ตอนที่ 25 เขินนะ

2118 Words
หลังจากค่ำคืนนั้นที่ลพบุรี ค่ำคืนที่เรียบง่าย กลั่นจากใจแท้จริงของเขาและเธอ เอกภพก็ตัดสินใจแน่วแน่จะเริ่มต้นใหม่อย่างอ่อนโยน ไม่ใช่ด้วยแรงเร่งเร้า ไม่ใช่ด้วยกำแพงของความกลัวหรือความกดดันแบบเดิม แต่ด้วยความเข้าใจ และจังหวะที่พอเหมาะกับหัวใจผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารู้แล้วว่าเปราะบางเพียงใด เมืองที่เคยคับแคบและเร่งรีบจนแทบกลืนพวกเขาเมื่อคราวก่อน คราวนี้ เอกภพเลือกห้องเช่าหลังกลาง ๆ ในชุมชนเงียบสงบที่แทรกตัวอยู่ระหว่างตึกสูงและตลาดวุ่นวาย ริมซอยแคบ ๆ ที่แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านต้นไม้และหน้าต่างไม้เก่า ๆ ได้พอให้รู้สึกถึงชีวิต เขายังทำงานที่โรงงานเดิม แม้เหนื่อย แต่มั่นคง และมากพอจะให้เธอไม่ต้องเหนื่อยอีกต่อไปจากเงินเก็บที่เขามีครั้งก่อน “ธาราไม่ต้องออกไปหางานแล้วนะ อยู่บ้านเถอะ ซักผ้าบ้าง ทำกับข้าวให้พี่กิน เป็นที่รักของพี่อยู่ที่บ้านก็พอ พี่ขอแค่นั้น” เขาว่าเช่นนั้น ในเช้าวันหนึ่ง ขณะซบหน้าลงบนตักเธอหลังจากที่เขาเลิกงาน “แค่เห็นธารายิ้ม พี่ก็พอแล้ว” ทิพย์ธาราไม่เอ่ยตอบอะไรในตอนนั้น มีเพียงมือบางที่ลูบผมเขาช้า ๆ อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ราวกับเข้าใจแล้วว่าคำสัญญาไม่จำเป็นต้องผูกไว้ด้วยแหวนหรือคำปฏิญาณหรูหรา แต่อยู่ในการลงมือทำซ้ำ ๆ ด้วยใจจริง วันแล้ววันเล่า ในทุก ๆ เช้า เอกภพจะลุกออกจากที่นอน เงียบ ๆ รินน้ำจากกระติกอุ่น ล้างหน้าล้างตา แล้วก้มลงจูบหน้าผากเธอเบา ๆ ก่อนออกไปทำงาน บางวันก็มีเธอในเสื้อนอนหลวม ๆ ยืนพิงวงกบประตูส่งเขาด้วยสายตาอ่อนโยนที่เขาไม่เคยเห็นจากใครมาก่อน ช่วงสายวันหนึ่งริมซอยแคบในชุมชนกลางเมืองกรุงเทพ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของข้าวสวยหุงใหม่ลอยมาตามลม ทะลุช่องไม้ กลืนไปกับเสียงวิทยุของบ้านข้าง ๆ ที่เปิดข่าวเสียงแตกพร่า ทิพย์ธาราค่อย ๆ เดินลงบันไดไม้ทีละขั้น ฝ่าเสียงแผ่วของพื้นที่ลั่นเบา ๆ มาจนถึงชั้นล่าง เธอวางขันน้ำลงข้างตัว แล้วนั่งพับเพียบบนเสื่อผืนเก่าที่ปูอยู่ริมผนังปูนเย็น ๆ ใต้ชายคา ข้างเธอมีกะละมังพลาสติกใบใหญ่สองใบ วางแน่นิ่งเหมือนรอให้วันใหม่เริ่มต้น ยูนิฟอร์มนักเรียน เสื้อยืดซีด ๆ ของวัยรุ่นในซอย และผ้าขาวม้าลายหม่นของเจ้าของแผงผัก ถูกกองอยู่ในนั้นเรียบร้อย เต็มไปด้วยกลิ่นของชีวิตธรรมดาที่เหนื่อยแต่ซื่อตรง ทิพย์ธาราเทน้ำลงกะละมังใบหนึ่งอย่างแผ่วช้า ก่อนจะโปรยผงซักฟอกลงไป ค่อย ๆ ใช้มือกวนให้ละลาย ฟองขาวเริ่มลอยขึ้นแตะผิวน้ำ กลิ่นสะอาด ๆ ของผงซักฟอกลอยประปนกับกลิ่นข้าวสวยร้อน ๆ จากครัวด้านใน ขณะเธอกำลังจะหยิบเสื้อตัวแรกลงแช่ เงาหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาหยุดใกล้ เอกภพยืนอยู่ตรงข้างเธอ ไม่พูดจาในทันที เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีซีดเรียบ กับกางเกงผ้าขายาวที่ดูรีดไว้ดี วันนี้วันหยุดทำงานของเอกภพ แต่เขาเพิ่งกลับมาจากทำธุระข้างนอกเกี่ยวกับเรื่องที่ทำงานเช่นเดียวกัน “ธารา” เขาเรียกชื่อเธอเบา ๆ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ปัดไรผมที่ปลิวเข้าหน้าออกจากแก้มด้วยท่าทางแผ่วเบา ดวงตาสบกับเขาอย่างเงียบงัน “อ้าว พี่เอก กลับมาแล้วหรอ” เอกภพยิ้มตอบเธอด้วยแววตาอบอุ่น ก่อนจะพูดขึ้นด้วยแววตาดูเป็นประกาย “เมื่อเช้ามีจดหมายมาถึงพี่... จากเพื่อนที่บางแคน่ะ” ทิพย์ธารายังคงทำหน้าที่ของเธอต่อไป โดยที่ยังไม่ได้หันหน้ามาหาสามีทั้งหมดเสียที่เดียว “เขียนมาว่าไงหรอพี่” น้ำเสียงฟังดูมีความสงสัยเล็กน้อย แต่เธอก็ยังไม่วางมือจากกองผ้าตรงหน้า เอกภพย่อตัวลงนั่งข้างเธอ มือวางบนเข่าตัวเองอย่างเป็นระเบียบ อีกมือเอื้อมไปหยิบฟองสบู่ในกะละมังปั้นเล่น ช้า ๆ “เขาบอกว่า มีร้านทองที่ญาติเขากำลังหาช่างพอดี อยู่แถวตลาดเก่า ไม่ไกลจากที่นี่ รายได้ก็ดีกว่างานประจำด้วยล่ะ จ่ายเป็นงวด ทำเสร็จแต่ละชุดเขาก็จ่ายเลย เขาแนะนำพี่ไปแล้วนะ ทำงานได้อาทิตย์หน้าเลยด้วย” “จริงหรอพี่” ทิพย์ธาราชะงัก เธอเหลือบตามองเขา แล้วพูดเบา ๆ แต่เร็วขึ้นนิดหน่อย เอกภพพยักหน้า ยิ้มจาง ๆ ปรากฏตรงมุมปาก “ไม่รู้จะอยู่ได้นานไหม แต่ก็เริ่มต้นได้บ้างละ ร้านไม่ใหญ่ แต่เขาบอกจะสอนเพิ่มให้ถ้าขยัน” ทิพย์ธารายิ้มออกมา ดวงตาสว่างขึ้นอย่างชัดเจน จับมือเขาไว้แน่น “แค่นี้ก็ดีมากแล้วพี่ เราแค่ต้องเริ่มตรงไหนสักแห่ง ไม่ต้องใหญ่โต ขอแค่พี่มีความสุข สบายใจก็พอ” มือของเขานิ่งอยู่ในมือเธอ ความอุ่นที่แล่นผ่านฝ่ามือดูเหมือนจะทำให้บรรยากาศไม่ว่างเปล่า เงียบกันไปครู่หนึ่ง เอกภพค่อย ๆ เอียงตัวเข้ามาใกล้ มองแก้มเธออย่างไม่เร่งรีบ ปลายนิ้วไล้ผมที่ทัดอยู่หลังหูเธอเบา ๆ แล้วก้มลงแตะแก้มเธอเบา ๆ ด้วยริมฝีปากอุ่น ๆ จังหวะสั้นแต่เต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่ไม่ต้องพูดเป็นคำ เธอสะดุ้งเล็กน้อย หันมองเขาอย่างตกใจนิด ๆ แต่ไม่ถอย มือยังจับมือเขาไว้แน่น ดวงตาหลุบต่ำนิดหนึ่งก่อนจะพูดเสียงเบามาก “…แอบหอมเหรอพี่” เอกภพหลุดหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “ก็เห็นเธออารมณ์ดี เลยอยากให้รางวัลนิดหน่อย” “ให้รางวัลเขาทำแบบนี้กันทุกคนเลยหรือเปล่าน้า” ทิพย์ธารายู่ปากเล็กน้อย “เปล่า” เขาตอบเรียบ ๆ แล้วเอียงหน้ากระซิบชิดหูเธอ “คนนี้พิเศษ” เธอชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้าหนี ยิ้มเก็บไว้ในแก้มแดงเรื่อทั้งสองข้าง จังหวะนั้นเอง เสียงเด็ก ๆ วิ่งเล่นในซอยก็ดังแทรกขึ้นมา เสียงหัวเราะไล่กันไปตามร่องถนนเปียกชื้นจากฝนเมื่อคืน เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ และกลิ่นดินชื้นทำให้ความเงียบงันระหว่างทั้งสองถูกกลบไปอย่างนุ่มนวล แล้วเสียงยายละม่อมก็ดังแทรกเข้ามาจากหลังรั้วบ้านถัดไป “ธารา! ฝากซักให้ยายอีกสักเจ็ดแปดชิ้นนะลูก มันเลอะขี้ดินมาเยอะเลย” ทิพย์ธาราหันไปตามเสียง แล้วยกยิ้มรับตะกร้าไม้จากมือแกอย่างคล่องแคล่ว “ได้เลยจ้ะยาย เดี๋ยวซักให้ เย็นนี้เสร็จแน่นอน” เธอหันกลับมาหาเอกภพอีกครั้ง รอยยิ้มยังอยู่เต็มในหน้า แววตาเปล่งประกายเจิดจ้า “เห็นไหมพี่... ลูกค้าเริ่มมาเรื่อย ๆ แล้ว ของพี่ก็เหมือนกัน งานที่เงินดี ๆ ก็เข้ามาหาแล้วด้วย” ว่าแล้วทิพย์ธาราก็นั่งลงซักผ้าต่ออย่างเร็ว .. ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทิพย์ธารายืดตัวตรงหลังจากซักผ้าเสร็จ บิดขี้เกียจจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น เอกภพที่นั่งพิงผนังอยู่ข้าง ๆ เงยหน้ามองเธอ “เมื่อกี้เสียงอะไรนะ? กระดูกธาราหรอ?” “อื้อ กระดูกน่ะสิพี่ ไม่ใช่ไม้ไผ่ นั่งซักผ้านาน ๆ แล้วมันเมื่อยหลัง” เธอหัวเราะในลำคอ เขาขยับตัวเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้าเธอ “งั้นลุกก่อน เดี๋ยวพี่นวดให้” “ไม่เอา พี่ก็เมื่อยเหมือนกันล่ะสิ ไม่ต้องมาแกล้งหล่อใจดีเลย” ทิพย์ธาราทำหน้างอ เอกภพหัวเราะ แต่ยังยื่นมือต่อไป เธอลังเลนิดหนึ่งก่อนจะวางมือลงในมือเขาอย่างเบา ๆ แล้วถูกดึงให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ พอยืนได้เต็มตัว เธอก็สะบัดแขนสองข้างเบา ๆ แล้วสูดลมหายใจลึก “แดดเปรี้ยงเลย ไปตากผ้าดีกว่า เดี๋ยวผ้าไม่แห้ง” “เดี๋ยวพี่ช่วยถือ” เอกภพก้าวไปหยิบตะกร้า เขาแบกผ้าขึ้นพาดบ่าอย่างเคยชิน แล้วเดินตามหลังเธอไปยังราวตากผ้าด้านหน้าห้องพักที่ติดกับถนนเส้นหลักในซอย ทิพย์ธาราหยิบผ้าทีละชิ้น ปัดให้คลายตัวแล้วตากเรียงอย่างระมัดระวัง มือที่ขยับอย่างคล่องแคล่วทำให้เอกภพเฝ้ามองเธออยู่เงียบ ๆ อยู่พักใหญ่ “พี่เอก ถ้าพี่ได้ทำงานร้านทองจริง ๆ พี่จะยังมีเวลาอยู่แบบนี้ไหม” เธอเอ่ยขึ้นในขณะที่มือยังไม่หยุด “อยู่แน่ เผลอ ๆ อาจจะเยอะกว่าตอนอยู่ที่นี่อีก พี่ไม่หายไปไหนหรอก” เขาตอบทันที “ทำไม กลัวอะไรหรอครับที่รัก” เอกภพโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ๆ เธอ แล้วพูดขึ้นช้า ๆ “ก็ไม่ได้กลัว แค่คิดเฉย ๆ” เธอยิ้มบาง ๆ แล้วหันไปหยิบผ้าชิ้นถัดไป “ฉันชินกับการที่พี่อยู่แถว ๆ นี้น่ะ มันก็เลยรู้สึกแปลก ๆ ถ้าพี่ต้องไปกลับทุกวัน” “อยากให้พี่อยู่ใกล้ ๆ เหรอ?” “อย่าเอาคำพูดฉันไปตีความนะพี่เอก!” เธอหันมามองเขา ตาค้อนแต่ปากยังกลั้นยิ้ม “พี่ไม่ได้ตีความ แค่ฟังแล้วรู้สึกดีเฉย ๆ” เขาตอบเรียบ ๆ แล้วค่อย ๆ เอื้อมมือมาหยิบปลายผ้าขาวม้าของตาลุงที่หล่นพื้นขึ้นมา ตากไว้ให้เรียบร้อย ทิพย์ธารายืนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเบา ๆ “คือ…ถ้าพี่ไปทำงาน แล้วได้เงินเดือนจริง ๆ ฉันว่าจะเอาเงินส่วนฉันไปซื้อหม้อหุงข้าวใหม่ล่ะ หม้อที่ใช้ตอนนี้มันไหม้ข้างล่างตลอดเลย” “ดีเลย พี่จะซื้อหมอนใบใหม่ด้วย ใบที่พี่ใช้อยู่มันยุบจนแทบจะกลายเป็นผ้าเช็ดเท้าแล้ว” “แล้วจะเหลือเงินเก็บไหมล่ะนั่น?” เธอหัวเราะเบา ๆ ขณะปัดผ้าอีกผืนหนึ่งขึ้นราว “ไม่เหลือก็ไม่เป็นไร แค่มีคนให้หอมแก้มทุกเช้าก็หายเหนื่อยแล้ว ไม่สนใจอะไรเท่านี้แล้วล่ะ” “พี่เอก!!” เธอยืนยิ้มอยู่กับที่เหมือนคนไม่รู้จะหันหน้าหนีไปทางไหน แกร็ก ๆ กึง ๆ เสียงเครื่องทอผ้าในโรงงานเก่าแก่ย่านชานเมืองกรุงเทพดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ กลบเสียงอื่นแทบหมด แม่วารี ผละจากเครื่องจักรในช่วงพักกลางวัน ผ้าเย็นที่เธอใช้เช็ดหน้าถูกวางพาดบนบ่า ส่วนมืออีกข้างถือข้าวกล่องใบเล็กที่ห่อด้วยถุงผ้าลายจุดสีจาง ๆ ดูเก่าแต่สะอาด ตอนนี้เธอได้งานเป็นพนักงานทอผ้าในโรงงานแห่งหนึ่ง ทำงานวันละหลายชั่วโมงในความร้อนอบอ้าวของอาคารปิดทึบ พัดลมเพดานหมุนช้า ๆ ไม่ทันลมหายใจแรง ๆ ที่แทรกผ่านเสียงเครื่องจักร แต่ในดวงตาของเธอกลับยังแฝงความเข้มแข็งที่ไม่ยอมจำนน เธอกับเพื่อนร่วมงานอีกสองสามคน เดินเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ข้างโรงงาน ซอยแคบที่เต็มไปด้วยบ้านเช่าเรียงแถวกันแน่นขนัด ร้านข้าวแกงราคาถูกตั้งเตาไว้หน้าบ้าน กลิ่นพริกแกงกับไอร้อนอบอวลไปทั่ว และเสียงวิทยุเก่า ๆ ที่เปิดเพลงของสุนทราภรณ์คลอเบา ๆ ดังลอดออกมาจากลำโพงแตก ๆ บรรยากาศนั้นคุ้นเคยอย่างยิ่ง ราวกับกาลเวลาเดินช้าลงในซอยนี้ “ไปนั่งตรงศาลานั่นดีกว่าวารี ลมมันพัดเย็นหน่อย” เพื่อนคนหนึ่งชี้ไปยังศาลาไม้เล็ก ๆ ใต้ต้นมะม่วงใบดก วารีพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วหย่อนตัวลงนั่งบนม้านั่งไม้เก่า เสียงไม้ลั่นเบา ๆ เมื่อเธอเอนหลังพิง เธอคลี่ถุงข้าวกล่องออก แต่ทันใดนั้นขณะที่เธอกำลังจะเปิดข้าวกล่อง สายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่ทำให้มือของเธอชะงักกลางอากาศ ใบหน้าของวารีเปลี่ยนไปทันทีจากความตกใจเป็นความโกรธจัด ดวงตาที่เคยแกร่งเงียบกลับลุกวาบเหมือนเปลวไฟ "วารี เป็นอะไรไป?" เพื่อนคนหนึ่งถาม เมื่อเห็นสีหน้าเธอเปลี่ยนกะทันหัน เธอไม่ตอบ ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง มือที่ถือช้อนสั่นเล็กน้อย ข้าวในกล่องก็ยังไม่ถูกเปิดแม้แต่นิดเดียว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD