เมื่อถึงเวลาเข้างานของทิพย์ธารา เอกภพขับรถไปส่งเธอที่หน้าออฟฟิศ รถจอดเทียบข้างฟุตปาธ เสียงเครื่องยนต์เงียบลงอย่างสงบ ท่ามกลางเสียงรถราที่เริ่มพลุกพล่านในย่านออฟฟิศยามเช้า
ในรถยังไม่มีใครพูดอะไรทันที
ทิพย์ธารายังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม มือทั้งสองวางซ้อนกันบนตักอย่างเรียบร้อย นิ้วมือข้างหนึ่งขยับไล้นิ้วโป้งของอีกข้างเบา ๆ โดยไม่รู้ตัว ใบหน้าหันออกไปมองตึกออฟฟิศตรงหน้า ราวกับพยายามรวบรวมสมาธิหรือสูดหายใจให้เต็มปอดก่อนเริ่มวันใหม่
เอกภพละมือจากพวงมาลัย แล้วเอนตัวพิงเบาะเบา ๆ หันมองเธอเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้พูดทันที แต่สายตาก็เหมือนถามบางอย่างอยู่ลึก ๆ จนกระทั่งเสียงทุ้มนุ่มค่อย ๆ เอื้อนเอ่ยขึ้น
“พรุ่งนี้... พี่จะไปรับเธออีก เธอจะยังอยู่รอพี่ไหม?”
เธอชะงักไปนิดหนึ่ง ไม่ได้ตอบทันที เสี้ยวหน้าของเธอที่เอกภพมองเห็นยังสงบเงียบอยู่ชั่วขณะ ทิพย์ธาราค่อย ๆ หมุนหน้ากลับมาสบตาเขา สายตานิ่ง ๆ แต่มีแววเหมือนกำลังครุ่นคิดคำตอบอยู่ข้างใน
ริมฝีปากของเธอขยับเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ ไม่ใช่รอยยิ้มที่ส่งมาเพื่อเอาใจ หากแต่เหมือนส่งกลับไปอย่างเป็นคำตอบที่แนบเนียน
“ถ้ามาไม่สาย... ก็คงเจอนะ”
เขาหลบตามองยิ้มของเธอครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นใหม่ ดวงตาคู่นั้นยังไม่ละไปไหน
“แปลว่าเธอจะรอ?” เขาถามย้ำอย่างมีความหวัง น้ำเสียงของเขายังติดอ่อนโยน แต่เหมือนวางใจไม่ลงจนกว่าจะได้ยินคำที่ชัดเจน
ทิพย์ธาราหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนั่นไม่ได้ดังนัก แต่มันเหมือนละลายบรรยากาศในรถให้ผ่อนคลายลง
“ตีความเข้าข้างตัวเองเหมือนกันนะพี่เนี่ย”
เอกภพยักไหล่น้อย ๆ อย่างไม่ปฏิเสธ ไม่ยืนยัน ท่าทีดูเหมือนจะขี้เล่น แต่แววตานั้นกลับมีความจริงจังซ่อนอยู่
“ไม่หรอก” เขาเอ่ย “พี่แค่... ไม่อยากพลาดโอกาสดี ๆ ไป”
เธอหันหน้าออกไปมองข้างนอกอีกครั้ง คราวนี้เหมือนตั้งใจหลบสายตาเขานิดหน่อย ริมฝีปากยังมีรอยยิ้มจาง ๆ ติดอยู่ตรงมุม
“แล้วพี่รู้ได้ยังไงล่ะ ว่านี่เป็นโอกาสดี”
“ก็... คงเพราะเช้านี้มันดีมากล่ะมั้ง” เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบช้า ๆ เสียงเบากว่าทุกที แต่ฟังดูมั่นคง
ทิพย์ธารายังไม่ได้ตอบอะไรในทันที แววตาของเธอยังมองออกไปเบื้องหน้า แต่แววเขินอายบางอย่างค่อย ๆ ปรากฏบนใบหน้าแทนคำพูด เธอกะพริบตา แล้วหันกลับมาเลื่อนมือจับลูกบิดประตูรถไว้แผ่วเบา
ก่อนจะผลักประตูเปิดช้า ๆ แล้วก้าวลงจากรถอย่างสงบ ทุกอิริยาบถดูเหมือนรอบคอบและตั้งใจ
เธอก้าวพ้นขอบประตูมาแล้ว แต่ก็ยังไม่เดินไปไหนทันที ทิพย์ธาราหันกลับมาหาเขาอีกครั้ง
“งั้นพรุ่งนี้... ฉันก็อยู่ที่เดิมก็แล้วกัน”
เอกภพยิ้มกว้างขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ แววตาเขาเปล่งประกายจริงใจ รอยยิ้มนั้นเหมือนเป็นคำขอบคุณโดยไม่ต้องพูดออกมา
“งั้นตกลงตามนี้เลยนะ!”
ทิพย์ธาราส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็ยังยิ้ม “แต่ถ้าพี่มาช้า ฉันจะขึ้นรถเมล์ไปก่อนนะ” เธอว่าเสียงติดตลก กลบความเขินของตัวเองด้วยน้ำเสียงขี้เล่นนิด ๆ
“พี่จะตั้งนาฬิกาตั้งแต่คืนนี้เลย ไม่ยอมให้ธาราขึ้นรถเมล์แน่ ๆ”
เสียงหัวเราะของทั้งสองดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกันในรถเช้าที่อากาศยังเย็น ๆ พอดี
ทิพย์ธาราขยับหันมาอีกครั้ง มือหนึ่งปิดประตูรถไว้ยังไม่แน่นนัก เธอมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ขอบคุณสำหรับข้าวเช้านะพี่” เธอเว้นจังหวะนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “แล้วก็... ขอบคุณที่ตั้งใจมาเจอ”
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ ธารา” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มจริงใจที่ยังไม่จางไปจากใบหน้าเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
ทิพย์ธาราพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าตึกไป โดยไม่หันกลับมาอีก
เอกภพมองตามแผ่นหลังนั้นไปจนลับตา ไม่รีบร้อนสตาร์ทรถ หรือควานหากุญแจ เขายังคงนิ่งอยู่ในท่านั้น ความรู้สึกบางอย่างในอกคล้ายคลึงกับความตื่นเต้น แต่ก็อบอุ่นอย่างประหลาด
และเป็นครั้งแรกในชีวิตเขาเลย ที่รู้สึกว่าอยากเริ่มต้นอะไรบางอย่างกับใครสักคน
ท้องฟ้ายามเย็นไล่เฉดจากส้มอ่อนเป็นเทาอมน้ำเงิน เมฆบางเบาคลี่ตัวอย่างช้า ๆ เหมือนถูกลมหอบให้ลอยไปตามทางของมัน เสียงเครื่องพิมพ์ดีดจากชั้นสองเริ่มซาลง เมื่อเข็มนาฬิกาแตะเลขห้า
ทิพย์ธาราค่อย ๆ วางกระดาษแผ่นสุดท้ายลงบนแฟ้ม แล้วดึงยางรัดปิดเอกสารอย่างเรียบร้อย เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ บิดตัวเบา ๆ หนึ่งครั้งก่อนหยิบกระเป๋าผ้าใบเดิมขึ้นพาดบ่า
ส้นรองเท้าของเธอส่งเสียงแผ่วเบาใต้ฝ่าเท้าเมื่อเธอก้าวลงอย่างระมัดระวัง หัวไหล่ลู่ลงเล็กน้อยด้วยความเหนื่อยล้า แต่ในแววตากลับไม่ว่างเปล่า มีอะไรบางอย่างอุ่น ๆ ติดอยู่ในใจ เหมือนความรู้สึกดีเล็ก ๆ ที่ยังไม่ยอมจางไปตามชั่วโมงทำงาน
เธอก้าวมาถึงฟุตปาธ คิดจะข้ามไปที่ป้ายรถเมล์เหมือนทุกเย็น แต่แล้วเสียงเครื่องยนต์เบา ๆ ดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม เสียงนั้นไม่ได้ดังมาก ทว่ากลับดึงความสนใจของเธอได้ในทันที
รถคันเก่าคันหนึ่งเหมือนเคยเห็นค่อย ๆ แล่นเข้ามาจอดช้า ๆ กระจกหน้าต่างฝั่งคนขับเลื่อนลงช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าพร้อมรอยยิ้มแบบที่เธอไม่แน่ใจว่ารอคอยอยู่หรือเปล่า
“เหนื่อยมั้ย?” เขาถามเสียงนุ่ม
เธอเบิกตานิดหน่อย “พี่เอก! มารับอีกแล้วหรอ?”
“ก็พี่บอกว่าจะเจอธาราอีกนี่” เขายักไหล่เบา ๆ ราวกับคำตอบนั้นง่ายดายเหมือนเรื่องธรรมดา
“มาส่งแล้วยังจะมารอรับอีกหรอ นี่พี่ทำงานอะไรเนี่ย? ฉันนึกว่าพี่จะมาอีกที่พรุ่งนี้เลยซะอีก”
เขาหัวเราะเบา ๆ “เป็นคนขับรถของความบังเอิญมั้ง ขึ้นมาสิ... พี่พาไปกินข้าว”
ทิพย์ธาราชะงัก มือข้างหนึ่งกำสายกระเป๋าแน่น เธอไม่ได้ตอบทันที ไม่ได้ยิ้มทันที ไม่ได้ขยับเข้ามาหาเขาทันทีเหมือนครั้งก่อน
เธอเงียบไปนิดหนึ่ง ดวงตาหลุบลงนิดหน่อยแล้วจึงเงยขึ้นมองหน้าเขาอีกครั้ง รอยยิ้มของเขายังอยู่อย่างนั้น นิ่ง อบอุ่น แต่ไม่เร่งรัด
“จะขึ้นไปอีกแล้วหรอธารา…” เธอถามตัวเองในใจเงียบ ๆ
“สรุปว่าไม่อยากเจอต่อ? หรืออยากเจออีกกันแน่เนี่ย นี่ฉันใจแตกไปหรือยัง?”
เธอเม้มปากนิดหนึ่ง ใจเธอคล้ายลังเลระหว่างการยอมรับอะไรบางอย่างกับการระวังตัวอย่างเงียบ ๆ แต่แล้วเสียงของเขาก็ดังขึ้นมาอีก
“ถ้าไม่หิว พี่ก็แค่จะขับไปส่งบ้าน... ไม่คิดมากหรอก”
คำพูดนั้นเหมือนจะค่อย ๆ ละลายเกราะบาง ๆ ที่เธอเพิ่งสร้างขึ้นในใจ เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้ายิ้ม ๆ
“ระวังจะโดนฟ้องข้อหาลักพาตัวคนไปกินข้าวบ่อย ๆ นะ”
“ก็ถ้ามีคนยอมขึ้นรถด้วย พี่ถือว่าไม่ผิดนะ”
เธอทำหน้าเหมือนไม่อยากยอมง่าย ๆ หันซ้ายขวา แต่สุดท้ายก็เปิดประตูเข้าไปนั่ง ร่างเล็กทรุดตัวลงบนเบาะผู้โดยสาร กลิ่นลมเย็นในรถผสมกลิ่นเสื้อสะอาดของเขาแตะจมูกเบา ๆ เธอวางกระเป๋าไว้บนตัก ค่อย ๆ หันมามองเขานิดหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น
“นี่พี่ว่างขนาดนี้เลยหรอ?”
เอกภพหลุดหัวเราะให้กับคำถามของเธอไม่พอ ยังต้องมาขำหน้าเธอที่สงสัยเขาเหมือนกับว่าเขาไม่ทำการทำงานอีก
“สิทธิพิเศษของคนขยันน่ะครับ”
“แล้วจริง ๆ พี่ทำงานอะไรกันแน่ล่ะ?”
“ก็ทำหลายอย่างนะ... แต่ตอนนี้ สนใจอยากทำแค่อย่างเดียว” เขาเอนหลังพิงเบาะ มองถนนตรงหน้าเหมือนกำลังไล่เรียงคำตอบในหัว
“อะไรล่ะ?” เธอเลิกคิ้ว
“รู้จักธาราให้มากขึ้น”
“พูดเป็นเล่น” ทิพย์ธาราหลุดขำในลำคอ หันหน้าไปทางกระจก
“อ่ะ ๆ จริงครึ่งนึง”
“อีกครึ่งนึงคือ…”
“พี่ทำงานอยู่โรงงานไม่ไกลจากนี้หรอก ธารามีอะไรจะซ่อมไหม พี่จะซ่อมให้ดู”
“จะบ้าหรอพี่ คุยกันอยู่ดี ๆ มาขอซ่อมของได้ไง”
“งั้นขอซ่อมใจเธอแทนได้ไหม เผื่อประตูหัวใจจะเปิดง่ายขึ้น”
เธอหลุดหัวเราะ แล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง พยายามซ่อนสีแดงระเรื่อที่เริ่มขึ้นจากแก้มลามไปถึงใบหู
เธอนั่งเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเบา ๆ โดยไม่มองหน้าเขา
“แต่พี่จริงจังกับการมาส่งมารับฉันแบบนี้เลยอะนะ?”
เอกภพพยักหน้าเบา ๆ ขณะมองตรงไปยังถนนที่เริ่มมีไฟรถวิ่งผ่านประปราย “ถ้าเช้าเราเริ่มต้นด้วยกันได้ดี... เย็นก็ควรจบวันดี ๆ เหมือนกัน ไม่ใช่เหรอ?”
เธอไม่รู้จะพูดอะไรต่อได้แต่นั่งเม้มปากอยู่ข้างเขา เขาเห็นเธอแล้วอดที่จะเอ็นดูเธอไม่ได้จึงแอบขำอยู่ในลำคอ
...
ทิพย์ธาราเดินขึ้นบันไดบ้านไม้ย่านเจริญกรุงช้า ๆ เสียงฝ่าเท้าเบา ๆ กระทบไม้กระดานที่แผ่วเบาแต่ชัดเจนในช่วงเย็นที่เงียบสงบ กระเป๋าสะพายถูกเลื่อนจากไหล่มาพาดกับมือ ก่อนที่เธอจะหยุดยืนตรงหน้าประตู สายตามองทอดออกไปยังถนนซอยที่เพิ่งเดินจากมา ราวกับยังมีเงาใครบางคนเคลื่อนไหวอยู่ในมโนสำนึก
“กลับมาแล้วหรอธารา!”
เสียงแป้งร่ำดังลั่นออกมาจากในครัวตามด้วยกลิ่นกล้วยทอดหอมฉุยที่ลอยตามลมออกมา
“ฉันทอดกล้วยไว้ร้อน ๆ มาเร็ว!”
เสียงนั้นแฝงแววตื่นเต้นปนความคุ้นเคยของบ้านที่เป็นมากกว่าที่พักพิง
ทิพย์ธาราถอดรองเท้าแตะวางเรียงอย่างเรียบร้อยไว้ข้างประตู แล้วเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเบา ๆ ราวกับไม่อยากให้ความอบอุ่นในบ้านหายไปแม้แต่นิดเดียว
“แป้ง…” เธอเอ่ยเรียกพร้อมกับถอดเสื้อคลุมพาดไว้ที่เก้าอี้ไม้ตัวเล็กริมประตูห้องครัว “ฉันมีเรื่องจะเล่า!”
เสียงของเธอมีจังหวะเร่งเร้า เธอนั่งลงบนเสื่อผืนเดิมตรงข้างจานกล้วยทอด ร้อน ๆ เหลืองกรอบหอมฟุ้งตรงหน้าจนเกือบลืมเรื่องที่อยากเล่าไปชั่วขณะ
แป้งร่ำหยิบกล้วยทอดขึ้นมากัดพอดี หันมามองด้วยหางตาพร้อมยิ้มมุมปาก “เรื่องพี่เอกภพใช่มั้ย?”
ทิพย์ธาราทำตาโตทันที “รู้ได้ไง!”
เธอขยับตัวเข้าใกล้แป้งร่ำอีกนิด ใบหน้ากึ่งอยากรู้อยากเห็น กึ่งเขินอายแบบคนที่มีเรื่องใหม่สด ๆ ในใจ
“เธอบอกเขาหรอแป้ง?” เสียงนั้นเบาลง แต่แฝงน้ำเสียงระแวงอย่างเล่น ๆ
“ปะ…เปล่า ใครจะไปบอก” แป้งร่ำพูดพลางเอื้อมไปหยิบกล้วยอีกชิ้น ทำเป็นไม่สบตา
ทิพย์ธาราจ้องเธอเขม็ง “โกหกบาปนะ!”
แล้วเธอก็ขยับตัวเข้ามาใกล้อีก คราวนี้เอียงหน้าเล็กน้อย จ้องมองเพื่อนสาวอย่างไม่ลดละ
“อะไรธารา ไม่ใช่ฉันนะ!” แป้งร่ำยกมือข้างหนึ่งขึ้นตั้งการป้องกันตัว พร้อมขยับตัวออกเล็กน้อย
“จริงหรอแป้ง”
“จริงสิ”
“แน่นะ”
“อ๋อแน่สิ” แป้งร่ำตอบเสียงสูงเล็กน้อย
“อย่ายั่วนะ”
“ไม่ยั่วสิ”
“คนอวดดี”
“จะอวดดี”
ทิพย์ธาราเริ่มขยับเข่าเข้ามาใกล้ ทำท่าจะตะครุบคอแป้งร่ำเล่น “อ่าว ถ้าเธออวดดีก็แสดงว่า…”
“งั้นฉันไป…” แป้งร่ำรีบลุกขึ้นเสียงดังพรวด ราวกับตั้งใจเบี่ยงประเด็นหนีออกมาให้ได้
“จะไปไหนแป้ง”
“ไปอาบน้ำก่อนเด้อ” เธอพูดพลางเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องครัว พร้อมเสียงหัวเราะในลำคออย่างกลั้นไม่อยู่
ทิพย์ธารามองตามแผ่นหลังที่รีบไปอย่างเร็ว แววตาวิบวับเต็มไปด้วยแผนการ ก่อนจะหลุดขำพรืดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
...
เสียงน้ำจากขันเทราดลงถังในห้องน้ำดังมาเป็นระยะ เสียงถังน้ำกระทบพื้นดังตุ้บเบา ๆ แล้วเงียบลง
ประตูไม้บานเล็กค่อย ๆ แง้มออก แป้งร่ำในชุดผ้าขนหนูพันตัวแน่น เดินก้าวออกมาเงียบ ๆ มือหนึ่งเช็ดผมเปียกด้วยผ้าผืนเล็ก สายตาเหลือบมองซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง
เธอก้าวเท้าไปได้เพียงไม่กี่ก้าว...
“แป้งร่ำ!” เสียงเรียกช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงกดต่ำ แว่วขึ้นมาจากมุมมืดตรงหน้า
“ตาเถรยายชี!!!”
แป้งร่ำโดดตัวลอยแทบจะยกลอยทั้งตัว มือสองข้างกอดผ้าขนหนูแน่นจนแทบจะหลุดวิ่งกลับเข้าห้อง
ทิพย์ธารายืนเท้าสะเอวอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ใบหน้าสงบเสงี่ยมแต่ดวงตาวิบวับเจ้าเล่ห์
“แกมัน...มันจอมแกล้ง!” แป้งร่ำพูดพลางหอบหายใจ มือชี้หน้าเพื่อนทั้งที่ยังกลั้นหัวเราะไม่อยู่
“ก็ใครใช้ให้รีบวิ่งหนีล่ะ บอกมา!” ทิพย์ธาราตอบกลับหน้าตาเฉย มือข้างหนึ่งยกขึ้นกอดอกอย่างไม่ยอมแพ้
“โอ๊ย ขอแต่งตัวก่อนได้มั้ยเล่า ตกใจหมด!” แป้งร่ำพูดพลางถอยหลังหนีเข้าไปในห้องอย่างเร่งรีบ ปากยังคงพึมพำบ่นไปเรื่อย
ทิพย์ธาราหัวเราะคิกอย่างอารมณ์ดี แล้วรีบเบี่ยงตัวเปิดทางให้เพื่อนสาวเดินผ่านไป
แป้งร่ำทำหน้าหงุดหงิดแบบแกล้ง ๆ พร้อมกับแอบยิ้มอยู่ที่มุมปากเล็กน้อย พอเดินเข้าไปพ้นประตูก็ได้ยินเสียงขำของทิพย์ธาราตามหลังมาอีกระลอก
...
“ฉันคุยกับวิไลตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ว่าวิไลจะบอกเรื่องเธอกับพี่เอก แล้วดูพี่เขาทำจริงมั้ยล่ะ!”
“ก็วิไลน่ะตัวตั้งตัวตีเลย” แป้งร่ำหัวเราะ “วิไลนั่นแหละ เป็นคนบอกพี่เอกว่าเธอทำงานอยู่ที่ไหน ฉันไม่ได้บอกพี่เอกนะ!”
ทิพย์ธาราถอนใจเล็ก ๆ แต่ใบหน้ายังคงอมยิ้ม “แล้วใครเป็นคนบอกวิไลล่ะ... เธอนี่แหละตัวต้นเหตุ!”
แป้งร่ำทำหน้าเลิ่กลั่ก พลางคิดในใจ “นี่เราโกหกไม่เนียนตรงไหน” ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แต่พี่เขาก็อุตส่าห์ไปดักรอเลยนะ แสดงว่าไม่ได้มาเล่น ๆ นะยะ”
“ฉันก็ยังงงอยู่เลยว่าเขารู้ได้ยังไงว่าฉันรออยู่ตรงนั้น พอถามก็บอกว่าขับรถวนหาเผื่อเจอ… แล้วดันเจอจริง ๆ อีก”
แป้งร่ำถึงกับตบเข่า “นั่นปะไร! เขาสนใจเธอขนาดนี้เลย! ถ้าเป็นฉันนะ เตรียมใจโดนดักรอทุกวันแล้ว!”
“ฉันแค่ยังไม่ชินน่ะ” ธารานั่งกอดเข่าและวางคางบนเข่าอย่างคิดหนัก
“มันเหมือนการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่เกินกว่าที่ฉันคิดไว้นะ”
“ฉันตั้งใจมาเก็บเงิน... แต่ถ้าเริ่มมีใครเข้ามาในชีวิตแบบนี้ มันก็... ไม่มั่นใจว่าจะยังทำตามที่ตั้งใจไว้ได้จริง ๆ หรือเปล่า”
แป้งร่ำแตะที่หัวไหล่เพื่อนก่อนจะพูดขึ้น “เอาน่า มีแฟนไม่ทำให้จนลงเสมอไปหรอก... เดี๋ยวปรับตัวได้ก็ดีเอง คุยกันแบบเปิดเผยไม่ได้มีอะไรผิดซะหน่อย ดีเสียอีกมีคนมาดูแลเอาใจใส่ดีขนาดนี้!”
“เพราะพี่เอกเขาดูมั่นใจมากนี่แหละ ถ้าเร็วเกินไป ฉันกลัวว่าจะตามไม่ทัน”
“เธอไม่ต้องตามหรอก ให้เขาเป็นคนเดินนำก็พอ” แป้งร่ำหัวเราะพลางเท้าคาง
“แต่ระวังหัวใจแกไว้ด้วยนะ เห็นมั้ยตอนนั่งรถกับเขา ใจเต้นแรงจนฉันได้ยินจากที่นี่เลย”
ธาราเขินจัด หยิบหมอนมาเขวี้ยงใส่เพื่อนเบา ๆ “แป้ง! เธอจะล้อฉันไปถึงไหน!”
“ใครว่าฉันล้อเล่น ได้ยินจริงๆ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นในห้องเล็ก ๆ แสงจันทร์ยามค่ำคืนที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้เก่า ๆ ทิพย์ธารารู้ตัวดีว่าเธอกำลังยิ้มมากกว่าที่เคย และแม้จะยังไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น แต่เธอก็ยอมรับกับตัวเองได้แล้วว่า ใจเธอเริ่มเปิดให้เขาทีละน้อย...