ตอนที่ 7 สมัครเป็นแฟน

2207 Words
นับจากวันนั้นที่เจอกันในร้านอาหาร วันที่เขามากับวิไลรัตน์ เอกภพก็กลายเป็นคนที่ปรากฏตัวในชีวิตของเธอทุกวันอย่างเป็นกิจวัตร เช้าเจ็ดโมงตรง รถยนต์เก่า ๆ คันเดิม สีหม่นซีดที่มีรอยขูดตรงข้างประตู ยังคงจอดอยู่ที่จุดเดิมหน้าบ้านของเธอทุกเช้า ชายหนุ่มพิงอยู่กับประตูฝั่งคนขับ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสะอาดตา แม้จะมีรอยยับบ้างจากการพับแขนขึ้นเหนือข้อศอกก็ไม่ได้ทำให้เขาดูโทรม เขายืนเงียบ ๆ มือหนึ่งถือแก้วกาแฟเย็นสีเข้มที่มีหยดน้ำเกาะตามผิวแก้ว อีกมือหยิบหนังสือพิมพ์พับครึ่งวางไว้บนหลังคารถ เขาหันหน้าขึ้นเมื่อเห็นเธอเดินออกจากตึกแถว “เช้านี้ลองเปลี่ยนสูตรใหม่...หวานน้อยหน่อย จะได้ไม่ง่วง” เขายื่นแก้วให้ตรงหน้าต่างพร้อมรอยยิ้มเอียง ๆ ที่เหมือนละลายหมอกเช้าไปทั้งเมือง ทิพย์ธารารับแก้วไว้ด้วยสองมืออย่างระวัง ก่อนจะเอ่ยเสียงขรึมแต่แฝงแววขี้เล่น “พี่มาทำแบบนี้ทุกวัน ถ้าฉันเริ่มติดใจขึ้นมาจริง ๆ ฉันจะดูเป็นคนเห็นแก่ตัวไหมล่ะ” เขาหัวเราะพรืดออกมา พิงหลังกับประตูรถแล้วเอียงคอมองเธอ “เห็นแก่ตัวมั้ยไม่รู้... รู้แค่เห็นแต่เธอ” แต่เหมือนกับว่าตอนนี้เธอจะพัฒนาขึ้น ไม่เลิ่กลั่กเหมือนแต่ก่อนที่เขาเล่นมุขแล้ว “ขอบคุณนะพี่...” เธอพูดเบา ๆ พอให้เขาได้ยิน ก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะจิบกาแฟแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขานิดหนึ่ง “อืม...หวานน้อยจริงด้วย” “ดื่มได้มั้ยล่ะ คืนได้นะ?” เขาแกล้งถามพลางเอียงศีรษะมองเธออย่างท้าทาย เธอส่ายหน้าเบา ๆ แล้วถือแก้วไว้แน่นขึ้น “เก็บไว้แล้วกัน เสียดายของ” เขาหัวเราะในลำคอ “ดีแล้ว...ไม่ต้องง่วงตอนทำงาน” ... ทุกเย็น เขาจะมารับเธอที่จุดเดิม แม้ในวันที่ฝนตก รถติด หรือวันที่เธอบ่นว่าวันนี้เหนื่อยจนแทบไม่อยากพูด รถของเขาจะจอดชิดริมฟุตปาธ ทิ้งเครื่องไว้อย่างเงียบ ๆ วิทยุเปิดเสียงเบา ๆ เป็นเพลงลูกกรุงหรือแจ๊สเบา ๆ ที่แทรกมาเป็นจังหวะ เขานั่งพิงเบาะคนขับ มองออกไปนอกกระจกตรงทางที่เธอจะเดินมา ถ้าวันไหนฝนตก เขาจะมีร่มกางรอไว้ข้างนอก ถ้าแดดร้อน ก็จะลดกระจกฝั่งขวาลงเล็กน้อยให้ลมพัดผ่าน เขาไม่พูดอะไรเยอะในช่วงแรก แค่เปิดประตูให้เธอ แล้วเอ่ยเบา ๆ “เหนื่อยละสิ” บางวัน ก็มาพร้อมกับถุงกระดาษสีน้ำตาลจากร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่เธอเคยพูดถึงเพียงผ่าน ๆ เท่านั้น เขาไม่พูดมากตอนยื่นให้ แค่บอกสั้น ๆ “วันนี้มีเค้กสาลี่จากร้านที่เธอบอกวันก่อน ลองดูสิ อร่อยจริงไหม” ถุงเล็ก ๆ นั้นจะถูกวางบนตักเธอ หรือบางทีก็อยู่ที่เบาะข้างคนขับ เธอจะเปิดดูอย่างช้า ๆ แล้วอมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “พี่จำได้ด้วยหรอ ฉันพูดไปแค่ทีเดียวเอง” เขายักไหล่ “ถ้ามันทำให้เธอยิ้มได้ พี่ก็จำได้หมดแหละ” บางวันก็ไม่มีอะไรพิเศษ มีแค่ดอกไม้ดอกเดียววางไว้ในแก้วน้ำเก่า ๆ ที่วางอยู่ในช่องเก็บของหน้ารถ บางครั้งเป็นกุหลาบขาว กลีบบางสะอาดตา บางครั้งเป็นคัตเตอร์ดอกเล็ก ๆ ที่แค่เห็นก็เหมือนทุ่งหญ้าฤดูฝนย่อส่วน เขาจะพูดเรียบง่ายเวลาเธอเงยหน้าถาม “พี่ไปเอามาจากไหน” “เอามาจากใจ” “แถมมันยังดูเหมือนธารา...เรียบง่ายนะ แต่สวย” เธอเคยหัวเราะขำเบา ๆ ตอนได้ยิน แต่ในใจกลับเงียบไปอย่างประหลาด มือก็ยังถือดอกไม้นั้นไว้อย่างแผ่วเบา บางที เขาก็แค่พยักหน้ารับเงียบ ๆ ขณะฟังเธอบ่นเรื่องงาน ระบายว่าโดนหัวหน้าดุ หรือเบื่ออาหารกลางวันที่โรงอาหาร เขาไม่ได้พูดแทรก แค่ขับรถไปเรื่อย ๆ ฟังด้วยสีหน้าสงบ แล้วพอเธอหยุด เขาก็จะถามเบา ๆ “วันนี้อยากกินอะไร เดี๋ยวพาไปซื้อ” แล้วเธอก็จะนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบ “อะไรก็ได้พี่ ฉันขี้เกียจคิดแล้ว” “งั้นพี่คิดให้” เขาพูดเบา ๆ แล้วเลี้ยวรถไปในทางที่เธอไม่เคยเถียง ... หลายเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีเหตุการณ์ใหญ่ ไม่มีเรื่องหวือหวา ไม่มีดอกไม้ช่อโตหรือคำพูดหวานหู แต่เธอก็ไม่รู้ตัวเลยว่า ทุกเช้าที่มีกาแฟเย็นกับเขายืนพิงรถอยู่นั้น ทุกเย็นที่ได้ขึ้นรถและพูดคุยกันเรื่องเล็กน้อยระหว่างทางกลับบ้าน ทุกการมองเห็นถุงขนมหรือดอกไม้ หรือแค่ท่าทางที่เขาขับรถอย่างใจเย็น...ทุกอย่างเหล่านั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของวันของเธอไปแล้ว โดยที่เธอไม่รู้ตัวว่าทุกวันของเธอมี “เขา” อยู่ในนั้นอย่างกลมกลืนเหมือนแสงเช้า กระทั่งเย็นวันศุกร์วันหนึ่ง ทิพย์ธาราเดินออกมาจากประตูตึกสำนักงานเหมือนทุกวัน ชายกระโปรงสะบัดเบา ๆ ตามจังหวะฝีเท้า รองเท้าผ้าใบเปียกน้ำตื้นนิดหน่อยจากพื้นถนน แต่เธอไม่ใส่ใจนัก มันเป็นเย็นวันศุกร์ เย็นที่หัวใจควรจะเบาสบายอย่างน้อยหนึ่งวัน รถเก๋งคันคุ้นเคยจอดอยู่ไม่ไกล ไฟเลี้ยวกระพริบช้า ๆ สีอำพันในม่านฝนที่เพิ่งหยุดตก ให้ความรู้สึกเหมือนฝันเล็ก ๆ ที่มาเคาะประตูใจเธออีกครั้ง เธอเปิดประตูขึ้นรถโดยไม่ต้องถามก่อนว่ามารับหรือเปล่า เพราะเธอรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่วันนี้ เอกภพไม่ได้ขับรถกลับบ้านทันที เหมือนเคย เขาเลี้ยวรถเข้าซอยเล็ก ๆ ด้านข้างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน บ้านไม้เก่า ๆ ห่าง ๆ กันริมทาง ต้นหญ้าข้างทางชื้นฝนและใบไม้เรียงตัวเหมือนเพิ่งถูกลูบให้เรียบ “ทำไมมาทางนี้ล่ะ ไปไหนหรอพี่?” เธอถามเบา ๆ พลางเอนตัวเล็กน้อยไปมองวิวรอบตัว สายตาสงสัยแต่ไม่ได้ระแวง “อยากให้เธอเห็นที่ที่พี่มาบ่อยเวลาคิดอะไรไม่ออก” เขาตอบเรียบ ๆ ขณะสายตายังมองทางข้างหน้า สีหน้าไม่ได้จริงจังนัก แต่มีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในน้ำเสียงนั้น เธอเงียบไป ไม่ถามซ้ำ เพียงนั่งนิ่ง มองออกไปนอกหน้าต่าง ฝ่ามือซ้ายกุมสายกระเป๋าไว้หลวม ๆ พวกเขาขับต่ออีกไม่กี่นาที รถก็แล่นเข้ามาจอดช้า ๆ ข้างทางที่เปิดออกสู่สวนสาธารณะเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน มีเพียงเสียงใบไม้ไหวแผ่วเบา และน้ำหยดจากปลายกิ่งไม้ที่ยังไม่แห้งดีนัก ต้นไม้ใหญ่เรียงรายเป็นแถว บางต้นทอดเงายาวทาบพื้นหญ้า ม้านั่งไม้ยาวสีจางซีดตั้งอยู่ข้างสระน้ำเล็ก ๆ ที่ผิวน้ำยังสะท้อนแสงสีทองของท้องฟ้าได้บาง ๆ แม้แสงจะเริ่มเจือจางลงทีละนิด เขาเปิดประตูรถก่อน แล้วเดินอ้อมมาฝั่งเธอ ไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้าเบา ๆ เหมือนเชื้อเชิญ เธอยิ้มบาง ๆ แล้วเปิดประตูลงตาม เดินตามเขาไปอย่างไม่รีบร้อน เสียงรองเท้าแตะพื้นหญ้าชื้นเบา ๆ ดังกึกกักอยู่ใต้เท้า เขาเดินนำไปที่ม้านั่งไม้ตัวยาว แล้วหย่อนตัวลงนั่ง มือข้างหนึ่งตบที่ข้างตัวเบา ๆ เป็นการบอกว่าให้เธอนั่งลงข้างเขา ทิพย์ธารายืนมองอยู่อึดใจ ราวกับลังเลว่าจะนั่งดีไหม ก่อนจะตัดสินใจเดินไปนั่งลงช้า ๆ ข้างเขา เส้นผมเธอปลิวขึ้นเล็กน้อยจากลมเย็นที่พัดผ่านสระน้ำ เธอกำลังจะยกมือเก็บผมที่ปลิวขึ้นไปหลังหู แต่เอกภพยื่นมือมาช่วยแทน ปลายนิ้วเขาแตะผิวแก้มเธอเพียงเบา ๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่มันกลับทำให้เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ลมหายใจเธอเหมือนขาดช่วงเล็กน้อย เธอเบือนหน้าหนีไปทางสระน้ำ ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาเองก็ไม่ได้พูดต่อทันที ปล่อยให้ความเงียบพัดผ่านเหมือนลมเย็นที่แทรกผ่านใบไม้ เสียงเขาดังขึ้นช้า ๆ “ตั้งแต่รู้จักกันมา พี่เหมือนได้หายใจโล่งขึ้นทุกวัน” เธอกะพริบตา ไม่ได้หันมามองเขา แต่ได้ยินทุกถ้อยคำชัดเจน “พี่ไม่เคยคิดว่าการตื่นเช้าจะมีความหมาย จนกระทั่งรู้ว่าจะได้เจอเธอ ได้ซื้อกาแฟให้ ได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้น” เธอหลุดยิ้มเขิน ๆ เบา ๆ มือทั้งสองยังบีบชายกระโปรงไว้แน่น เหมือนเด็กที่พยายามเก็บความลับไว้ในอก เขาเว้นช่วงอีกนิด แล้วพูดต่อ “พี่ไม่รู้ว่าแบบนี้เรียกว่ารักไหม แต่พี่รู้ว่าอยากเจอเธอทุกวัน” เธอหันหน้ามาทางเขานิดหนึ่ง เหลือบตามอง แต่ยังไม่กล้าสบตาตรง ๆ เธอเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ชะงักเมื่อเห็นเขาล้วงมือเข้าในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต หยิบกล่องเล็ก ๆ สีเงินออกมา กล่องนั้นวางอยู่กลางฝ่ามือเขาอยู่นาน ก่อนเขาจะเปิดมันอย่างช้า ๆ ไม่ใช่แหวน แต่เป็นสร้อยคอเส้นบาง ที่ห้อยจี้เล็ก ๆ รูปดาว แกะลายลอนคลื่นด้านล่างอย่างประณีตเหมือนตั้งใจเต็มที่ในทุกรอย เขามองมันนิดหนึ่ง แล้วพูดช้า ๆ “นี่ไม่ใช่แหวนหมั้น ไม่ใช่ของแพงอะไร แค่สร้อยเส้นหนึ่งที่พี่อยากให้เธอไว้” “ลำธารมักจะทำให้แสงดาวดูอ่อนโยนกว่าที่เคยเป็นเสมอ แล้วทุกครั้งที่พี่มองดาวเหนือสายน้ำ...พี่ก็จะนึกถึงธารา” เขายื่นกล่องให้เธอ ช้า ๆ ไม่เร่งเร้า รอยยิ้มที่มุมปากนุ่มนวลเหมือนแสงไฟหน้าบ้านในฤดูฝน “เธอจะเป็นแฟนพี่ได้ไหม?” เธอเงียบไปนานพอจะให้เสียงจิ้งหรีดที่ริมสระน้ำเริ่มแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง มือเธอแตะขอบกล่องด้วยปลายนิ้วช้า ๆ เหมือนยังหวั่นใจนิดหนึ่งก่อนจะยอมรับมัน “ฉันไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่... ที่เริ่มอยากให้รถคันนั้นจอดหน้าบ้านทุกเช้าวันจันทร์ อยากฟังเสียงพี่เอกทุกเย็น อยากเห็นหน้าพี่เวลายิ้มแบบนี้...” เธอสูดหายใจลึก สายตาสั่นไหวแต่เด็ดเดี่ยว สบตาเขาเป็นครั้งแรกในเย็นวันนั้น “แต่ฉันรู้ว่า... ถ้าไม่ตอบว่า ‘ได้’ วันนี้ ฉันคงเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ ๆ” เอกภพยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายจนเธอรู้สึกได้แม้ไม่ได้พูดอะไร เขาดึงเธอเข้ามากอดช้า ๆ แผ่วเบา แต่มั่นคง ฝ่ามือเขาลูบหลังเธอเบา ๆ เหมือนจะบอกว่า ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ลมหายใจเขาแตะขมับเธออย่างอ่อนโยน ทิพย์ธารานั่งนิ่งมองปลายเท้าตัวเองแกว่งเบา ๆ เหนือพื้นดิน เธอสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วพูดเบา ๆ คล้ายจะให้เสียงนั้นเบากว่าลม "ฉันเคยคิดนะ... ว่าถ้ามีแฟนขึ้นมา ทุกอย่างจะพังลงอย่างที่แม่ฉันพูดไว้ตลอด" เอกภพก้มหน้าลงมามองเธอทันที รอให้เธอพูดต่อ "แม่บอกเสมอว่า อย่าไปไว้ใจผู้ชาย อย่าเอาหัวใจไปผูกไว้กับใคร เพราะมันจะจบลงด้วยน้ำตา... ว่าโลกนี้ไม่มีใครจริงใจกับผู้หญิงนอกจากพ่อกับแม่" เธอพูดช้า ๆ แต่ชัด ดวงตาไม่สบเขา แต่ก็ไม่ได้หลบหนี "แล้วฉันก็เชื่อแบบนั้นมาตลอด...จนได้รู้จักพี่" เสียงของเธอสั่นนิด ๆ แต่ก็กลั้นไว้ได้ เธอยิ้มบาง ๆ เหมือนยอมให้ความรู้สึกซึมลึกลงไปในคำพูดทุกคำ "วันนี้ฉันได้รู้ว่า มันไม่ใช่เลย ความรักไม่ได้พังอะไร...ตรงกันข้าม มันกลับทำให้ทุกอย่างในชีวิตฉันดีขึ้นมากเลยต่างหาก" เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายแวววาวสะท้อนแสงเย็นที่เหลืออยู่ "มันทำให้ใจฉันอุ่นขึ้น ทำให้วันธรรมดากลายเป็นวันที่มีอะไรให้เฝ้ารอ มีเหตุผลให้ตื่นเช้าขึ้นมา มีใครสักคนที่...แค่คิดถึงก็ยิ้มได้ทั้งวันแล้ว" วันนั้น...พวกเขานั่งอยู่ตรงนั้นจนฟ้าค่อย ๆ มืด แสงไฟริมทางเริ่มสว่างขึ้น แมลงกลางคืนเริ่มส่งเสียงจังหวะซ้ำ ๆ โลกยังหมุนไปอย่างเงียบงัน แต่ในหัวใจของทั้งคู่ โลกทั้งใบกลับหยุดอยู่แค่รอยยิ้มของเธอ และอ้อมแขนของเขา...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD