วันเวลาผ่านไป...
ทว่าวันนี้ท้องฟ้าหม่นมาตั้งแต่บ่าย เมฆสีเทากดทับเมืองไว้ราวกับฝาครอบแก้วที่เต็มไปด้วยความอึดอัด ความร้อนสะสมจากกลางวันระอุอยู่ในผิวคอนกรีต แม้จะไม่มีแดด แต่ไอร้อนก็ยังคลุ้งอยู่ในอากาศ
ทิพย์ธารายืนอยู่หน้าตึกออฟฟิศเล็ก ๆ ที่เธอทำงานมาตั้งแต่ย้ายเข้ากรุงเทพฯ ตึกสีครีมสามชั้นที่ดูธรรมดา แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของหลายสิ่งในชีวิตเธอ รวมถึงความรักที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นกับชายคนหนึ่งที่ไม่เคยผิดสัญญา
เขาบอกว่าจะมารับตอนหกโมงตรง และเขาไม่เคยผิดเวลาเลยสักครั้ง
แต่ตอนนี้...เข็มนาฬิกาข้อมือสีซีดของเธอเลยหกโมงครึ่งไปแล้ว
ผู้คนทยอยกันออกจากตึก เสียงรองเท้ากระทบพื้นเปียกชื้น เสียงรถประจำทาง เสียงแตรรถ และเสียงฝีเท้าผู้คนประสานกันเป็นเสียงรบเร้าที่เหมือนจะผลักไสให้เธอเลิกหวัง
ไม่มีข่าวคราวใดจากเอกภพ ไม่มีเพจเจอร์ มีเพียงลมที่เริ่มเย็นลง และบรรยากาศที่เริ่มมืดคล้ำลงเรื่อย ๆ
ในใจของเธอมีเสียงถามซ้ำไปซ้ำมา
“หรือเขาลืม...”
“หรือเขาติดงาน...”
“หรือเขาเปลี่ยนใจ...”
แม้จะเป็นคนรักกันแล้ว แต่ทิพย์ธาราก็ยังไม่อยากเป็นเหตุให้เขาต้องลำบาก แม้จะเป็นเพียงแค่การเลี้ยวรถกลับมาอีกไม่กี่กิโลเมตรก็ตาม
ด้วยความเกรงใจที่แผ่ซ่าน และความรู้สึกผิดเล็ก ๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นในอก เธอตัดสินใจแน่วแน่ในใจว่าจะไม่รอต่อไปอีกแล้ว
กระเป๋าผ้าสะพายข้างถูกจับแน่นขึ้นบนไหล่ เธอก้าวออกจากจุดที่ยืนอยู่ เดินฝ่าฝูงผู้คนไปยังป้ายรถเมล์ที่ท้ายซอย หวังเพียงว่ารถจะยังไม่แน่นจนเกินไปนัก
แต่แล้ว...จู่ ๆ ฝนก็เทลงมาโดยไม่ให้สัญญาณเตือนใด ๆ
แปะ ๆ ๆ ซ่าาา...
เม็ดฝนหยาบ ๆ กระแทกลงมาอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เส้นผมเธอเปียกจนแนบติดหนังศีรษะ เสื้อผ้าซึมซับน้ำจนหนาวเย็น เธอรีบเร่งฝีเท้าไปยังเพิงไม้เก่า ๆ ริมถนนที่ดูเหมือนจะเป็นที่พึ่งเดียวในวินาทีนั้น
เพิงหลังนั้นเก่าคร่ำ สีไม้ซีดจางจนแทบไม่รู้ว่าเคยเป็นสีอะไร ข้างในนั้นมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ก่อนแล้ว สูบบุหรี่คาอยู่ระหว่างนิ้ว กลิ่นมันฉุนจนเธอเผลอกลั้นหายใจ
เธอพยักหน้าให้เบา ๆ อย่างรักษามารยาท แล้วเบือนหน้าหนี หวังว่าเขาจะเข้าใจ
แต่เสียงนั้นดังขึ้น ข้างหูเธอ
“ฝนตกแบบนี้...กลับยังไงล่ะคนสวย?”
ซ่า ซ่าา...
น้ำเสียงนั้นเหมือนยิ้ม แต่เย็นเฉียบอย่างน่าขนลุก
เธอขยับเท้าเล็กน้อย ถอยห่างโดยไม่ให้ดูเสียมารยาท แต่เขากลับยืนใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนไหล่เธอเกือบชนผนังไม้ด้านหลัง
“เอ๊ะ อย่าทำเป็นหยิ่งเลยน่า...”
มือของเขาเงื้อมาข้างหน้า เหมือนจะคว้าเธอไว้ไม่ให้ขยับหนี
เธอเริ่มตัวแข็ง ความกลัวตีกันในอก ใจเต้นแรงจนเธอแทบไม่ได้ยินเสียงฝนอีกต่อไป
แต่ก่อนที่มือของเขาจะถึงตัว...
เอี๊ยดด!...
เสียงเบรกดังลั่น!
แสงไฟหน้ารถสาดเข้ามาเต็มเพิงไม้จนคนทั้งคู่ต้องหยีตา รถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่กลางถนน เปียกฝนทั้งคัน ประตูเปิดแรงจนกระแทกกับเสาเหล็กดัง “โครม!!!”
เอกภพก้าวลงมาจากรถ ฝ่าฝนที่สาดซัดไม่หยุด
เขาไม่พูด ไม่แม้แต่จะมองรอบข้าง เขาเดินตรงเข้ามา ก้าวยาว ๆ หนักแน่นเหมือนพายุที่ไม่มีใครหยุดได้
ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด เส้นผมเปียกน้ำจนแนบใบหน้า แต่แววตายังคงมุ่งตรงมาที่เธอเพียงคนเดียว
เขามาหยุดตรงหน้าเธอ ดึงข้อมือเธอเบา ๆ ออกจากที่ตรงนั้น แล้วหันไปผลักชายแปลกหน้าคนนั้นอย่างแรงจนเซถลา
“ไสหัวไป!”
เสียงของเขาไม่ดัง แต่มันหนักแน่น เยือกเย็น และชัดเจน
ชายคนนั้นสบตาเขาอยู่เพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะสบถคำหยาบแล้วเดินลับไปในม่านฝน “เ-ือกได้ใจจริง ๆ!”
เอกภพยืนนิ่งอยู่หน้าทิพย์ธารา ใบหน้าเขาเปียกน้ำ ผสมกับหยาดฝนที่ไหลลงข้างแก้ม แต่ในดวงตามีเพียงเธอ
“ธารา ทำไมไม่รอพี่ที่เดิม”
เสียงเขาต่ำและหนัก เหมือนคำถามที่กลั่นออกมาจากข้างในลึกสุด ไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เพราะเขาเจ็บที่คิดว่า...เกือบช้าไป
เธออึกอัก ดวงตาสั่นไหว ใจเต้นแรงไม่หยุด
“ฉันคิดว่า พี่คงยุ่งมาก ไม่อยากให้ต้องวนกลับมาอีก ก็เลยจะกลับเอง”
เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึก เสียงฝนที่กระทบหลังคาดังระงม แต่กลับเงียบลงทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้ากันแบบนี้
มือของเขาเอื้อมมาหาอย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วไล้ปอยผมที่เปียกแนบแก้มเธอเบา ๆ แล้วไล้ออกด้านหลังหู สัมผัสนั้นอุ่นกว่าฝนใด ๆ ที่ตกลงมา
เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับพูดขึ้นก่อน
“พี่ไม่ใช่แค่หวงธารา”
เขาหยุดชั่ววินาที เหมือนกลืนคำที่ใหญ่เกินจะกลั่นออกมาได้ง่าย ๆ
“แต่พี่กลัวจะเสียเธอไปมากกว่าสิ่งอื่นใดในชีวิต”
ทิพย์ธารานิ่งงัน ไม่มีคำพูดใดที่พูดได้ในวินาทีนั้น เธอได้แต่เงยหน้ามองเขา ฝนไหลผ่านใบหน้า แต่ความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างก็เอ่อล้น
เธอพยักหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นแตะหลังมือของเขาที่วางอยู่ข้างแก้มเธอเบา ๆ
นิ้วของเขาสั่นเล็กน้อย เธอรู้สึกได้
แล้วเขาก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย จ้องลึกเข้าตาเธอในระยะประชิด
ซ่า ซ่าา...
เสียงฝนตกยังคงอยู่
ลมหายใจของทั้งสองกระทบกันในช่องว่างแคบ ๆ ระหว่างหัวใจ
“ห้ามหายไปจากชีวิตพี่” เสียงเขาต่ำแต่นุ่ม เหมือนสาบานไว้กับตัวเองมากกว่าจะขอร้องเธอ และเธอก็ยิ้มก็ว้าง เพราะเธอเอง ก็คงไม่มีวันอยากไปจากเขาเหมือนกัน
ร้านดอกไม้ในบ่ายวันหนึ่ง ปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว
กรุ๊ง กริ๊ง!
เสียงกระดิ่งที่หน้าประตูร้าน “บ้านดอกไม้ของวิไลรัตน์” ดังขึ้นเบา ๆ เคล้ากับสายลมเย็นปลายฝนที่พัดเข้ามาแผ่ว ๆ ในชั่ววินาที
หญิงสาวเจ้าของร้านที่กำลังนั่งก้มหน้าจัดช่อดอกไลเซนทัสสีพาสเทลพลันชะงักมือ
“พี่เอก?” วิไลรัตน์เลิกคิ้ว รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากโดยอัตโนมัติ น้ำเสียงแฝงความสนิทสนมอย่างไม่ต้องเสแสร้ง
เขายืนอยู่ตรงนั้น ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวนวลที่พับปลายแขนขึ้นถึงข้อศอกกับกางเกงผ้าฝ้ายสีกรมท่าเรียบ ๆ ไม่มีเครื่องประดับใดเลยนอกจากนาฬิกาหนังสีน้ำตาลเรือนเก่า เอกภพยังคงเป็นเอกภพ ผู้ชายที่ไม่ต้องพยายามจะดูดี เขาก็ยังดูดีเสมอ
“แวะมาไงวะพี่! จะมาซื้อดอกไม้ให้ธาราอีกสิท่า ไม่ต้องซื้อหรอกพี่ เอาไปเหอะ” เธอพูดพลางยิ้ม ล้ออย่างรู้ทัน
เอกภพยิ้มตอบ แต่เป็นรอยยิ้มของคนที่คิดอะไรในใจอยู่ ไม่ใช่แบบที่เธอคุ้นชินจากเขา
“มีเวลาคุยกับพี่แป๊บนึงไหมล่ะ” เสียงของเขานุ่มลึก แต่มีน้ำหนักบางอย่างที่ทำให้คำถามธรรมดากลายเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา
วิไลรัตน์วางกรรไกรลงช้า ๆ เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ก่อนจะพยักหน้าโดยไม่ถามอะไรเพิ่มเติม เพราะรู้ดีว่าถ้าเขาเลือกจะพูด… มันต้องเป็นเรื่องสำคัญ
“ได้ดิ่ ลูกค้าก็ไม่มีอยู่แล้วช่วงบ่าย มานั่งเลยพี่”
เอกภพเดินเข้ามานั่งลงอย่างเงียบ ๆ ช้า ๆ คล้ายกำลังประมวลความคิดที่วุ่นวายอยู่ภายใน เขาวางมือประสานกันบนหน้าตัก เหลือบตามองแจกันดอกไม้ตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจแผ่วเบา
วิไลรัตน์เทชาร้อนใส่ถ้วยกระเบื้องเคลือบลายกิ่งมะลิ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูนุ่มนวลยิ่งขึ้น เธอวางถ้วยชาไว้ตรงหน้าเขา ก่อนจะนั่งลงตรงข้าม
“พี่มีเรื่องกลุ้มใจหรอ เกี่ยวกับธาราหรือเปล่า”
“พี่อยากขอธาราแต่งงาน”
มือนิ่ง ๆ ของเธอที่กำลังจะยกถ้วยชาแทบชะงักกลางอากาศ
เงียบไปพักใหญ่ มีเพียงเสียงช้อนเงินกระทบขอบถ้วยเบา ๆ ราวกับทั้งร้านหยุดหายใจ
“พี่อยากให้แกช่วยเลือกแหวน”
วิไลรัตน์กะพริบตาช้า ๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มเก้อ ๆ ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะสั้น ๆ ออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“ห๊ะ!”
สีหน้าเขาไม่ใช่คนที่ลังเลหรือกลัวอีกต่อไป มุมปากเขายกขึ้นเบา ๆ เป็นรอยยิ้มแบบที่เธอเคยเห็นตอนธาราทำบางอย่างให้เขาขำ ขำแบบไม่ต้องพยายาม
เอกภพหยิบสมุดเล่มเล็กจากกระเป๋าเสื้อ เปิดไปยังหน้าหนึ่งอย่างระมัดระวัง แล้วเลื่อนมันมาให้เธอดู เป็นภาพวาดด้วยลายมือของเขาเอง แหวนวงเล็ก ๆ เรียบง่าย วาดหลายแบบ หลายมุม ไม่มีเพชรเม็ดโต ไม่มีลวดลายหรูหรา มีเพียงรูปทรงที่ดูจริงใจและอบอุ่นอย่างประหลาด
“พี่ไม่ได้อยากได้แหวนที่แพงที่สุด” เขาวางนิ้วแตะแหวนวงหนึ่งที่วาดเอาไว้
“แต่อยากให้แหวนซักวงนึงมันพูดแทนได้ ว่าพี่เข้าใจเธอ และเลือกเธอ ทุกวันนับจากนี้ไป อะไรแบบเนี๊ยะ”
เธอจ้องภาพวาดนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น สบตาเขาอย่างเข้าใจ
“ได้ดิ่พี่” เธอพูดแผ่ว ๆ ยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะแกล้งบ่นแซวเหมือนเดิม
“นี่ถ้าเธอไม่ตอบตกลง พี่ไปหาผู้หญิงอีกสักสิบคนก็น่าจะยังมีคนตอบว่า ‘แต่งค่ะ’ โดยไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำมั้ง”
หึ ๆ เอกภพหัวเราะเบา ๆ
“ไม่เอาอะ ฉันไม่อยากเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ‘ชายหนุ่มขอสิบคนแต่งงานในวันเดียว แล้วถูกฟาดด้วยแจกันดอกลิลลี่กลางสี่แยก’ อะไรแบบนั้น”
วิไลรัตน์หัวเราะเสียงใส
“ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นจริง ๆ พี่ก็ยังต้องเอาแจกันร้านฉันไปใช้สินะ”
“ก็แจกันแกทนดี ทุบแล้วไม่แตกง่าย”
“ชมหรอ?”
“ชมสิ พูดถึงงานฝีมือนะ ทนทาน เหมาะกับความรักระยะยาว”
เธอส่ายหน้าช้า ๆ อย่างเอือมระคนขำ
“นี่มันร้านดอกไม้นะ ไม่ใช่โรงงานผลิตหม้อเหล็กหล่อ”
“แต่พี่เอกพูดจริงมั้ย จะขอแต่งงานจริงหรอ?” น้ำเสียงเธออ่อนลงอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่มีการล้อเล่นซ่อนอยู่
เขาพยักหน้าเงียบ ๆ มองเธอด้วยสายตาแน่วแน่
“แต่พี่เพิ่งเป็นแฟนกันกี่เดือนเองไม่ใช่หรอ”
“กี่เดือนเองอะไรกันล่ะ นับจากวันที่ฉันขอธาราเป็นแฟนก็ตั้งปีนึงแล้ว จะขอแล้ว ไม่อยากรอแล้ว”
“โอ๊ย ตื่นเต้นว่ะพี่!”