วันแล้ววันเล่าในบ้านหลังเดิม
เวลาค่อย ๆ ไหลผ่านอย่างเนิบช้า อากาศยามเช้าที่เย็นจัดราวกับกลิ่นน้ำค้าง ทิพย์ธาราเดินเลาะไปหลังบ้าน ก่อไฟที่เตาอั้งโล่ หยิบหม้อข้าวหม้อแกงออกจากชั้นไม้ เตรียมน้ำ เตรียมข้าวสาร ค่อย ๆ ล้าง ค่อย ๆ ซาว เสียงน้ำไหลลงกระป๋องสังกะสีเป็นจังหวะเบา ๆ ท่ามกลางเสียงไก่ขันที่เริ่มประสานรับกันจากเรือนข้างเคียง
เธอขัดถังน้ำ ขัดฝา ขัดปากจนสะอาด เอียงเก็บไว้ข้างโอ่ง เสร็จแล้วก็กวาดบ้าน เดินลากไม้กวาดลู่ไม้ไผ่เป็นทางยาวไปจนถึงใต้ถุน
พ่อตื่นตามมาทีหลัง เดินหาวหวอด ๆ ด้วยเท้าเปล่า เสื้อกล้ามขาวเก่าโพกไหล่ ขนข้าวใส่ปิ่นโตไว้ให้ แม่เองก็จะเดินตามออกมาช้า ๆ หอบผ้าเก่า ผ้าขาวม้าสะอาดกับขันน้ำ เตรียมล้างหน้าแปรงฟันหน้าโอ่ง
บางวันฝนตก ฟ้าหม่นครึ้มตั้งแต่เช้า น้ำฝนหยดเป็นสายจากชายคาจนพื้นดินรอบบ้านเฉอะแฉะ ขี้เลนจับตามทางเดิน ทิพย์ธาราจะไม่ออกไปไหน เธอนั่งอยู่ตรงขอบฝาเรือน ห่มผ้าอีกผืนแล้วมองหยาดฝนที่ตกกระทบพื้นเสียงเบา ๆ ซ่า ๆ สม่ำเสมอไม่ขาดสาย แม่จะตำพริกแกงอยู่ตรงครัวเล็ก ๆ เสียงครกกระทบกับสากดังกึ่ก ๆ เป็นจังหวะ ส่วนพ่อจะยกเครื่องมือช่างออกมาวางใต้ถุน ซ่อมอะไรสักอย่างอย่างใจเย็น เสียงโลหะกระทบกันเป็นเสียงเบา ๆ ตัดกับเสียงฝนอย่างพอเหมาะ
ทิพย์ธาราแทบไม่พูดกับใครมากนัก วัน ๆ ก็มีแต่เสียงตอบรับสั้น ๆ เบา ๆ เช่น “จ้ะ” หรือ “ได้” เท่านั้นที่หลุดจากริมฝีปาก บางทีเธอจะก้มหน้านิ่ง ไม่สบตาใคร ไม่แสดงแววอะไรนอกจากการรับรู้เงียบ ๆ
บางครั้งที่แม่พูดอะไรเสียงแข็ง พ่อพนาจะเดินเข้ามาเงียบ ๆ แล้วแอบยื่นอะไรบางอย่างให้ ไม่ว่าจะเป็นกล้วยแขกจากตลาด กล้วยน้ำว้าสุกหนึ่งหวี หรือมะม่วงที่เพิ่งหล่นจากต้น พ่อไม่พูด แต่ยิ้มให้ลูกสาวแบบที่เข้าใจกัน ทิพย์ธาราจะยิ้มตอบแบบเงียบ ๆ แค่ยกมุมปากนิดเดียว แล้วรับของไว้เงียบ ๆ เช่นกัน
แม่วารีตั้งแต่วันนั้นไม่พูดอะไรแรง ๆ อีก ไม่ตวาด ไม่ดุ ไม่เอ่ยถึง “เขา” คนนั้นอีกเลย แต่สายตาที่ทอดมามีบางสิ่งบางอย่างปะปนอยู่เสมอ ระแวดระวัง เหมือนกลัวว่าทิพย์ธาราจะหายไปอีกครา ยามเธอลุกออกไปล้างจาน เธอรู้ว่าแม่หันมอง แม้ไม่พูดก็ตาม
บางคืน เธอนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาบนฟูกที่ส่งกลิ่นแดดอ่อน ๆ จ้องมองเพดานไม้ไผ่ที่เต็มไปด้วยเงาของเถาวัลย์ข้างเรือน ภาพของเขา คนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ลอยขึ้นมาทุกทีที่เงียบมากพอ เสียงจิ้งหรีดเจื้อยแจ้ว เสียงฝนกระทบหลังคาแผ่วเบา ล้วนแต่พาเธอย้อนกลับไปในความทรงจำที่ยังใหม่เกินกว่าจะลืม
กระทั่งเย็นวันหนึ่ง แดดอ่อนคล้อยเกือบลับขอบเรือน ทิพย์ธารานั่งยอง ๆ อยู่ใต้ถุนบ้าน ล้างผักในกะละมังใบใหญ่ ใบตอง แครอท และถั่วฝักยาววางอยู่ข้างตัว
แม่วารีเดินเข้ามาช้า ๆ ผ้าถุงลายดอกห่มอยู่รอบตัว มือหนึ่งถือถุงถั่วฝักยาว อีกข้างถือมีดปลายแหลมทื่อ ๆ นั่งลงเงียบ ๆ ข้างลูก แล้วเริ่มแกะถั่วทีละฝัก
ทิพย์ธาราหันไปสบตาแม่ช้า ๆ
“ดีแล้ว ที่มึงหนีมันออกมา” แม่เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ น้ำเสียงไม่แข็ง ไม่อ่อน แต่ชัดเจน
“ถึงเอกมันไม่พยายาม แต่มันก็ทำแบบนั้นกับมึงไม่ได้”
มือทิพย์ธาราชะงักค้างกับถั่วฝักยาวที่เธอกำลังแกะ เสียงน้ำหยดจากผักที่ล้างค้างไว้ดังเปาะ ๆ ตรงขอบกะละมัง
แม่ยังพูดต่อ โดยไม่มองหน้า
“ต่อให้เจ็บตัวเจ็บใจ เอ็งกลับมาก็ยังมีข้าว มีที่ให้ซุกหัวนอน มีข้าอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวอะไร”
ทิพย์ธาราก้มหน้า พยักเบา ๆ อย่างรับรู้ แทบไม่ได้ขยับตัว
“จ้ะแม่...” เธอเงยหน้าขึ้นน้อย ๆ มองเสี้ยวหน้าของแม่ มือยังค้างอยู่ที่ถั่วในกะละมัง
เธอเว้นวรรคไปนานเหมือนจะรวบรวมคำ
“ฉันขอโทษที่หนีไปแบบนั้นนะแม่”
แม่ไม่ตอบทันที เพียงแค่ถอนหายใจเบา ๆ เงยหน้ามองไปยังปลายชายคาที่น้ำฝนยังค้างหยดอยู่เป็นสาย แล้วจึงก้มลงกลับมาแกะถั่วต่อเช่นเดิม ราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ชีวิตที่ค่อย ๆ ไหลกลับสู่ความเรียบง่ายยังคงดำเนินไปแบบนั้น
เสียงไก่ขันปลายรุ่งลอยแผ่วมากับลมบางเบาทางทิศตะวันออก ทิพย์ธารานั่งพับเพียบอยู่กับพ่อที่ชานหน้าบ้าน
พ่อพนานั่งหลังงอเล็กน้อย มือหนึ่งยกมวนบุหรี่ยาเส้นขึ้นจ่อริมฝีปาก อีกมือเท้าเข่าอย่างเงียบงัน ควันจาง ๆ ลอยวนอยู่รอบศีรษะ ผมที่แซมขาวและดวงตาลึกซึ้งยังไม่แสดงวี่แววของความง่วงงัน ยามเช้าแบบนี้พ่อมักนิ่งเงียบ นั่งฟังเสียงโลกโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก
ทิพย์ธาราหลบตาต่ำ มองดูเงาของตัวเองสะท้อนกับผิวไม้ ริมฝีปากขยับน้อย ๆ ราวกับลังเลจะเอ่ยหรือไม่เอ่ย สุดท้ายก็กลั้นใจพูดออกไป
“พ่อ…”
“หือ” พ่อขานรับเหมือนเสียงลอยผ่านหู แต่ไม่เร่งเร้า
ทิพย์ธาราขยับตัวเล็กน้อย มือประสานกันบนตัก
“ฉันคิดว่า ฉันยังรักพี่เอกอยู่ ยังคิดถึงเขาอยู่เลยอะ” เสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบา
พ่อพนาไม่ตอบในทันที พ่อเพียงแค่มองไปไกล ๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าลูกพูดจริงหรือแค่คิดมาก
“แล้วถ้าพี่เอกเขายังรักฉันอยู่ล่ะ” ทิพย์ธาราพูดต่อ ริมฝีปากขยับช้า
เธอเว้นวรรค ก่อนเอ่ยอีกครั้ง
“ถ้าเขากำลังพยายามอย่างหนัก เก็บเงินเพื่อกลับมาหาฉันล่ะ”
พ่อยังไม่หันมา เสียงสูดควันเข้าลึกดังกริบก่อนปล่อยลมหายใจช้า ๆ ออกมาพร้อมควันบางสีเทาอ่อน
“ฉันคิดแต่สงสารพี่เอก ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง บางทีเขาก็อาจจะคิดได้แล้ว แล้วก็กำลังเก็บเงินเพื่อมาหาฉันอยู่ก็ได้นะพ่อ”
เธอเงียบอีกครั้ง มือลูบชายกางเกงตัวเองไปมาอย่างไม่รู้ตัว
“หรือ… ฉันควรกลับไปหาเขาดี” คำพูดสุดท้ายนั้นเบาราวเสียงความคิดที่แผ่วปลาย
แต่ก่อนที่พ่อจะตอบอะไร เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังแว่วจากบันไดบ้าน ไม้เก่าดังกรอบแกรบทีละขั้นอย่างตั้งใจจะให้เบาที่สุด แต่ก็ยังไม่อาจกลบเสียงได้หมด
“แล้วมึงไม่สงสารตัวเองบ้างรึไง!”
เสียงแม่วารีแทรกเข้ามาในจังหวะที่เงียบที่สุด กระแทกกลางอกทั้งสองคนอย่างไม่ทันตั้งตัว
ทิพย์ธาราสะดุ้งเฮือก ใบหน้าเงยขึ้นอย่างตกใจ หันไปทางต้นเสียงทันที
แม่วารีก้าวลงบันไดมาทีละขั้น ดวงตาจ้องเขม็ง ไม่มีความอ่อนโยนหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิด ปลายเท้าเปล่ากระทบพื้นไม้เบา ๆ แต่เต็มไปด้วยแรง
แม่ถอนหายใจเฮือกยาว ดวงตากดลึกลงไปด้วยแววขุ่นเคืองที่คล้ายกับโทสะเก่าถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง
“มันทำมึงถึงขนาดนี้ มึงยังเห็นมันดีอยู่หรอนังธารา!”
แม่ขยับเข้ามาใกล้ เอามือเท้าสะเอว หายใจถี่รัว ดวงหน้าตึงเครียด
“มึงก็จำคำกูไว้นะ!”
เสียงของวารีเย็นเยียบ แม้ไม่ได้ตะโกนแต่คมเสียยิ่งกว่ามีด
เธอหันมาสบตากับลูกสาวตรง ๆ สายตาแข็งกระด้างจนทิพย์ธาราต้องเบนหน้าหนี
“ถ้ามึงหนีไปอีกครั้ง คราวนี้มึงอย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีกนะ!!”
เสียงนั้นหนักแน่น ดังกระทบเหมือนฟ้าร้องกลางใจเงียบ ๆ ของยามเช้า
ทิพย์ธารานิ่งงันไปทั้งร่าง ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนน้ำตาจะไหลซึมออกมาเงียบ ๆ
พ่อพนาหันไปมองเมีย สีหน้าหนักใจ มือข้างที่วางบนหัวเข่าขยับไปแตะไหล่ลูกเบา ๆ อย่างต้องการปลอบ
“แกใจเย็นหน่อยเถอะวารี” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว แต่ไม่ทันจะจบ
“แล้วถ้ามึงกลับมาอีกกูจะฆ่ามึงให้ตายเลย!!!”
เสียงสุดท้ายนั้นเหมือนฟาดเปรี้ยงลงกลางอกลูกสาว
แม่วารีเบือนหน้าไปทางอื่น แล้วหมุนตัวก้าวฉับ ๆ กลับขึ้นเรือน รอยเท้าเปล่าทิ้งคราบฝุ่นไว้บนพื้นไม้
เหลือไว้เพียงความเงียบอันหนาวเย็น เหมือนเสียงนกยามเช้าหยุดร้องลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ทิพย์ธารานั่งนิ่ง น้ำตาไหลริน ๆ ดวงตาจ้องลงพื้นไม่กะพริบ
พ่อพนาเคาะปลายมวนบุหรี่ลงกับขอบกระถาง แล้วเอื้อมมือมาลูบไหล่ลูกเบา ๆ
“อยู่ตรงนี้ ให้ใจมันเย็นก่อนซะนะอีหนู เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”
คืนนั้นท้องฟ้ามืดสนิท ราวกับใครเอาผ้าม่านดำผืนใหญ่ไปคลุมทับหมู่ดาวไว้เสียหมด ไร้แม้กระทั่งเสียงหรีดเรไรที่เคยเป็นเสียงกล่อมยามดึก เสื่อผืนเก่าที่ปูบนพื้นไม้กระดานให้ความรู้สึกเย็นวาบแม้จะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วที่ร่างเธอนอนกลิ้งไปมา ความเย็นนั้นยิ่งตอกย้ำความตึงเครียดที่ฝังแน่นอยู่ในอก
ทิพย์ธารานอนไม่หลับจริง ๆ เปลือกตาหลับลงได้เพียงครู่เดียวก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยเสียงในหัว เสียงแม่ เสียงตวาด เสียงก่นด่า เสียงขู่คำรามดังก้องไม่หยุด
เธอพลิกตัวไปข้างซ้าย พลิกกลับมาข้างขวา เอียงคอมองเพดานไม้เหนือหัวเหมือนดูว่าจะมีอะไรตกลงมาแทนความคิดพวกนั้นบ้าง
แต่แล้ว...
แอ๊ดดด...
เสียงบานหน้าต่างถูกดันออกเบา ๆ ด้วยจังหวะเชื่องช้า ราวกับมีใครตั้งใจให้มันไม่ดังเกินไป แต่ในความเงียบเช่นนี้ ทุกเสียงกลับชัดเจนยิ่งกว่ากระดิ่งที่ห้อยคอวัวกลางทุ่ง
ทิพย์ธาราลืมตาขึ้นทันที ร่างกระตุกเฮือกอย่างคนตกใจ หัวใจเธอเต้นรัวเป็นจังหวะไม่แน่นอน มือขวาขยำผ้าห่มบาง ๆ ที่ใช้ปูรองหลังไว้แน่น เธอจ้องไปทางหน้าต่างซึ่งแง้มออกเล็กน้อย เงาตะคุ่มของเงาร่างใครบางคนค่อย ๆ ปรากฏ
“ธารา”
เสียงกระซิบแผ่วเบา ลมหายใจของชายคนหนึ่งเคล้ากับความชื้นในอากาศยามดึก ทำให้ขนแขนลุกเกรียวโดยไม่ต้องมีลมใดพัดผ่าน
ทิพย์ธารายกตัวขึ้นนั่งช้า ๆ ขยับถอยกรอกตามองในเงามืด เธอขยับริมฝีปากอย่างลังเล ก่อนจะอุทานเบา ๆ ด้วยเสียงไม่แน่ใจ
“ไอ้สรรค์!”
ชายหนุ่มร่างสูงโผล่หน้าออกมาพ้นขอบหน้าต่าง เขาหลุบตาลงเล็กน้อย ยิ้มเฝื่อน ๆ อย่างคนรู้ตัวว่าทำผิดแต่ยังพยายามวางท่าปกติ
นายสรรค์ เพื่อนชายสมัยม.ต้น ที่เคยเอาดอกไม้มาเสียบจักรยานเธอเป็นประจำ เคยเขียนกลอนใส่สมุดให้อ่านวันละบท เคยยืนรอเธอหน้าโรงอาหารด้วยถุงโอเลี้ยงหนึ่งถุง คนนั้นเอง
หลังเรียนจบเขาหายไปเหมือนเงาในป่า ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน และไม่มีใครคิดว่าเขาจะกลับมาในสภาพนี้ ในเวลานี้
“ฉันรู้ว่าธารากลับมา เลยเลยอยากมาดูหน้า” เขาพูดเสียงแผ่ว ก้าวเท้าผ่านขอบหน้าต่างเข้ามาช้า ๆ
ทิพย์ธาราขยับตัวถอยไปอีกคืบ มือซ้ายยันพื้นไม้แน่นจนหลังมือขึ้นเส้นเลือด เธอมองเขาด้วยแววตาไม่แน่ใจ อะไรบางอย่างในสายตาเขาทำให้เธอเย็นวาบกลางอก
“ดึกดื่นแบบนี้ เข้ามาทำไม!”