ปู้นนน...
เสียงหวูดรถไฟดังก้องขึ้นในยามเช้าตรู่ ดังฝ่าเข้ามาในความเงียบที่ขึงตึงอยู่เหนือสถานีเล็ก ๆ ริมทาง
ทิพย์ธาราเหลือบตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อเสียงนั้นลอดเข้าโสต ริมฝีปากเม้มแน่นโดยไม่รู้ตัว ลมเช้าพัดชายกระโปรงสีหม่นของเธอเบา ๆ จนปลายผ้าสะบัดริ้วชิดกัน
เธอนั่งอยู่ตรงม้านั่งไม้เก่าที่ถูกแดดฝนชะจนสีซีด ตัวม้านั่งงุ้มไปเล็กน้อยตามอายุการใช้งาน
สายตาของเธอมองไปข้างหน้า แต่เหมือนไม่ได้มองอะไรจริงจัง
บนเสาริมชานชาลา มีแผ่นประกาศที่ติดไว้ด้วยหมุดสองตัว หัวกระดาษยับเล็กน้อย แต่ตัวอักษรยังชัดเจน
“รถไฟฟรี ขบวนสายเหนือ เชียงใหม่-กรุงเทพ”
ทิพย์ธาราลุกขึ้นช้า ๆ เดินไปหยุดยืนอยู่หน้าป้าย ใช้มือแตะที่มุมกระดาษเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ไล่สายตาไปตามรายชื่อสถานี
“ตาก สุโขทัย พิษณุโลก สิงห์บุรี ลพบุรี บางเขน หัวลำโพง”
สายตาเธอหยุดอยู่ตรงคำว่า “ลพบุรี” อย่างเงียบงัน
ริมฝีปากขยับเล็กน้อยโดยไม่มีเสียง
เธอหันไปมองผนังไม้ด้านข้างของสถานี ที่นั่นมีแผนที่เก่ากรอบ ๆ ติดอยู่ในกรอบกระจก ข้างในมีเส้นทางรถไฟสีแดงคดเคี้ยวคล้ายเส้นด้ายบนผืนผ้า
เธอเดินเข้าไปใกล้แผนที่นั้นอีกก้าว จ้องไปยังชื่อเมืองที่ฝังอยู่ในความทรงจำ
“ลพบุรี”
ชื่อเมืองนั้นผุดขึ้นมาอย่างเงียบงันในใจเธอ เธอจำได้แม่น เมื่อหลายเดือนก่อน เอกภพเคยพาเธอไปลพบุรีครั้งหนึ่ง หลังจากคบกันได้สักพัก เขาพูดถึงที่นั่นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น บ้านแม่เขาอยู่แถวงิ้วราย ติดแม่น้ำลพบุรี และยังมีน้องสาวที่บ้านชื่อ “จันทร์” ส่วนพี่ชายและน้องชายคนอื่นของเขาไม่ได้ปักหลักปักฐานอยู่ที่บ้านเช่นเดียวกับพี่เอก แม่ของเอกภพอ่อนโยน ใจดี และเคยพูดว่า “ดูจากตาเอกก็รู้แล้วว่ารักเราขนาดไหน”
ทำไมเธอถึงไม่คิดว่าจะต้องกลับไปหาเขาที่กรุงเทพเลยสักนิดล่ะ ทำไมถึงไม่คิดว่าเขาจะอยู่ที่นั่นที่หอพักแห่งเดิมแล้วในตอนนี้
“ถ้าเขากลับไปตั้งหลักจากเรื่องอะไรสักอย่าง เขาต้องอยู่ที่ลพบุรีแน่ ๆ”
“ถ้าเขายังคิดถึงฉัน เขาจะรอฉันที่นั่นไหม”
เธอก้มมองรองเท้าเก่าที่ใส่จากบ้านมา ริมขอบผ้ายังเปื้อนดินจากใต้ถุนบ้าน แล้วค่อย ๆ สูดหายใจเข้าลึก
เสียงล้อเหล็กบดรางดังมาแต่ไกล รถไฟขบวนฟรีสีแดงคาดเหลืองค่อย ๆ เคลื่อนเข้าสถานี คนโดยสารยังไม่มากนัก มีแม่ค้าหาบเร่ ชาวบ้านใส่ผ้าถุง หิ้วตะกร้าผัก และพระภิกษุที่ยืนสงบอยู่ปลายชานชาลา
“ลพบุรี ถ้าเขาไม่อยู่ ฉันก็แค่นั่งรถต่อไปกรุงเทพก็ได้ แวะที่ลพบุรีก่อนก็แล้วกัน”
เสียงในใจเปล่งออกมาชัดเจน แต่นิ่งเรียบ
เธอค่อย ๆ ลุกขึ้น หันไปมองขบวนรถที่กำลังชะลอจอดชิดชานชาลา ขบวนรถดูเก่า สีซีดจากแดดและฝน แต่ยังมีพลังของการพาใครบางคนไปถึงปลายทางได้
ทิพย์ธาราก้าวเท้าช้า ๆ ไปทางประตูรถ
หนึ่งก้าว...
สองก้าว...
เธอหยุดชั่วครู่ที่บันไดเหล็ก
มือหนึ่งจับราวแน่น แล้วเหลียวมองสถานีเล็ก ๆ เบื้องหลัง สถานีเดิมที่คุ้นตาเหลือเกิน แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งที่เธอทิ้งไว้เบื้องหลัง
ในที่สุด เธอก็ก้าวขึ้นบันไดนั้นไปทีละขั้น จนเข้าไปในโบกี้
หญิงสาวเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง ตัวเก้าอี้หนังเทียมลอกบางจุด มีรอยเย็บซ่อมที่หัวมุมหน้าต่าง เธอวางกระเป๋าไว้บนตัก ปรับชายกระโปรงให้เข้าที่ แล้วพิงแผ่นหลังลงบนพนักพิง
สายตาเธอทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงสีชมพูระเรื่อยังคลุมอยู่ทั่วทุ่งนาไกลโพ้น เสียงล้อเริ่มกระทบรางเป็นจังหวะ
รถไฟขบวนเก่าค่อย ๆ สะเทือนเบา ๆ แล้วเคลื่อนออกจากชานชาลาช้า ๆ
ที่ค่อย ๆ พาเธอออกจากบ้านเก่า
…
เงาของแสงแดดสาดผ่านหลังคาสังกะสีเหนือชานชาลา ปลายเท้าของทิพย์ธาราแตะพื้นรางเหล็กเบา ๆ เธอยืนนิ่งราวกับจะให้ร่างกายปรับสมดุลกับแรงสะเทือนของขบวนรถที่เพิ่งหยุดนิ่ง หูยังอื้อเบา ๆ จากเสียงหวูดที่ดังมาก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที
เธอยืนมองซ้ายขวา ตาไล่ดูป้ายชื่อสถานีอย่างสับสน ในหัวมีแค่ภาพจำบางเบาเมื่อหลายเดือนก่อนที่เอกภพพาเธอมาเที่ยวตลาดเก่าริมแม่น้ำ พาไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าเก่า แล้วบอกว่า “บ้านแม่พี่อยู่แถวงิ้วราย ห่างจากตรงนี้ไม่ไกลเท่าไหร่”
เธอไม่รู้ว่าบ้านนั้นอยู่ตรงไหนเป๊ะ ๆ จำได้เพียงว่า มีซอยเล็ก ๆ ที่มีต้นพิกุลหน้าบ้านเก่า ๆ หลังหนึ่ง กับแม่น้ำที่เห็นเรือหาปลาไหลผ่านตอนพระอาทิตย์ตก
“งิ้วราย ต้องไปทางไหนนะ”
เธอเดินออกจากสถานีรถไฟอย่างลังเล ถามคนขายข้าวเหนียวหมูปิ้งตรงปากซอยสถานี
“ลุงจ๊ะ ถ้าจะไปงิ้วราย ต้องไปทางไหนหรอจ๊ะลุง”
“อ๋อ ไปแถว ๆ ริมน้ำใช่มั้ยหนู นั่งสองแถวไปได้ รถผ่านอยู่เรื่อย ๆ” ลุงชี้ไปทางป้ายรอรถ
ที่นั่งยังว่างเกือบทั้งคัน เบาะสีเลือดหมูเก่ามีรอยปริตรงมุม ขณะเธอนั่งลง ร่างโยกเล็กน้อยตามแรงรถที่เคลื่อนไปข้างหน้า ลมตีหน้าเป็นจังหวะ สลับเย็นกับร้อน กลิ่นฝุ่นผสมกลิ่นดินแห้งแตะจมูกเบา ๆ
สองมือวางลงบนตัก ดวงตาเหม่อมองผ่านข้างทาง บ้านไม้หลังคาจั่ว ทุ่งโล่งและร้านค้าเล็ก ๆ ไหลผ่านสายตา เหมือนฉากภาพยนตร์ที่เลื่อนช้า
แล้วภาพจำก็ผุดขึ้นในใจ
“นี่ไง บ้านแม่พี่” เสียงเอกภพในวันนั้น ยังดังก้องอยู่ในหู ริมฝีปากเธอขยับน้อย ๆ ตาม
บ้านไม้สองชั้น สีฟ้าหม่น มีบันไดยกพื้น ต้นพิกุลปลูกอยู่หน้าบ้าน กลิ่นพิกุลจาง ๆ ลอยมาตามลมในความทรงจำ
“แม่ใจดีนะ ชอบทำน้ำปลาหวานแจกทั้งหมู่บ้านเลย”
เธอยิ้มตอนนั้น และเขาก็ยิ้มตอบ
“วันนึงถ้าเราต้องกลับมาเริ่มใหม่ ไม่ว่าจะจากอะไรก็ตาม พี่ก็คงกลับมาที่นี่แหละ”
ล้อรถสองแถวบดกับทางลาด เสียงล้อสะเทือนเป็นสัญญาณให้เธอรู้ว่าถึงหน้าปากซอย
เธอก้าวลงช้า ๆ เท้าสัมผัสพื้นร้อนแห้ง เธอยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ดวงตาหรี่ลงเพื่อมองลึกเข้าไปในซอยแคบ ๆ ที่เงียบงัน มีเพียงเสียงนกกระจิบกระจอกแว่วเบา
เธอเริ่มก้าวเข้าไป ซอยแคบลงทุกฝีก้าว มีบ้านไม้เรียงอยู่ห่าง ๆ กัน รั้วบางหลังเป็นไม้ไผ่สาน บางหลังเป็นรั้วซีเมนต์เตี้ย ๆ มีไม้ระแนงปลูกไม้เลื้อย
ฝ่าเท้าเธอกระทบพื้นกรวดละเอียด เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นพร้อมกับจังหวะลมหายใจช้า ๆ
แล้วเธอก็หยุด
ตรงหน้าคือบ้านหลังหนึ่ง บ้านไม้ยกพื้นสูง สีฟ้าซีด เงาไม้ทาบลงบนผนังด้านข้าง หน้าบ้านมีต้นพิกุลสูงท่วมหัว กลีบดอกแห้งร่วงลงตามพื้นราวฝุ่นสีขาว
เธอไม่แน่ใจว่าบ้านนี้คือบ้านนั้น
แต่หัวใจเธอบอกให้ยืนตรงนี้
เธอเดินไปใกล้รั้วไม้เก่าทีละก้าว รั้วสีลอกเห็นเนื้อไม้ รอยตะปูขึ้นสนิมตามขอบ
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากในบ้าน
หญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาจากหลังเสาเรือนไม้ ผิวเข้ม หน้าตาคมคาย หุ่นผอมสูง ตาสองข้างเบิกโตอย่างตกใจ
เธอจ้องทิพย์ธารา ราวกับกำลังมองผีหลอกกลางวันแสก ๆ
“พี่เอก! คาถาของพี่ได้ผลจริงว่ะ! พี่ธารากลับมาจริง ๆ!”
เสียงนั้นสดใส ตื่นเต้น ราวกับคนที่ถูกหวยรางวัลใหญ่
ทิพย์ธาราชะงักไปครู่ ดวงตากะพริบถี่
‘คาถา?’ หัวใจเธอเต้นตึงขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้สาเหตุ
คำพูดของหญิงสาวคนนั้น จันทรา ไม่ใช่คำทักทายแบบคนที่รู้จักกันในฐานะพี่สะใภ้กับน้องเขย แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในถ้อยคำที่ฟังคล้ายจะล้อเล่น ทว่าแฝงความจริงแปลกประหลาด
‘เขา…เล่นของเหรอ’
หรือเอกภพจะทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เธอกลับมา?
ความคิดแล่นวาบเข้ามาในหัวอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งที่มันฟังดูเหลวไหลและไม่น่าเป็นไปได้ แต่แววตาเปี่ยมความเชื่อมั่นของหญิงสาวตรงหน้านั้นก็ทำให้เธออดรู้สึกสะท้านไม่ได้ จันทรายืนพิงประตูไม้แง้มอยู่ เธอไม่พูดอะไรต่อ แค่ยิ้มปากบาง ๆ ดวงตากลมโตยังไม่ละจากทิพย์ธารา คล้ายเด็กสาวที่กำลังมองดูของขวัญวันเกิดที่ไม่คิดว่าจะได้
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังมาจากบันไดไม้ชั้นบน เป็นเสียงฝีเท้าไม่เร็วนัก ไม้บันไดสีน้ำตาลหม่นมีรอยแตกร้าวที่ขอบขั้นกลาง เสียงบันไดลั่นกรอบแกรบเล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวตรงปลายบันได
เสื้อยืดสีเทาซีดตัวหนึ่งหลวมเล็กน้อยพาดอยู่บนร่างกำยำของเขา แขนเสื้อปล่อยหลุดคล้ายไม่ได้ตั้งใจใส่ให้เรียบร้อย กางเกงผ้าฝ้ายสีจางธรรมดาห้อยอยู่ตรงเอวพอดี ร่างกายเขาดูผอมกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ใบหน้านั้นชัดเจนพอจะทำให้ใจเธอร่วงลงตรงพื้นดินได้
เอกภพ
เขาหยุดยืนชั่วครู่ตรงชานบันได ราวกับพยายามแน่ใจว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ภาพฝัน จากนั้นจึงค่อย ๆ ขยับตัวลงมาทีละขั้น เสียงไม้ดังแผ่วรับกับน้ำหนักตัวเขา
ทิพย์ธาราขยับเท้าโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเขาก้าวถึงพื้นล่าง เอกภพก็ไม่รีบร้อนจะพูดอะไรในทันที เขาหยุดอยู่หลังประตูรั้วไม้ ดวงตาคมจ้องเธอเหมือนกำลังจดจำรายละเอียดทุกอย่างของใบหน้าเธอใหม่อีกครั้ง
รั้วไม้สูงแค่เอวมีตะไคร่น้ำขึ้นตามขอบบน บานพับขึ้นสนิมเล็กน้อย แต่เอกภพไม่ได้แตะประตูเลย เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาเขาไม่ได้แดง ไม่มีน้ำตา แต่ลึกเข้าไปข้างในกลับเหมือนมีอะไรสั่นไหว
“ธารา”
เสียงของเขาเบา…แต่ชัดถ้อยชัดคำ มันไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ก็ไม่ใช่คำพูดธรรมดา
เธอไม่ได้ตอบ แค่ยืนนิ่ง ดวงตาเธอกะพริบช้า ๆ ริมฝีปากขยับน้อย ๆ แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
“พี่ขอโทษ”
เขาพูดต่อ ริมฝีปากเขาขยับช้า ๆ ไม่เร่ง ไม่ซ้ำคำ แต่เสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับหนักแน่นจนคนฟังสะเทือนถึงอก
เธอไม่ได้ตอบอะไรในทันที ร่างบางยืนนิ่งเพียงครู่
เอกภพขยับตัวเล็กน้อย คล้ายอยากเข้าไปหา แต่ก็หยุดตัวเองไว้ คล้ายลังเลว่าเธอจะยังยอมรับเขาได้ไหม เอกภพยังคงยืนหลังประตูอยู่ เงาของเขาและเธอยืดยาวทาบลงบนพื้นดินในทิศเดียวกัน
ทิพย์ธาราสูดลมหายใจเงียบ ๆ หนึ่งครั้ง แล้วพูดออกมาช้า ๆ
“ฉัน…กลับมาแล้วพี่เอก”
เธอยกมือขึ้นเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ยื่นออกไปช้า ๆ มือที่ไม่ได้มีท่าทีเรียกร้อง ไม่ได้สั่น แต่มั่นคงพอจะสื่อว่า ‘ฉันยังอยู่ตรงนี้’
เอกภพมองมือของเธอ เขายืนนิ่งราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็น ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะยื่นออกมาช้า ๆ เชิงลังเล แล้วในที่สุดปลายนิ้วทั้งสองก็แตะกัน
เขากุมมือเธอไว้เบา ๆ
มือของเขาเย็น แต่แน่น เส้นเลือดบนหลังมือปูดชัดราวกับผ่านอะไรหนักหนามาเกินกว่าจะบรรยาย
เอกภพไม่พูดอะไรอีก แค่ผลักประตูรั้วออกเบา ๆ ด้วยมือข้างที่ยังว่าง บานไม้เก่าแกร๊กออกไป เผยให้ร่างเล็กของเธอก้าวผ่านเข้ามา
ทิพย์ธาราเดินเข้าไปหาช้า ๆ ก้าวเท้าลงบนพื้นดินอย่างระวัง ราวกับทุกย่างก้าวนั้นคือการกลับบ้านหลังจากผ่านพายุ
พอถึงระยะที่พอได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน เธอก็หยุด
“พี่ ไม่เคยหยุดโทษตัวเองเลยธารา พี่แม่ง เลวจริง ๆ”
“วันนั้น พี่เห็นหน้าตาเธอตอนที่ตกใจ พี่ไม่มีวันลืมเลย”
เสียงของเขาเบา แต่ตรง มองตาเธอไม่หลบ
เธอเอื้อมมือข้างหนึ่งแตะต้นแขนเขาเบา ๆ เหมือนจะยืนยันว่าเธอฟังอยู่
เอกภพมองมือตัวเอง แล้วยกมืออีกข้างขึ้นแตะแก้มเธอเบา ๆ นิ้วหัวแม่มือแตะขอบโหนกแก้มลูบช้า ๆ คล้ายคนที่ยังไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ตรงหน้าแล้วจริง ๆ
แล้วเธอก็ขยับตัวเข้าหาเขาอีกนิด ก่อนจะโถมตัวเข้าไปกอดเขาโดยไม่พูดอะไร
กอดแน่น เงียบ ไม่มีเสียงสะอื้น ไม่มีคำพูดใด แต่วงแขนของเธอที่รัดเขาไว้แน่นนั้น กลับพูดได้มากกว่าอะไรทั้งหมด
เขากอดเธอกลับทันที มือใหญ่ของเขาลูบแผ่นหลังเธอเบา ๆ ซ้ำ ๆ ช้า ๆ อย่างคนที่กลัวว่าสิ่งที่กอดไว้นั้นจะหลุดมืออีก
กลิ่นเสื้อผ้า กลิ่นไม้ กลิ่นฝุ่น ละลายรวมกับกลิ่นของกันและกัน กลายเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย เหมือนวันเก่า ๆ ที่ไม่มีใครพูดถึงแต่ยังอยู่ครบทุกลมหายใจ
บนบันไดบ้าน จันทร์ยังยืนอยู่ เธอยิ้มกว้างขึ้นนิดหน่อย มองทั้งคู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกกะละมังใส่น้ำแล้วหันหลังเดินไปหลังบ้านอย่างแผ่วเบา
หญิงสาวหายเข้าไปหลังม่านไม้ไผ่โดยไม่พูดอะไร
เธอแค่เอาผ้าขนหนูไปซักในกะละมังเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งนั้น