“นังธารา…”
เสียงแหบเบา สั้นและแปลกประหลาด ราวกับพูดได้แค่นั้น แล้วคำอื่นทั้งหมดก็ขังอยู่ในลำคอ
ทิพย์ธาราเงยหน้าขึ้น ยืนอยู่ตรงขอบสนามหญ้า ยกมือขึ้นไหว้ตามสัญชาตญาณ
มือที่กร้านแดด มือที่เคยจับทัพพีมาเคาะกับตะกร้าเปล่าอย่างหงุดหงิด คราวนี้กลับแนบชิดอยู่ข้างลำตัวของแม่ ไม่ยกขึ้นตอบไหว้ แต่ก็ไม่ขยับหนี
“แม่” เสียงของทิพย์ธาราเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ฉันขอโทษ”
เสียงคล้ายลมหายใจ มากกว่าจะเป็นเสียงจริงจัง ทิพย์ธาราหลุบตาลงมองพื้น หัวไหล่ห่อเข้าหากันจนบ่าโค้งงอ เหมือนเด็กหญิงที่ยืนผิดตรงไหนสักที่ของบ้าน
แล้วเสียงที่สามก็ดังขึ้นจากข้างบน
“เอาเถอะแม่วารี มันกลับมาแล้ว อย่าเพิ่งตวาดมันนักเลย”
เสียงของพ่อพนาดังลอดระเบียงไม้ ร่างผอมสูงในเสื้อกล้ามสีหม่นค่อย ๆ เดินลงจากบันไดบ้าน มือหนึ่งเท้าราว มืออีกห้อยข้างลำตัว ดวงตาของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย แต่ยังไม่หมดแสง
พ่อหยุดอยู่ตรงขั้นล่างสุด มองลูกสาวที่ยืนอยู่ พ่อพนาเดินเข้ามาเงียบ ๆ จนใกล้พอจะยื่นมือแตะศีรษะเธอได้
มือที่เคยขุดดิน ปลูกมัน ถางป่าจนด้านหนา วางลงบนศีรษะเธอเบา ๆ โดยไม่พูดคำใดเกินกว่านั้น
“กลับมาได้ก็ดีแล้วลูกเอ๊ย”
ทิพย์ธารายืนนิ่งอยู่เช่นนั้น เม้มปากแน่นจนขอบริมฝีปากซีด แต่แล้วน้ำตาก็ซึมออกมาเงียบ ๆ เสียงสะอื้นไม่มี มีเพียงคราบเปียกที่ค่อย ๆ ไหลลงข้างแก้ม
กลิ่นไม้เก่าของเรือน กลิ่นเหงื่อของพ่อ และแววตานิ่ง ๆ ของแม่ที่ยืนอยู่ตรงนั้น มันไม่ใช่คำพูด แต่ก็เพียงพอจะทำให้ทุกอย่างที่เธอกั้นไว้อยู่ในใจพรั่งพรูออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว
แม่วารียังคงยืนนิ่งตรงที่เดิม สีหน้าเข้มขรึมไม่เปลี่ยน แต่ดวงตาอ่อนลง เธอกระพริบตาช้า ๆ แล้วพูดขึ้นในที่สุด
“เข้าไปล้างหน้าล้างตาอาบน้ำไป แล้วมากินข้าว”
น้ำเสียงยังนิ่ง ยังเด็ดขาดเหมือนเคย ไม่มีความนุ่มนวลให้เห็น แต่เสียงนั้นไม่ใช่เสียงตะคอกอีกแล้ว
ทิพย์ธาราพยักหน้าเบา ๆ แทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใคร เธอก้าวตามแม่ไปอย่างช้า ๆ ฝ่าเงาไม้ที่ทอดลงบนพื้น เงาของเรือนเก่าทับอยู่บนเงาของเธอพอดี
ร่างบางมอมแมม หัวฟูของหญิงสาวผอมบาง เดินตามร่างของแม่เข้าไปในบ้านอย่างช้า ๆ ราวกับคนหมดแรง
…
กลางคืนของวันที่ทิพย์ธารากลับมาถึง หลังจากที่เธออาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และนั่งเงียบอยู่บนแคร่ไม้หลังบ้านอยู่นาน มีเพียงเสียงจั๊กจั่นแว่วจากไกล ๆ ลอดผ่านพุ่มไม้และทุ่งหญ้าเข้ามาในความเงียบ พื้นไม้เย็นชืดใต้กาย
แม่วารีเปิดประตูบานไม้แง้มออก เสียงบานพับเก่าดังเอี๊ยดเบา ๆ ก่อนที่ร่างผอมบางในผ้าถุงลายดอกจะก้าวช้า ๆ ออกมา พร้อมกับถือผ้าห่มเก่า ๆ เดินมาจนถึงแคร่ แล้วย่อตัวนั่งลงข้างลูกเงียบ ๆ
“กินข้าวไปมั่งแล้วหรือยัง” แม่ถามเสียงเบา ดวงตาไม่จ้องมองลูกตรง ๆ มือพลางม้วนผ้าห่มที่ถือมา
ทิพย์ธาราพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาแดงเรื่อจากการร้องไห้จนบวม
“กินนิดหน่อยแล้วจ่ะแม่”
สองแม่ลูกนั่งเงียบอยู่เคียงกัน มีเพียงลมหายใจที่ระบายผ่านอกกับเสียงแมลงในคืนเปลี่ยว ความเงียบยาวนานจนกระทั่งแม่ถอนหายใจยาวอย่างกลั้นใจมาทั้งวัน
“กูก็โกรธนะที่มึงหนีไปแบบนั้น”
ทิพย์ธาราค่อย ๆ หันกลับไปมองหน้าแม่ แววตาคู่นั้นสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายมีบางอย่างจุกอยู่กลางอก ดวงตาเธอกลมใสแต่กลับหนักอึ้ง เหมือนซ่อนคำขอโทษไว้หลายพันคำที่ยังหาทางเอ่ยไม่ได้
“แต่ก็เป็นห่วงจนจะบ้าอยู่แล้วเหมือนกัน” น้ำเสียงนั้นไม่ดังนัก แต่ข่มอารมณ์เอาไว้แน่น เหมือนคำพูดเพียงสั้น ๆ นั้นมีหลายร้อยคืนที่นอนไม่หลับแฝงอยู่
ทิพย์ธาราหันมามองแม่อีกครั้ง ดวงตาไหวระริก สีหน้าเหมือนคนที่กำลังรวบรวมความกล้าจะสารภาพผิด แต่ยังไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหน ไม่รู้ว่าคำแรกควรเป็นคำว่าอะไรดี
“แม่” เสียงเธอเบาและชื้นเล็กน้อย
“ถ้าฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมด แม่จะโกรธไหม”
แม่วารีขยับตัวเล็กน้อย ราวกับเพียงจะเปลี่ยนท่านั่ง แต่ท่าทีเล็กน้อยนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงสะเทือนบางอย่างในอากาศ แม่วารียกมือขึ้นเสยผมหยักโศกที่ตกลงมาข้างแก้ม แล้วหันหน้ามาทางลูกสาว
สายตาคู่นั้นเข้มขึ้นในพริบตา นัยน์ตาดำขลับราวกับจะกลืนแสงที่ตกอยู่บนใบหน้า แต่ยังไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ทิพย์ธารากลืนน้ำลายอย่างฝืดฝืน ลำคอแห้งผากเหมือนกลืนฝุ่น หัวใจเต้นรัวจนได้ยินเสียงในอกของตัวเองชัดเจนเกินไป มือสองข้างที่วางอยู่บนตักกำชายกางเกงจนยับย่น
“วันสุดท้าย ก่อนฉันหนีออกมา เขาจะฆ่าทั้งฉันทั้งตัวเขา”
ลมค่ำพัดเบา ๆ พาเอากลิ่นดินชื้นจากแปลงผักข้างบ้านลอยมากระทบปลายจมูก แม่วารียังไม่พูด สายตานิ่ง และกระพริบตาช้าลงคล้ายชั่งน้ำหนักบางสิ่งในใจ สีหน้าขึงขังแข็งราวแผ่นหิน
“เขาเอาสายไฟพันฉันไว้กับตัวเขา แล้วเขาก็จะเสียบปลั๊ก จะให้ฉันตายไปด้วยกัน” ทิพย์ธาราขยับปากอย่างยากเย็น
เธอก้มหน้าลง ราวกับหลีกเลี่ยงสายตาของแม่ แต่สะอื้นไห้เบา ๆ เสียงสั่นอยู่ในลำคอ มือยังขยุ้มชายผ้าของตัวเองแน่นขึ้น ปลายนิ้วซีดขาว
“เขาร้องไห้ เหมือนไม่เหลืออะไรเลย เขาหมดทางแล้วแม่”
เงียบงัน
เงียบเหมือนทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหว
แม่ยังคงนั่งเหมือนรูปสลัก ไม่มีถ้อยคำ ไม่มีคำปลอบ ไม่มีเสียงสาปส่ง เธอเพียงหายใจช้า ๆ หนัก ๆ ตรงอกข้างหนึ่ง ขณะดวงตาจับจ้องที่พื้นไม้ตรงหน้า
“ยังไม่นอนกันเหรอ”
พ่อพนาเดินออกมาพร้อมไฟฉายด้ามเล็กในมือเปล่งแสงสีเหลืองมัว ร่างสูงใหญ่ยกมือขึ้นบังแสงก่อนจะเหลือบตามองเห็นภรรยาและลูกสาวนั่งอยู่ในเงาใต้ถุนหลังบ้าน
พ่อเดินเข้ามาเงียบ ๆ วางไฟฉายไว้บนโต๊ะไม้เตี้ยที่โยกเยกเล็กน้อยตามอายุไม้ แล้วหย่อนกายนั่งลงข้างภรรยา มือกร้านแห้งวางลงบนเข่าตัวเองอย่างเงียบเชียบ ปลายนิ้วแผ่เล็กน้อยช้า ๆ เหมือนวางใจกับพื้นโลกตรงนั้น
เขาหันไปมองลูกสาว ดวงหน้าที่เพิ่งมีคราบน้ำตาใหม่บนแก้มยังไม่ทันแห้ง เสียงหายใจเธอแผ่วเบาแต่ถี่เร่ง
“ถ้ามันอดทนดูแลเอ็งไม่ได้ ก็ช่างมัน” พ่อกล่าวช้า ๆ เสียงราบเรียบแต่มีอะไรบางอย่างหนาหนักแฝงอยู่ในน้ำเสียง
“อยู่กับพ่อแม่ก็พอ ไม่เห็นต้องไปฝากชีวิตไว้กับใคร”
ทิพย์ธารายกมือเช็ดหน้าเบา ๆ ปลายนิ้วลากผ่านร่องน้ำตา เธอไม่ร้องต่อ แต่เสียงหายใจยังไม่ปกติ หันมาทางแม่อย่างช้า ๆ ราวกับคนที่รู้ว่าอาจถูกผลักกลับมาในทันที
“พ่อกับแม่ไม่ต้องอะไรกับเขาแล้วก็ได้นะ อย่าด่าพี่เอกเลยนะ เขาเป็นแบบนั้นก็เพราะเขาเครียดจริง ๆ ” เสียงสั่นพร่าของเธอเอื้อนออกช้า ๆ
แม่หันมาช้า ๆ ดวงตาแดงเรื่อ แต่ไม่อ่อนแอ แววตาคู่นั้นมีทั้งความรู้ ความเจ็บ และความตัดสินใจในแววเดียว
“เออ มันอยากตายก็ให้มันตายไปคนเดียวสิ” เสียงแม่วารีนิ่ง เย็น และเฉียบขาดเหมือนคมมีดเก่า
“ข้าจะไม่เอาอะไรจากมันแล้ว ไม่ว่าเรื่องสินสอด ไม่ว่าเรื่องเกียรติ หรือคำพูดคำจาอะไร ข้าก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละ”
“แต่มันทำถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะไม่ให้เอ็งกลับไปอยู่กับมันอีก เข้าใจมั้ย…ไม่ต้องรอให้มันฆ่าเอ็งจริง ๆ วันไหน”
ทิพย์ธารานิ่งเงียบ ไม่เถียง ไม่เอื้อนเอ่ย ดวงตากระพริบช้าเหมือนพยายามรับสารทุกคำในใจโดยไม่ปล่อยให้ตกหล่น
“แล้วมึงหนีมันมายังไง” แม่ถามขึ้นในที่สุด เสียงแผ่วลงเล็กน้อย ไม่ได้แข็งนัก
“ฉันดิ้นออกมา แล้วหนีออกมาเลยแม่”
“ฉันไม่เอาอะไรติดตัวมาด้วยเลย ฉันแค่รู้ว่าถ้าอยู่ต่อนั่นคือฉันจะไม่ได้กลับมาหาพ่อแม่อีกเลย” เธอเงยหน้าขึ้นพูด ราวกับยืนยัน
ไม่มีคำพูดจากแม่ ไม่มีเสียงถอนหายใจจากพ่อ ไม่มีการโอบกอด ไม่มีการปลอบประโลม
มีเพียงร่างของทั้งสามที่ยังนั่งอยู่เคียงกันในเงาไม้ที่ทอดยาวจากหลังคาเรือน
ความเงียบไหลแทรกเข้าในทุกช่องว่างระหว่างคำพูด ท่ามกลางคืนที่อากาศยังคงเดิม
จนกระทั่งเสียงจิ้งหรีดกลับมาเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง
ท่ามกลางคืนที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
นอกจากหัวใจของใครบางคนที่หนักกว่าเดิม
แสงแดดอ่อนแรกของวันคลี่ตัวแทรกผ่านม่านหมอกบาง ๆ ที่ลอยปกคลุมยอดไม้ในสวนหลังบ้าน เสียงนกร้องรับวันใหม่แว่วเบา ๆ จากกิ่งไม้ไกล ๆ ราวกับบรรเลงเพลงปลุกโลกให้ตื่นขึ้นอย่างนุ่มนวล
ไกลออกไป เส้นตะวันค่อย ๆ โผล่พ้นหลังทิวเขา ตัดกับสีทองอ่อนของท้องฟ้าเช้า บรรยากาศยังไม่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เหมือนโลกยังใจดีให้ใครบางคนได้พักหายใจช้า ๆ ก่อนเริ่มต้นอีกวัน
บ้านไม้เงียบสงบ เหลือเพียงเสียงฝีเท้าที่เดินลงจากชานเบา ๆ กับกลิ่นข้าวสวยหุงใหม่ลอยอ่อน ๆ จากหลังครัว
ทิพย์ธาราตื่นก่อนฟ้าเปิด รีบลุกมาซักผ้าด้วยมือ ใส่ผงซักฟอกเยอะเกินไปจนฟองล้นทะลักออกมาจากกะละมัง
แม่เดินมาเห็นเข้า ก็ถอนหายใจพลางล้างมือก่อนจะนั่งลงช่วยโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เสียงน้ำในถังพลิ้วไหวเบา ๆ ไปตามแรงบิดผ้า เสียงผ้าเสียดสีดังชัดเจนในความเงียบ ทิพย์ธาราเหลือบตามองแม่เล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ
“แม่ยังโกรธฉันอยู่มั้ย”
มือแม่ยังคงบิดผ้าเหมือนไม่ได้ยินในวินาทีแรก ก่อนจะตอบเสียงเรียบในจังหวะเดียวกับที่น้ำหยดสุดท้ายจากชายผ้าหยดลงในถัง
“โกรธอยู่ แต่ก็ห่วงมากกว่า”
วันเวลาเริ่มคลี่คลาย
แสงแดดเช้าสะท้อนบนใบกล้วยด้านข้างบ้าน แผ่เงาลงบนผ้าถุงหลากสีที่แม่วารีตากพาดราวไม้ไผ่
หลายวันผ่านไป แม่ไม่ได้พูดถึงเรื่องเดิมอีกเลย
แต่ในเช้าวันหนึ่ง หลังทิพย์ธาราช่วยล้างถ้วยล้างชามเสร็จแล้ว กำลังจะยกตะกร้าผ้าเดินออกไปหลังเรือน แม่ก็พูดขึ้นเบา ๆ โดยไม่หันมามอง
“ปอกมะละกอให้แม่หน่อย”
เธอชะงักมือที่กำลังยกหูตะกร้า แล้วค่อย ๆ วางมันลงกับพื้นดิน ขานรับสั้น ๆ ด้วยเสียงแผ่ว
“จ้ะแม่”
หญิงสาวหยิบมีดปอกผลไม้ขึ้นมา เดินไปนั่งตรงเก้าอี้เตี้ยใต้ถุน ใกล้ ๆ กับตะกร้าผลไม้สานจากไม้ไผ่ มะละกอลูกยาวเปลือกเขียวอมเหลืองวางอยู่ในมือ เสียงมีดขูดเปลือกเป็นจังหวะเบา ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปลือกบาง ๆ หลุดลอกเผยเนื้อนวลด้านใน รอยแผลจากวันวานยังอยู่บนข้อมือเธอ แต่นิ้วมือก็ขยับมั่นคง
แม่เดินผ่านมาช้า ๆ มองเพียงครู่เดียวแล้วเดินต่อไป
อีกเช้าหนึ่ง ฟ้ายังขาวจางเพียงครึ่ง แม่วารีเดินเข้ามาในครัว หยุดยืนอยู่ใกล้พัดลมที่ตั้งพิงฝา เสียงใบพัดหมุนแผ่วเบา ลมแทบไม่ถึงพื้นไม้
แม่เอื้อมมือแตะที่สวิตช์ ลองปรับขึ้นลง ก่อนจะพูดราวกับรำพึง
“ดูพัดลมให้หน่อยสิ มันหมุนไม่แรง”
ทิพย์ธาราหันขวับทันทีจากที่กำลังล้างถังน้ำ รีบล้างมือกับขันเล็กใกล้ตัว แล้วเดินเข้ามาดูอย่างตั้งใจ
“เดี๋ยวหนูแกะดูให้นะแม่…มันคงฝุ่นเกาะที่มอเตอร์น่ะจ้ะ”
แม่ไม่ตอบ เดินกลับไปทางหลังบ้าน ทิ้งให้เธอนั่งกับพัดลมเก่า ๆ ที่หมุนอ้อยอิ่ง
มือที่จับไขควงสั่นน้อย ๆ ด้วยความเคยชินที่ยังไม่กลับมาเต็มที่ แต่ดวงตากลับจดจ่อ มุ่งมั่น ซี่ใบพัดถูกถอดออกทีละชิ้น ฝุ่นเกาะอยู่ตามซอก ทิพย์ธาราหยิบผ้าชุบน้ำเช็ดอย่างใจเย็น ไม่มีใครบอกให้เธอรีบ ไม่มีเสียงตำหนิ ไม่มีคำชม มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่ว ๆ กับแรงลมอ่อนจากหน้าต่างไม้ที่เปิดแง้มไว้
ตกเย็น แม่เดินออกมาจากห้อง ครู่หนึ่งก็เอียงหน้าดูพัดลมที่กลับมาหมุนแรงขึ้น แม้ไม่ได้พูด แต่ก็ไม่ปิดมันอย่างที่เคย
บางคืนแม่ยังคงเงียบ ไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ย
แต่ทุกครั้งที่ทิพย์ธาราเข้านอน เหนื่อยล้าจากการซักผ้า รีดผ้า หรือช่วยแม่เด็ดผัก เธอก็จะเห็นแก้วน้ำเย็นวางอยู่ตรงโต๊ะข้างเสื่อเสมอ
บางครั้งน้ำพร่องไปนิดหน่อย เหมือนมีคนชิมว่าเย็นพอไหม
บางครั้งมีผ้าขาวบางพาดไว้บนปากแก้ว ป้องกันฝุ่นละอองจากเพดานไม้เก่า
และบางคืน แม่เดินออกมาดับไฟนอกบ้านช้ากว่าปกติ แม่ไม่ได้พูด ไม่ได้เข้ามาใกล้ ๆ แต่อยู่ในระยะที่สายตาเธอเห็นได้จากตรงที่นอน
สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ เหมือนไม่มีอะไรเลยสำหรับคนที่ไม่ได้มองมันจริง ๆ
แต่มือหนึ่งที่ยกแก้วมาไว้ให้
คำขอสั้น ๆ ให้ช่วยปอกมะละกอ
หรือแค่การไม่ปิดพัดลมทันที
ล้วนแล้วแต่เป็นความอบอุ่นที่จุกขึ้นมาถึงอก ราวกับสิ่งที่เธอทำพลาดไป กำลังได้รับการให้อภัย...