ห้องเช่าเล็ก ๆ ริมถนนที่มีหน้าต่างบานไม้เปิดออกสู่ท้องฟ้าสีหม่น ที่ก่อนหน้านี้มีเพียงเอกภพที่อยู่เพียงลำพัง เวลานี้ถูกจัดให้เป็นบ้านชั่วคราวของเอกภพกับทิพย์ธารา ภายในไม่หรูหรา มีเพียงฟูกผืนบาง โต๊ะไม้เก่า ๆ และเตาแก๊สหัวเดียว แต่ทุกอย่างถูกจัดอย่างประณีตจนอบอุ่นเหมือนอยู่ในนิยายที่เขียนถึงคู่รักเริ่มต้นชีวิต
หลังเลิกงาน เอกภพจะกลับมาก่อนเสมอ เหมือนเช่นครั้งวันวาน ยามที่เขาเพิ่งเริ่มทำความรู้จักกับเธอใหม่ ๆ เขาไปรับก่อนที่เธอจะเลิกงานทุกวัน จนทิพย์ธาราเผลอเข้าใจผิด ว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่ไม่มีหน้าที่การงานเป็นหลักแหล่ง ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาเพียงแต่อยากเห็นหน้าเธอเป็นคนแรกก่อนใครในทุกเช้าเย็นเท่านั้น
เขาเป็นเช่นนั้นมาจนถึงวันนี้ ชายหนุ่มผู้คลั่งรัก คอยต้มน้ำร้อน เตรียมผ้าเช็ดผม และนั่งรอเธอกลับมาจากโรงงานใกล้ ๆ
เสียงเปิดประตูไม้แกรกเบา แล้วเสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้น ทิพย์ธาราวิ่งปราดเข้ามา
“เหนื่อยมั้ยครับเมียพี่” เขาหันมายิ้ม ก่อนจะยื่นผ้าขนหนูให้เธอเช็ดหน้า แล้วหันกลับไปล้างจานต่อ
เธอรับผ้าเช็ดหน้ามาซับเบา ๆ ที่แก้มก่อนจะตอบเขา
“ไม่เท่าไหร่นะหรอก แต่คิดถึงจังเลย” เธอพูดพลางซุกหน้าลงกับแผ่นหลังของเอกภพที่ยืนหันหลังให้เธอ
เอกภพหัวเราะเบา ๆ สะบัดผ้าเช็ดมือกับราวไม้ข้างเตาจนสะอาด เอื้อมมือไปลูบผมเธอที่ยุ่งเหยิงอย่างใจเย็น ลูบซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะกล่อมเด็ก
“วันนี้พี่เก็บได้อีกห้าร้อย เรามีกระเป๋าเดียวกันแล้วนะ รู้ไหม ต้องซ่อนให้ดีด้วย คนอื่นไม่รู้ว่าเมียพี่รวย”
เขาก้มลงไปล้วงใต้ฟูก ดึงกระเป๋าตังค์ใบเก่าสีซีดขึ้นมา เปิดให้เธอดูเพียงแวบเดียว ก่อนจะเก็บกลับเข้าไปใต้ฟูกเหมือนเดิม
กระเป๋าใบนั้น กลายเป็นที่เก็บทั้งเงินเดือนของเขาและเธอ สิ่งเดียวที่สะท้อนว่าพวกเขาเป็น “ครอบครัวเดียวกัน” จริง ๆ แล้ว
บางคืนหลังข้าวเย็น เขาจะค่อย ๆ หยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมา แล้วนั่งจดตัวเลขข้างเตียง ใช้ดินสอแท่งเดียวเขียนละเอียดทุกบาททุกสตางค์ เส้นตัวเลขจาง ๆ ขีดอย่างประณีต เหมือนพระภิกษุคัดลอกพระไตรปิฎกด้วยมือ
คืนนั้นก็เช่นกัน มือข้างหนึ่งเท้าลงพื้น อีกข้างจับดินสอเขียนลงกระดาษเงียบ ๆ ใบหน้าก้มต่ำ ดวงตาสงบนิ่งเป็นประกายเหมือนจดจ่อกับอะไรบางอย่างยิ่งใหญ่กว่าตัวเลข
“พี่เอก”
“ครับที่รัก?” เขาตอบโดยไม่เงยหน้า มือยังขีดตัวเลขต่อ
“ฉันว่าที่ฉันนอนไม่หลับเนี่ยเพราะอยากกินขนมไข่หงส์ร้านป้าแจ๋วแน่ ๆ เลยอะ หอมมากเลย เดินผ่านทุกวัน”
ดินสอในมือหยุดชะงักเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้น
“กี่บาทครับ”
“สิบบาทเอง”
เขาทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบเหรียญสิบบาทออกมาชูให้เธอดู แล้วพูดเสียงนุ่มแต่เด็ดขาด
“อืม ไม่ใช้ดีกว่า”
“โถ่! ทีก่อนหน้านี้ยังไปกินร้านอาหารริมคลองบ่อย ๆ ได้เลย” เธอพูดพลางมุ่ยหน้า ทำจมูกย่นเหมือนเด็กงอแง
เขาชะงักเงียบไปนิด แล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาสงบนิ่ง แต่ก็แฝงรอยขำเบา ๆ เอียงศีรษะนิด ๆ อย่างพินิจ
“ก็เมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่นา”
“ทำไมไม่เหมือนล่ะ” ทิพย์ธาราขมวดคิ้ว แขนพาดเข่าตัวเอง หันมาจ้องเขม็ง
เขาวางดินสอลง ก่อนโน้มหน้ามาใกล้เธอจนปลายจมูกแทบจะชนแก้ม ลมหายใจอุ่น ๆ รินรดผิวแก้มเธอเบา ๆ
“ก็เมื่อก่อน พี่ตัวคนเดียว เที่ยว กิน ฟุ่มเฟือยไม่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้พี่มี ‘อนาคต’ แล้วไง”
“อนาคต?” เธอกระพริบตา
เขายิ้มละมุน แล้วแตะปลายนิ้วลงที่หน้าผากเธอเบา ๆ
“เธอนั่นแหละ...”
“...”
เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เงินเธอ เธอก็ใช้ได้เลย พี่ไม่ห้าม แต่เงินพี่...พี่จะเป็นคนเก็บไว้ให้ครบ พี่จะคืนค่าสินสอดให้แม่เธอให้หมด ไม่ขาดสักบาท”
หญิงสาวเม้มปากเล็กน้อย
“แต่ถ้าอยากกินจริง ๆ ซื้อก็ได้นะ ขนมไข่หงส์น่ะ”
เธอเงียบไปสักครู่ ดวงตาหลบต่ำแล้วส่ายหน้าช้า ๆ
“ไม่เอาดีกว่า ฉันอยากช่วยพี่เก็บ”
เขายิ้มกว้างในแบบของคนเงียบขรึม มือคว้าแขนเธอเบา ๆ
“อืม...ห้องเรามีกล้วยอยู่ งั้นพี่ทำกล้วยทอดให้กินดีกว่า เดี๋ยวนี้พี่ทำอร่อยนะ รอดูเลย”
“กล้วยนี่นะ” เธอหัวเราะเบา ๆ
เขาไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นช้า ๆ ไปหยิบกล้วยน้ำว้าลูกงอ ๆ จากตะกร้าไม้ใกล้เตาแก๊สขึ้นมา
“มา ๆ ๆ นั่งตรงนี้เลย รอแป๊บนึงนะครับคนดี เดี๋ยวพี่ทำให้กิน” เขาพูดพลางจับไหล่เธอเลื่อนตัวเธอไปที่เตียงหวังให้นั่งลง
เธอหัวเราะ หัวสั่นหัวคลอน “สามีของฉันเป็นอะไรไปแล้วน้า เป็นเสี่ยชลประทานแน่ ๆ หวงทรัพย์ขนาดนี้”
เขาเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วจัดการปอกเปลือกกล้วย หั่นเฉียงบาง ๆ จัดลงชามผสม ราดแป้ง คลุกเคล้าด้วยมือเปล่าที่สะอาดเรียบง่ายอย่างคุ้นเคย
เสียงน้ำมันเดือดกรอบดังกรุบ ๆ เต็มห้อง ขณะที่กลิ่นหอมของแป้งทอดลอยคลุ้งชวนให้น้ำลายไหล เอกภพหันมายื่นชิ้นกล้วยทอดชิ้นแรกใส่มือเธออย่างภูมิใจ
เธอกัดเข้าไปแล้วหลับตา เคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย “อร่อยจริงด้วย อร่อยที่สุดในโลกเลย”
เขายิ้มบาง ๆ แล้วหันกลับไปทอดต่อ
ตอนแรกมันน่ารักดี ทิพย์ธาราเองก็ชื่นชมในความมุ่งมั่น เขาอยากเก็บเงินให้ครบห้าหมื่นบาทเพื่อไปยืนหน้าวารีแม่ของเธออย่างภูมิใจ ว่าเขาดีพอแล้วสำหรับลูกสาวของแม่
แต่เมื่อวันเวลาค่อย ๆ ล่วงผ่าน จากไม่กี่สัปดาห์กลายเป็นหลายเดือน เขาก็ยังยึดมั่นกับภารกิจนั้นอย่างแน่วแน่ ราวกับเป็นบทพิสูจน์ชีวิตที่เขาตั้งใจรับมือด้วยใจทั้งดวง หากแต่กลับทวีคูณมากขึ้นทุกวัน
วันหนึ่งเธอซื้อลูกชิ้นไม้ละสามบาทมาให้เขากินตอนเย็น เธอยื่นถุงใส่ลูกชิ้นให้เขาอย่างตื่นเต้น
“ของแบบนี้ก็ยังไม่ควรซื้อนะครับที่รัก มันสิ้นเปลือง เดี๋ยวพี่จะห่อข้าวจากบ้านไปกินเองนะ”
“ก็นี่มันก็ผ่านมาตั้งหลายเดือนแล้ว ฉันอยากให้พี่ได้กินอะไรอร่อย ๆ บ้างนี่นา” น้ำเสียงเธอแผ่วลง
เขานิ่งไป ก่อนจะพูดเบา ๆ แต่จริงจัง
“แต่ถ้าพี่ไม่เข้มงวดตอนนี้ เราจะไม่ถึงห้าหมื่นซะทีนะ”
เธอพยักหน้าเบา ๆ
“ดีมากครับคนเก่ง”
หกเดือนผ่านไป...
ห้องเช่าเล็ก ๆ ในตรอกฝั่งธนฯ ยังคงอบอ้าวเหมือนเดิม พัดลมตัวเก่าหมุนแผ่ว ๆ มีเสียงดังแกรกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แต่กลับไม่มีใครสนใจมันอีกต่อไปแล้ว กลิ่นแดดร้อนอบในฝ้าไม้ ลอยคลุ้งร่วมกับกลิ่นเสื้อผ้าเก่าและกลิ่นฝุ่นที่สะสมตามมุมห้อง ทุกอย่างดูคุ้นตา
ประตูไม้เปิดออกช้า ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแหลมเล็ก เอกภพก้าวเข้ามาเงียบ ๆ พร้อมกระเป๋าผ้าสีหม่นที่แขวนอยู่บนไหล่ซ้าย รอยเปื้อนตรงก้นกระเป๋าเห็นได้ชัดขึ้นเมื่อสะท้อนกับแสงยามบ่ายที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างไม้ เขาย่อตัวลง ทิ้งตัวลงนั่งบนฟูกผืนเก่าที่ขยับแล้วมีเสียงกรอบแกรบ มือข้างหนึ่งกำซองเงินแน่นจนเส้นเลือดปูดเปล่ง
เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สายตาทอดมองพื้นไม้ปูพรมกระสอบ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว ราวกับไม่อยากให้คำพูดของตนเองมีพลังมากพอจะสร้างบาดแผล
“เขาให้พี่แค่สองหมื่นห้า”
ทิพย์ธาราชะงักผ้าที่เพิ่งซัก หวังจะเอามาพับเก็บ เธอหยุดพับทันที เธอเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วจึงหันกลับมาทางเขา ดวงตากระพริบหนึ่งครั้ง สองครั้ง ก่อนที่จะพูดออกมา
“สองหมื่นห้า!” เธอทวนคำเบา
เธอขยับตัวลุกจากเบาะข้างตู้ เตียงไม้เก่าร้องเอี๊ยดเมื่อเธอยันตัวขึ้น แล้วเดินช้า ๆ มาหาเขา แล้วเธอก็เอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงที่ไม่แน่ใจ
“นี่พี่ขายรถหรอ”
เอกภพพยักหน้าช้า ๆ ไม่ได้ตอบในทันที ดวงตาเขาดูเหนื่อยล้า ขอบตาดำคล้ำจนเห็นได้ชัดแม้ในแสงสลัวของห้อง ลมหายใจเขาแผ่วริน ข้างแก้มมีคราบเหงื่อแห้งเกาะแนบ
“ใช่ รถมันเก่าแล้ว เขาบอกต้องซ่อมเยอะ จะเอาราคาเต็มคงไม่มีใครให้ พี่คิดแล้วว่ามันถึงเวลาแล้ว”
“แต่ทำไมไม่ปรึกษาฉันก่อนล่ะพี่ นั่นมันรถของพี่ สมบัติชิ้นเดียวของพี่เลยนะ” เธอนั่งลงข้างเขา ห่างกันเพียงหนึ่งช่วงไหล่ มองพื้นไม้ตรงหน้าเหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่ตรงนั้น
“เพราะพี่คิดว่า ถ้าถาม เธอจะไม่ยอม”
เขาเอ่ยขณะก้มมองมือของตนเองที่กำซองเงินไว้แน่น เสียงแหบพร่าเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้าทั้งวัน
“พี่แค่ ไม่อยากรอแล้วธารา เป็นปีแล้ว ยังไม่มีอะไรชัดเจนเลยสักอย่าง”
เธอหันมามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยคำถาม แต่ปากกลับเอ่ยเบา ๆ อย่างระมัดระวัง
“แต่ฉันก็ไม่ได้เร่งให้พี่รีบหาเงินห้าหมื่นให้ได้ภายในปีเดียวนะพี่”
“ฉันคาดหวังไว้สี่ห้าปี แม่ฉันก็ยังคาดหวังไว้นานกว่าฉันด้วยซ้ำนะ ไม่มีใครกดดันให้เราทำขนาดนั้น มีแต่พี่ที่กดดันตัวเอง”
เขานั่งนิ่งไปอึดใจ ยืดตัวขึ้นน้อย ๆ ก่อนจะพูดช้า ๆ เหมือนกลืนคำแต่ละคำผ่านลำคอแห้ง
“แต่พี่ไม่อยากรอแล้ว”
เอกภพเม้มปากแน่น สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยน แต่ไหล่เขากระตุกเบา ๆ ราวกับกลั้นหายใจ
“พี่ก็พยายามแล้ว!” เขาเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากสั่น ดวงตาแดงจัดอย่างห้ามไม่อยู่
“พี่ทำงาน พี่อด พี่เก็บ จนคิดว่า นี่แหละคือสุดทางของความอดทนแล้ว เงินห้าหมื่นที่แม่เธอพูด มันไม่มีวันถึงแน่ ๆ ถ้าเราไม่เสี่ยงอะไรเลย!”
เขาลุกขึ้นกะทันหัน ขยับร่างสูงใหญ่ลุกพรวดจนฟูกยุบ เสียงขาไม้ดังอี๊ดในความเงียบ เขาเดินไปอีกฝั่งของห้อง ฝ่าเท้าเปล่าเหยียบบนพื้นปูนเย็น แล้วเอามือขยี้ผมตัวเองแรง ๆ ศีรษะเขาโน้มลงขณะยืนพิงผนัง ร่างสูงโยกเบา ๆ อย่างคนไม่รู้จะเดินไปทางไหน
“แต่การตัดสินใจแบบนี้ มันไม่ใช่คำตอบนะพี่เอก”
เธอลุกขึ้นบ้าง ขยับเข้ามาใกล้เขาเพียงครึ่งก้าว ยืนอยู่ตรงหน้าแต่ไม่แตะต้อง มือของเธอห้อยข้างลำตัวอย่างประหม่า
“พี่กำลังยอมแลกเสถียรภาพทุกอย่างเพียงเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างให้แม่เห็น พี่แน่ใจเหรอว่ามันคุ้ม”
เสียงของเธอไม่แข็ง ไม่อ่อน แต่เปล่งออกมาช้า ๆ เรียบ ๆ
เขาหันกลับมา จ้องเธอด้วยดวงตาที่แดงเรื่อ ใบหน้าที่มีคราบเหงื่อ และลมหายใจที่ฟืดฟาดเบา ๆ เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ขยับปากแต่ยังไม่พูดออกมาในทันที
“มันไม่ใช่แค่เรื่องพิสูจน์ มันคือการกู้หน้า พี่อยากให้แม่เธอเห็นว่าพี่ทำได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่คนที่พาเธอหนีมา แล้วใช้ชีวิตห่วย ๆ ไปวัน ๆ”
เขาหยุดพูดเพียงเท่านั้น น้ำเสียงที่เคยดุดันกลับกลายเป็นแผ่วเบาอย่างคนที่หมดแรงจะยืนยันอะไรอีกแล้ว ดวงตายังคงจับจ้องใบหน้าของเธอ แต่ไร้แววท้าทาย เหลือเพียงรอยเหนื่อยล้าที่ยังสะสมไม่สิ้น
ทิพย์ธาราเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาเหม่อมองลงต่ำ ริมฝีปากขยับเบาเหมือนจะพูดแต่ก็เปลี่ยนใจ เธอสูดหายใจช้า ๆ แล้วจึงเอียงหน้าเบือนสายตาหนีเขาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยเสียงเรียบ
“ฉันไม่ได้อยากตัดกำลังใจพี่นะ ฉันแค่อยากให้พี่รู้ว่าทุกอย่างเราทำได้ แต่พี่ต้องรอ”
เงียบงันตามมาเหมือนม่านหนาทึบที่คลุมลงกลางระหว่างคนทั้งสอง เอกภพนั่งนิ่งงัน ดวงตาแดงก่ำราวมีหยดเพลิงซุกซ่อนอยู่ข้างใน เขาเงยหน้ามองเธอทีละน้อย สีหน้าทั้งเหนื่อยล้าและเครียดจัด
“แล้วเราจะรอไปอีกนานแค่ไหนธารา พี่พาเธอหนีมานะ ไม่ได้มาเพราะแม่เธอยอม เราใช้ชีวิตโดยที่ต้องกังวลอยู่ตลอด ถ้าพี่เก็บเงินได้ไว ๆ เธอรีบไปเคลียร์ใจ เราก็จะได้มีความสุขโดยที่ไม่ต้องกังวลอะไรซักที” เสียงของเขาแผ่วลงจนแทบกลืนหายกับลมหายใจ ริมฝีปากสั่นเบา ๆ คล้ายจะควบคุมคำพูดไม่อยู่
เธอส่ายหน้าช้า ๆ เหมือนคนที่ไม่อยากพูดซ้ำให้เจ็บซ้ำ เธอก้าวเข้ามาหาเขาอีกก้าวหนึ่ง แล้วนั่งลงเคียงข้าง ห่างเพียงครึ่งฝ่ามือ
มือเล็ก ๆ ของเธอยื่นไปแตะหลังมือเขาเบา ๆ ปลายนิ้วเย็นเฉียบวางแผ่วลงบนผิวอุ่นของเขาราวสายลมยามค่ำ
“พี่เหนื่อย ฉันก็เหนื่อย แต่ฉันไม่เคยคิดว่าความเหนื่อยของเรามันไร้ความหมายเลยนะ”
เอกภพเบนหน้าหนีทันที สีหน้ากราดเกรี้ยวแปรเปลี่ยนเป็นอึดอัด มืออีกข้างยกขึ้นลูบขมับแรง ๆ เหมือนพยายามสลัดความคิดในหัว
เขาหายใจฟึดฟัด เสียงลมหายใจแผ่วหนักกระแทกออกมาจากโพรงจมูกเป็นจังหวะถี่
“แต่พี่ก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้อีกแล้ว”
ทิพย์ธารานั่งเงียบอยู่อึดใจ ราวกับชั่งใจอยู่นานว่าเรื่องที่กำลังจะพูดนั้นควรหรือไม่ควร เธอหลุบตาลงต่ำ แล้วจึงเอ่ยเสียงเรียบ
“ถ้างั้น ฉันคงต้องกลับไปหาแม่ ให้แม่เห็นเงินก้อนที่เรามีตอนนี้ แม่จะได้เลิกเอาอะไรจากพี่ แล้วพี่ก็จะได้เลิกกดดันตัวเองสักที”