“กรี๊ดดดดดดดด!! เพื่อนฉันมีแฟนแล้วโว้ยยยยยยย!!”
“ยัยแป้งร่ำอย่ากรี๊ด! เดี๋ยวข้างห้องก็มาเคาะประตูประท้วงกันพอดี” ทิพย์ธาราพูด พร้อมกับเอื้อมมือไปปิดปากแป้งร่ำที่กำลังกรี๊ดอย่างเอาเป็นเอาตาย
“อุ๊ย ลืมตัวไปเลยอะ ขอโทษที” แป้งร่ำลดเสียงลงพลางทำหน้ายิ้มแหย ๆ
แป้งร่ำเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอียงหูไปที่ประตูเหมือนกำลังฟังว่ามีใครมาเคาะห้องหรือไม่
“แล้วนี่ไม่กลัวน้าวารีจะว่าอะไรแล้วหรือไง?” เธอถามเสียงแผ่วลงอีก ขณะคีบข้าวเม่าทอดที่อยู่ในจานตรงหน้าเข้าปาก “ที่ตั้งใจจะมาเก็บเงินส่งให้แม่ กลายเป็นมีแฟนกลางทางแบบนี้…ฮิ้วววว~”
“ก็...ยังไม่ต้องให้รู้หรอกน่า” ทิพย์ธาราวางแก้วน้ำลงบนพื้น ก่อนจะพิงหลังกับผนังห้องเบา ๆ พลางยิ้มนิด ๆ
“รอวันที่ฉันพร้อมก่อนค่อยบอก”
“พร้อมอะไรล่ะ พร้อมแต่งเลยเหรอ” แป้งร่ำหรี่ตาแล้วหัวเราะคิก
“โอ๊ยย ฉันนึกภาพน้าวารีนั่งหน้าขรึมอยู่ข้างเตาไฟแล้วพี่เอกภพเดินยิ้มละมุนเข้าไปขอจับมือลูกสาว…ไม่ไหว!”
“จะเว่อร์ไปไหน” ทิพย์ธาราส่ายหน้าขำ
“แม่ฉันน่ะ ถ้ารู้เร็วตอนนี้ก็ดุเอาเปล่า ๆ ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปก่อนเลย”
แป้งร่ำพยักหน้าหงึก ๆ แล้วหันกลับมามองเพื่อนด้วยแววตาเป็นประกาย
“ว่าแต่...บอกฉันมาเลยดีกว่า ว่าพี่เอกเขาขอเธอเป็นแฟนตอนไหน ไหน ไหน ไหน!”
ทิพย์ธารายกมือกุมหน้าตัวเองครึ่งหนึ่งแบบเหนียม ๆ แต่ปากก็ยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ “ก็...วันก่อน...เขามารับแล้วแวะไปสวนสาธารณะตรงเนี๊ยะ แล้วเขาก็บอกว่า...”
เธอหยุดเล็กน้อย ยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองราวกับจะเช็กว่าแดงอยู่ไหม
“ว่าไง!” แป้งร่ำโน้มตัวเข้ามาใกล้จนหน้าจะชนอยู่แล้ว
“เขาเอาสร้อยให้ฉันแล้วบอกว่าเธอจะเป็นแฟนพี่ได้ไหม?” ธาราพูดเร็ว ๆ เหมือนกลัวตัวเองจะพูดไม่จบ แล้วเอามือปิดหน้าแน่นกว่าเดิม
“ว๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!” แป้งร่ำลั่นเสียงหลง กลิ้งตัวไปมาบนเสื่อเหมือนลูกบอล
“พูดไปนั่น ละมุนอะไรขนาดนี้ หลุดมาจากนวนิยายชัด ๆ !”
“แล้วเธอก็บอก 'ตกลงค่ะพี่เอก' อย่างงี้ใช่มั้ย!” แป้งร่ำถามต่อเสียงหลง
“บ้าเหรอ ฉันไม่พูดแบบนั้น!” ทิพย์ธารารีบยกมือตีแขนเพื่อน
แป้งร่ำได้ยินอย่างนั้นก็ค่อย ๆ ขยับหน้าไปใกล้เพื่อนทีละน้อย พูดไล่ระดับเสียงจากช้า เป็นเร็วด้วยตาเป็นประกาย
“แสดงว่าเวิ่นเว้อยิ่งกว่านั้น! ฮิ้วววว!”
ทิพย์ธาราเขินจนหน้าแดงเก็บอาการไม่อยู่ แป้งร่ำจึงถามขึ้นอีกครั้ง พร้อมยันตัวขึ้นมานั่งพับเพียบ ยกมือกุมแก้มเหมือนเด็กสาวดูละครทีวี
“แต่ก็เป็นแฟนกันแล้วจริง ๆ ใช่มั้ย?”
ทิพย์ธาราพยักหน้าเบา ๆ ยิ้มจนตาโค้ง
แป้งร่ำจ้องหน้าเพื่อนอยู่อึดใจ แล้วพูดเบา ๆ ออกแนวเซ็ง ๆ แทน
“เธอนี่นะ...ไปเร็วกว่าฉันอีก เผลอ ๆ ฉันยังไม่มีคนเดินจับมือ เธอจะมีคนมาขอแล้ว!”
“เดี๋ยวก็มีคนมาเดินจับมือเธอเองล่ะน่า เผลอ ๆ ก็จับแน่นมากกกก” ทิพย์ธาราพูดหยอก
“ถ้าเป็นพี่เอกภพฉันจะไม่แค่จับนะ ฉันจะโอบคอเลย!” แป้งร่ำพูดแล้วหัวเราะพรืด ๆ ขณะที่ธารายู่ปากเหมือนเด็กน้อย
“นั่นแฟนฉันนะ!”
“รู้แล้วน่า! แซวเล่นแหน่ะ” แป้งร่ำยิ้มกว้างอย่างหยอก ๆ ก่อนจะยื่นข้าวเม่าทอดอีกชิ้นไปจ่อปากเพื่อน “เอ้า กินข้าวเม่าฉลองความรักของเธอหน่อย!”
ทิพย์ธาราหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ก่อนจะงับข้าวเม่าทอดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลังจากที่ความรู้สึกระหว่างกันได้รับการเปิดเผย ทุกอย่างเหมือนจะเปลี่ยนไป แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังคงเป็นแบบเดิม
เอกภพไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนหวานหรือพูดคำสวยหรูขึ้น ทว่าในทุกวันกลับมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เขาน้ำเสียงอ่อนลงเมื่อพูดกับทิพย์ธารา เขามักจะเอื้อมมือมาดึงผมที่ปลิวเข้าปากให้ด้วยความเคยชิน
และเมื่อเข้าสู่สถานะที่ไม่ต้องหลบสายตากันอีกต่อไป เอกภพเริ่มชวนเธอไปดูที่ทำงานเล็ก ๆ ที่เขาทำงานอยู่ เป็นเสมียนในโรงงานแปรรูปโลหะที่อยู่ในย่านบางแค แต่นอกจากเป็นเสมียน เขายังโม้ว่าทำได้ทุกอย่างทั้งงานใช้สมอง ทั้งงานใช้แรงในโรงงานเพราะทำมาตั้งแต่เรียนจบมัธยมต้นแล้ว แต่ถึงแม้จะอยู่เพียงหน้าโรงงานไม่ได้เข้าไป เสียงเครื่องจักรดังกึกก้องสลับกับเสียงลมที่พัดผ่านช่องระบายอากาศออกมา ทิพย์ธารายืนอยู่ข้างเอกภพ ฟังเขาอธิบายเรื่องเหล็ก เรื่องน้ำหนัก เรื่องความร้อนด้วยแววตากระตือรือร้นที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เขายิ้มทุกครั้งที่หันมาเห็นว่าเธอฟังอยู่จริง ๆ
บางวันหยุดเขาก็พาเธอขับรถคันเก่าตัดทุ่งนาไกลออกไป ดูพระอาทิตย์ตกดินริมแม่น้ำ
บางวันพาแวะตลาดเก่าเจ้าพระยา ไปยืนเลือกขนมจีนกับลูกชิ้นทอดหน้าวัด
บางคืนพาขับรถเล่นเงียบ ๆ ใต้ท้องฟ้าสีกรม
และในที่สุด เขาก็ชวนเธอกลับไป “บ้าน” จริง ๆ
บ้านไม้สองชั้นในชุมชนเงียบ ๆ ที่ปลูกอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำสายเก่าแก่
บรื้นนน!...
เสียงรถสองแถวเคลื่อนผ่านถนนคอนกรีตแคบในชุมชนย่านชานเมืองลพบุรี บ่ายวันนั้น แดดอ่อนลงจากตอนกลางวันแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับเย็น ลมต้นฤดูฝนพัดแผ่วผ่านต้นมะม่วงหน้าบ้านคน เงาแดดพาดลงบนแผ่นหลังคาสังกะสีเป็นลายซ้อนทับกันอย่างนุ่มนวล
เอกภพชะลอรถ แล้วเอี้ยวตัวมาทางเธอ
“ใกล้ถึงแล้วนะ เหนื่อยมั้ย?”
ทิพย์ธาราหันมายิ้มส่ายหน้าเบา ๆ
“ไม่เหนื่อยเลย แค่ตื่นเต้นนิดหน่อย”
เขาหัวเราะในลำคอ ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยตัวเอง
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก แม่พี่ใจดีออก… ชอบทำของกินแจกทั้งซอยเลยนะ โดยเฉพาะน้ำปลาหวานน่ะ โคตรดัง”
เธอยิ้มตามทันที
“จริงหรอ? เหมือนที่พี่เคยเล่าเลย ว่ามีเพื่อนกลับไปลพบุรีแล้วยังถามหาน้ำปลาหวานแม่พี่อยู่”
“ใช่… อย่าเผลอชมละ เดี๋ยวแม่ยัดใส่ถุงให้กลับกรุงเทพเป็นสิบถุงแน่”
รถหยุดหน้าบ้านไม้สองชั้นที่มีสีฟ้าหม่น ซีดจากแดดและฝนบางฤดู ราวกับเวลาค่อย ๆ ลอกเปลือกของอดีตออกทีละชั้น แต่ทิพย์ธารากลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากหน้าต่างบานเก่าที่เปิดค้างไว้
“นี่ไง บ้านแม่พี่” เอกภพพูดขึ้นเบา ๆ พลางยกมือชี้ออกไปทางหน้าต่างกระจกด้านข้างรถ
ทิพย์ธาราที่กำลังนั่งพิงเบาะอยู่ค่อย ๆ หันหน้าไปตามมือเขาช้า ๆ สายตาเธอจับจ้องไปยังบ้านไม้หลังเล็กหลังหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ มีรั้วไม้เตี้ย ๆ อยู่รอบบ้าน และชายคาที่ยื่นออกมาพอให้บังแดดยามบ่าย บ้านไม่ใหม่ ไม่หรู ไม่มีลวดลายสะดุดตาใด ๆ แต่มันกลับดูอบอุ่นอย่างประหลาด
เธอมองนิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วริมฝีปากก็คลี่ยิ้มจาง ๆ
“อืม... บ้านน่ารักดีนะ” เสียงเธอเบา เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับเขา
เอกภพเหลือบมองเธอจากมุมหางตา ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างพึงใจ เขาหยุดชี้ แล้วเอามือกลับมาวางบนพวงมาลัยรถเบา ๆ นิ้วเคาะจังหวะไปตามนิสัย
“ชีวิตพี่... ทั้งบ้าน ทั้งครอบครัวพี่ คล้ายกับฉันมากเลยล่ะ” เธอพูดขณะยังมองไปที่บ้านนั้น “เห็นแล้วก็คิดถึงบ้านจัง” เธอพึมพำในลำคอ
“แล้วพี่โตที่นี่เลยหรอ?” เธอถามขึ้นใหม่ เสียงนุ่มเหมือนกลัวจะรบกวนบรรยากาศเงียบสงบรอบตัว
เขาพยักหน้า “ก็ทั้งชีวิตนั่นแหละ…” เขาเอียงหน้ามองเธอหน่อยหนึ่ง “วันนึงถ้าเราต้องกลับมาเริ่มใหม่ ไม่ว่าจะจากอะไรนะ พี่ว่าก็คงกลับมาที่นี่แหละ”
เธอไม่ตอบทันที แค่เบนตามามองเขา ลมหายใจเบา ๆ รินผ่านจมูก
คำพูดของเขาเรียบง่าย แต่กลับมีบางอย่างสะกิดในใจ คล้ายกับเวลาคนพูดอะไรที่ดูเหมือนเล่น ๆ แต่กลับจริงกว่าที่คิด
“แต่ถ้าถึงตอนนั้นเธอจะยังอยากมากับพี่รึเปล่าน้า?” เอกภพพูดขึ้นใหม่ พร้อมทำเสียงหยอก แววตาก็ล้อเลียนนิด ๆ
“อยู่สิ... แค่มีพี่อยู่ด้วย ฉันจะไปอยู่ไหนก็ได้ไม่ใช่หรอ?” ทิพย์ธาราย่นจมูก แล้วยิ้มมุมปาก
เธอเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นทำนองแซว ๆ “แล้วทำไมพี่ถึงไม่ไปเริ่มที่บ้านฉันบ้างล่ะ?”
เอกภพหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ไม่ได้รีบตอบทันที เขาขยับตัวนิดหน่อย พลางหันมามองหน้าเธอ
“ก็คงได้...” เขาพูดช้า ๆ เสียงเรียบ “ถ้ากลับไปเริ่มใหม่ที่บ้านธารา แล้วไม่มีใครเฉดหัวพี่อะนะ… ฮ่า ๆ”
“จริงด้วย เดาถูกเผงเลยพี่ เพราะแม่ฉันดุมากเลยล่ะ ไม่ต้องไปหรอก” เธอหัวเราะในลำคอ ส่ายหน้าช้า ๆ
เสียงหัวเราะของทั้งสองคนผสมกันเบา ๆ ในรถ เอกภพเอียงตัวไปหาเธอเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนจากล้อเล่นเป็นครุ่นคิด
“แต่ไม่แน่... แม่เธออาจจะใจดีแค่กับพี่ก็ได้นะ...” เขาว่า
ทิพย์ธาราขมวดคิ้วเบา ๆ แล้วหันไปจ้องหน้าเขา
“ทำไมมั่นใจจัง?” เธอเลิกคิ้วถาม
เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ค่อย ๆ โน้มตัวเข้าใกล้เธออีกนิด ดวงตาเขามีแววขี้เล่นซ่อนอยู่
“ก็พี่เป็นคนรักเธอไง” เขาโน้มหน้ามาใกล้ ๆ ทิพย์ธารา แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะลูบปลายจมูกเธอเบา ๆ ด้วยสีหน้าหมั่นเขียว
...
ช่วงบ่าย ๆ ในบ้านไม้สองชั้นยกพื้นสูงของแม่เอกภพอบอวลด้วยบรรยากาศอ่อนโยน โครงสร้างเก่าทว่าสะอาดเรียบร้อย เผยให้เห็นถึงความพิถีพิถันของผู้อยู่อาศัย กลิ่นกับข้าวจากครัวหลังบ้านลอยมาแตะจมูกตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวพ้นบันได เป็นช่วงเวลาที่ทิพย์ธาราได้กลายเป็นคนคุ้นเคยในสายตาของครอบครัวเอกภพแล้ว
“กินเลยนะลูก ไม่ต้องเกรงใจ” เสียงทุ้มนุ่มเปี่ยมไมตรีดังทันทีที่ทิพย์ธาราก้าวเข้าครัวไม้โล่ง แม่ของเอกภพยิ้มกว้าง ยื่นจานมะม่วงเขียวเสวยแนมน้ำปลาหวานในถ้วยเล็ก
กลิ่นน้ำตาลปี๊บกับกะปิอบอวล มือยังเหนียวจากน้ำปลาหวาน แต่เธอก็รีบเชื้อเชิญให้นั่งบนเสื่อกลางบ้านด้วยท่าทีอบอุ่นจนใจเธอพลอยอุ่นตาม
“มีอีกเยอะ! แม่ทำไว้แจกทั้งซอยอยู่แล้วน่ะ น้ำปลาหวานนี่ ของขึ้นชื่อเลยนะ” หญิงวัยกลางคนหัวเราะเสียงนุ่ม
บรรยากาศบนเรือนชั้นบนร่มรื่น แม่และทิพย์ธารานั่งคุยกันใต้พัดลมเพดานที่หมุนเอื่อย ในครัวด้านหลัง จันทร์ น้องสาวของเอกภพกำลังล้างผักอยู่บ้าง หั่นของอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ลืมที่จะแทรกบทสนทนาของเธอเข้ามาเป็นระยะ
“พี่ธารานี่พูดเพราะดีจังเลยนะ ช่วยแม่ทำทุกเมนูเลย” จันทร์พูดพร้อมรอยยิ้มจริงใจ
“ไม่เหมือนบางคนแถวนี้ พี่เอกน่ะ ตอนกลับบ้านทีไร เหนื่อยก่อนทำทุกที”
เอกภพหัวเราะทันที “ก็พี่ทำงานมาเหนื่อยนี่ครับ ไม่เหมือนธารา เค้าเก่งกว่าเยอะ ธาราเคยบอกว่าตอนเด็กถ้าแม่ของธาราให้กู้โลกได้ ก็คงทำด้วยแล้ว”
แม่หันมายิ้มอย่างเอ็นดู ดวงตาเปล่งประกายบางอย่างที่มีความสุขอยู่ลึก ๆ
“แม่ไม่แปลกใจเลยนะ ว่าทำไมเอกถึงจริงจังกับหนูมากขนาดนี้”
เธอเอื้อมมือมาแตะเบา ๆ ที่หลังมือของทิพย์ธารา
“ดูจากตาเอก แม่ก็รู้แล้วว่ารักเราขนาดไหน...”
ทิพย์ธารายิ้มค้างไปชั่วครู่ ใจเธอสั่นเบา ๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว ความอบอุ่นในคำพูดนั้นแทรกซึมเข้าในใจเหมือนแสงแดดท้ายวันที่ลอดผ่านม่านไม้รอบบ้าน
เธอหันไปมองเอกภพ ฝ่ายนั้นไม่พูดอะไร แต่ยิ้มบาง ๆ ในแววตามีประกายเฉพาะที่เธอเพิ่งเริ่มจะเข้าใจ
จันทร์เองก็หันมามองพี่ชาย แล้วยิ้มขำ
“แม่พูดซะ พี่เอกจะตัวลอยแล้วมั้ง”
“ก็ดีแล้ว จะได้รู้ตัว” แม่หัวเราะอารมณ์ดี
“ต่อไปมาบ่อย ๆ นะลูก อยู่กับเราแล้วบ้านมันครึกครื้นขึ้นเยอะเลย”
ทิพย์ธารายิ้มเต็มหน้าในขณะที่เอกภพเดินมาเท้ากรอบประตูครัว สบตาเธอพลางพูดเบา ๆ
“บอกแล้วว่าแม่พี่ใจดี”
...
หลังอาหารเย็น เอกภพกับทิพย์ธารานั่งเล่นอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน
ทิพย์ธาราเอนหลังพิงเสาไม้ มือถือพัดปัดยุงเบา ๆ พลางเหลือบมองเอกภพที่นั่งกอดอกหลับตาอยู่ข้าง ๆ
"หลับหรอพี่?"
"เปล่า" เขาตอบทั้งที่ตายังหลับอยู่
"แค่พักสายตา เหนื่อยจากการล้างจานสามใบเมื่อกี้"
"โอ๊ย... สามใบก็เหนื่อย?" เธอหลุดหัวเราะ
"เธอลองล้างกะปิน้ำปลาหวานแม่พี่ดูก่อน แล้วจะรู้ว่ามันเหนียวระดับไหน"
"แสดงว่าเมื่อก่อนแม่ก็คงต้องเหนื่อยแทนพี่บ่อยเลยสิ" เธอแกล้งแซว
เอกภพลืมตาขึ้น เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์
"อ้าว แล้วนี่ใครเป็นแฟนพี่แล้วน้า~ คิดว่าคิวต่อไปของคนล้างน่าจะไม่ใช่แม่ละมั้ง?"
"อ๋อ~ งั้นเลิกเลยมั้ยน้า จะได้ไม่ต้องล้าง" เธอพูดหน้าตาย แต่หันไปยิ้มกว้างให้เขา
เอกภพหัวเราะพรืด "เอ้า ทำไมใจร้ายล่ะครับ ขู่แค่นี้เอง"
"ขู่? ฉันเรียกว่า ‘เตือนด้วยความหวังดี’ ต่างหาก" เธอยักคิ้วใส่ก่อนจะหันไปพัดต่อแบบคนไม่รู้สึกรู้สา
เขาหันมามองเธอนิ่ง ๆ แล้วค่อย ๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้
"พี่เอก จะทำอะไร"
"เอาหูมาหน่อย"
"อะไร?"
"ว่า..." เขาเว้นจังหวะแล้วแกล้งทำเสียงกระซิบข้างหู
"...พัดโดนหน้าพี่หลายทีแล้วนะครับเธอ พอได้แล้ว"
เธอหน้าเหวอไปครู่ ก่อนจะระเบิดหัวเราะแล้วรีบหดพัดกลับ
"นึกว่าจะพูดอะไรหวาน ๆ!"
"พี่พูดจริง นี่โดนพัดจนเกือบลืมไปเลยว่ากำลังจีบอยู่" เขาทำหน้าทะเล้น
ทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมกัน เสียงหัวเราะลอยแทรกกับเสียงลมและแมลงยามค่ำคืนอย่างลงตัว
ฟิ้ว ฟิ้ว~