก ๆ ...
เสียงหัวใจที่เต้นแรงแทนคำตอบของทั้งสองคน
เธอหลับตาลง ปล่อยให้เขาเข้าถึงหัวใจที่เคยปิดกั้น เธอรับรู้ถึงไออุ่นจากมือที่ลูบต้นแขนอย่างแผ่วเบา เหมือนคลื่นเบา ๆ ที่สั่นสะเทือนลึกเข้าไปถึงเส้นประสาท
เขานอนลงเคียงข้างเธอ แขนโอบรัดเอวบางไว้แน่น ลมหายใจของทั้งคู่ประสานกันจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
นิ้วมือของเขาวาดเส้นบางเบาบนผิวเธอเหมือนเขียนถ้อยคำที่ไม่มีเสียง “พี่จะอยู่ตรงนี้ จะรัก จะเรียนรู้เธอไปทุกวัน”
“ธารา...” เสียงเขากระซิบอีกครั้ง ใกล้จนเธอรู้สึกถึงไอจากริมฝีปาก
“ต่อให้โลกจะพังลงอีกกี่ครั้ง พี่ก็จะเลือกเธอในทุกครั้งที่มันเริ่มใหม่”
เธอหลับตา ซุกหน้าลงกับอกเขา
และในค่ำคืนนั้น พวกเขาก็ได้มอบความรักให้กันอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่เพราะความต้องการ แต่เพราะหัวใจเรียกร้องอย่างเงียบงันและมั่นคง