ครืนนนน...
เสียงเครื่องยนต์ของรถกระบะเก่าสีซีดกึกก้องสะท้อนก้องไปในยามค่ำคืน ตัวถังรถสั่นน้อย ๆ ตามแรงสั่นของเครื่องที่ผ่านการใช้งานมาหลายปี ฝากระโปรงหน้าเหมือนจะสะท้อนแสงจันทร์วับ ๆ จากฟากฟ้าที่ไร้ดาว
ทิพย์ธารานั่งนิ่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ แผ่นหลังแนบพนักเบาะตรง กลืนตัวอยู่ในเงาสลัวภายในรถ กระเป๋าผ้าสีเทาเก่า ๆ ใบหนึ่งวางอยู่บนตัก เธอประคองมันด้วยมือทั้งสองแน่นหนา นิ้วเรียวเกร็งแนบเนื้อกระเป๋าเหมือนกำลังพยายามกักขังอะไรบางอย่างไว้ข้างใน
เสื้อผ้าสองสามชุดที่เตรียมมาตั้งแต่กรุงเทพ สมุดโน้ตเล่มหนึ่งที่มุมหน้าปกเริ่มขาด จดหมายเขียนค้างที่ไม่ได้ทิ้งไว้
นั่นคือสิ่งที่เธอเอาติดตัวมาในคืนนี้
ข้างนอกหน้าต่าง โลกเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า ถนนลูกรังทอดยาวออกไปอย่างไม่มีสิ้นสุด เงาไม้ริมทางพลิ้วไหวตามแรงลมราวกับกวักมืออำลา ความมืดล้อมรอบทั้งสี่ทิศ ไม่มีแม้แต่เสียงนก หรือแมลงกลางคืนให้ได้ยิน
เอกภพนั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัย สองมือจับมันแน่นจนข้อขาว เขายังคงขับด้วยความเร็วพอเหมาะ ไม่เร่งไม่ช้า ไฟหน้ารถทอดแสงยาวออกไปข้างหน้า สาดลงบนพื้นดินที่มีหลุมบ่อเป็นระยะ ล้อรถสะเทือนทุกครั้งที่ไต่ขึ้นเนินเล็ก ๆ หรือเหยียบหินก้อนใหญ่
เขาเหลือบตามองหญิงสาวที่นั่งข้าง ๆ เป็นพัก ๆ อย่างเงียบ ๆ
ในแสงสลัวภายในรถ เขามองเห็นใบหน้าเธอครึ่งหนึ่ง ด้านที่อยู่ฝั่งกระจกหน้าต่าง ดวงตาเรียวหรี่ต่ำเหมือนจ้องออกไปอย่างไร้จุดหมาย ขอบตาเธอแดงจาง ๆ ผิวแก้มตึงเงียบ เส้นผมปล่อยยาวปรกไหล่ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อยเป็นเส้นบาง
“หนาวไหมธารา?” เอกภพถามเบา ๆ ขณะยังมองถนนตรงหน้า
“ถ้าหนาว เดี๋ยวพี่หยิบผ้าห่มให้ มันอยู่เบาะหลัง”
เธอส่ายหน้าเบา ๆ ช้า ๆ ขนตากระพือเพียงเล็กน้อย มือยังจับกระเป๋าแน่น
“ไม่เป็นไร ฉันโอเค” เสียงตอบของเธอนั้นเบากว่าลมหายใจเครื่องยนต์ เอกภพไม่ถามต่อ เขารับรู้ถึงคำว่า “โอเค” ที่แทบไม่มีน้ำหนัก
เขาขับต่อไปอีกครู่ ถนนเริ่มเลี้ยวผ่านแนวป่าละเมาะ เสียงล้อรถบดผ่านสะพานไม้แคบ ๆ ดังกรอบแกรบในความเงียบ
“พี่เอก” เสียงเธอดังขึ้นอีกครั้ง ขณะสายตายังมองผ่านกระจกเหมือนไม่ได้เรียกใคร
“หืม?” เขาขานรับโดยไม่หันไป
“เรากำลังทำผิดอยู่ใช่ไหมพี่”
คำพูดของเธอขาดตอนเล็กน้อย ดวงตากะพริบหนึ่งครั้งช้า ๆ เหมือนน้ำตามันคลออยู่แต่ไม่ยอมไหลออกมา
“แม่คงเสียใจมาก ฉัน ไม่แน่ใจเลยว่าควรจะทำยังไงต่อ”
เธอขยับมือข้างหนึ่งมาจับสายกระเป๋าใหม่ ปลายนิ้วบิดเบา ๆ ไม่ยอมหยุด
“ทั้งเสียใจ ทั้งโกรธ ฉันคิดถึงหน้าแม่ตลอดตั้งแต่เราก้าวขาออกจากเรือน ฉันไม่กล้าหันไปมองด้วยซ้ำ”
เอกภพไม่รีบตอบ เขาเลื่อนมือซ้ายออกจากพวงมาลัย ยื่นมาวางบนต้นขาเธอเบา ๆ ไม่ได้ลูบ ไม่ได้ขยับ แค่วางไว้แน่นิ่งอย่างมั่นคง
“พี่ไม่ได้คิดว่าเราทำผิด” เขาพูดช้า ๆ เสียงทุ้มแต่แน่วแน่
“เราแค่เลือกอนาคตของตัวเอง แม่อาจไม่เข้าใจตอนนี้ แต่มันไม่ได้แปลว่าเธอผิด”
ทิพย์ธารายังไม่หันมา เธอหลับตาแน่นเล็กน้อยแล้วลืมขึ้นอีกครั้ง ขนตาสะท้อนแสงไฟในรถวูบไหวเล็กน้อย
“แม่เคยยอมรับฉันแล้วครั้งนึง แล้วฉันก็ทำมันพัง”
เธอพูดพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบขอบหน้าต่างเบา ๆ ปลายนิ้วไล้ผ่านรอยน้ำค้างที่เกาะอยู่บาง ๆ จากอากาศเย็น
“ฉันเป็นความหวังของแม่ เขาทุ่มทั้งชีวิตเพื่อให้ฉันได้โตมาอย่างดี มีงานทำ มีทางเลือก แล้วฉันกลับหนีมากับพี่”
เธอหันมามองเขาในที่สุด
“มันไม่ใช่การตอบแทนเลยนะพี่เอก”
เอกภพไม่พูดสักคำ เขาแค่กดมือที่วางไว้บนต้นขาเธอให้แน่นขึ้นนิดหนึ่ง แล้วถอนหายใจช้า ๆ เหมือนพยายามคัดคำให้ชัดก่อนจะพูด
“ธาราไม่ได้ทิ้งแม่ ธาราแค่เดินออกจากความฝันที่แม่วางไว้ แล้วเลือกฝันของตัวเองแทน”
เธอก้มหน้าเสียงเบา “แต่มันแลกด้วยทุกอย่าง ถ้าแม่ไม่ยกโทษให้เลยล่ะ ถ้าแม่ไม่ยอมรับพี่เลย ไปตลอดชีวิต...”
เอกภพนิ่งเงียบลงอีกครั้ง พวงมาลัยแน่นในมือจนกล้ามเนื้อขึ้นเป็นเส้นใต้ผิว
“พี่ยอมรับได้” ประโยคที่เปล่งออกมาเรียบและช้า แต่หนักแน่นจนทุกอย่างในรถเงียบลง
เธอหลบตาลงช้า ๆ ดวงตาคู่นั้นแดงขึ้นทีละนิด
ไม่กี่วินาทีต่อมา เธอเอนหัวพิงกระจกหน้าต่างอย่างเงียบงัน ลมหายใจติดขัดเล็กน้อย เสียงฮึกลึก ๆ ดังลอดออกมา แล้วเงียบไป
ฮึก…
ฝ่ามือเธอที่เคยบีบกระเป๋าคลายออกช้า ๆ ก่อนจะกำใหม่ ราวกับยังไม่อาจวางใจปล่อยวางได้เสียทีเดียว
เอกภพไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงเหลือบมองเธอครู่หนึ่ง วางมือหนาลงบนศีรษะภรรยาอย่างอ่อนโยน แล้วหันกลับมาจ้องถนนต่อ แสงไฟหน้ารถยังทอดยาวไปข้างหน้าเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุด
ทั้งสองเงียบกันอยู่อย่างนั้น
มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ และล้อรถที่บดถนนดินส่งเสียงแห้ง ๆ ในยามดึกที่ทั้งโลกหลับใหล
ไฟท้ายสีแดงเข้มค่อย ๆ เคลื่อนไปช้า ๆ ผ่านเงาไม้ที่ไหวเอนอยู่ข้างทาง มุ่งหน้าเข้าสู่ความสว่างของเมืองใหญ่
บรื้นนน...
...
รุ่งเช้ากลางกรุง...
เสียงเครื่องยนต์รถเมล์สายเก่าครวญครางเมื่อไต่ขึ้นเนินเล็ก ๆ ที่ตัดผ่านย่านชานเมือง ควันดำลอยคลุ้งพัดมาตามลมร้อน กลิ่นเบนซินผสมกลิ่นฝุ่นจากถนนผสมคลุ้งจนชัดเจนในอากาศยามเช้าที่ตึกยังไม่บังแดดเต็มที่ รถราเริ่มแน่นขนัดตามสี่แยก สายไฟระโยงระยางเป็นเงาทาบขวางผืนฟ้า รถกระบะเก่าของเอกภพแล่นช้า ๆ ไปตามถนนคอนกรีตที่เริ่มแตกเป็นลายงู เสียงเครื่องยนต์กระหืดกระหอบคล้ายเหนื่อยล้าไปกับเจ้าของมัน
ทิพย์ธารานั่งนิ่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ ฝ่ามือทั้งสองยังวางอยู่บนกระเป๋าผ้าที่ยังไม่แยกจากตัวตั้งแต่เมื่อคืน เปลือกตาเธอหนักอึ้ง ผิวใต้ตาคล้ำจางอย่างที่ไม่จำเป็นต้องส่องกระจกจึงจะรู้ ดวงตาที่เคยแวววาวในยามสนทนาเหลือเพียงแสงเงาจาง ๆ ที่ทอดไปยังโลกภายนอกผ่านกระจกหน้าต่าง
เอกภพขยับพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปในตรอกแคบ ๆ ซึ่งมีรั้วเหล็กขึ้นสนิมอยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านเป็นกำแพงปูนแตกร้าว ที่ด้านในสุดคือหอพักหลังเก่าที่เคยมีป้ายผ้าขึงอยู่บนดาดฟ้า บัดนี้เหลือเพียงตะปูสองตัวฝังติดผนัง เขาค่อย ๆ ประคองรถเข้าจอดใต้ต้นพญาสัตบรรณซึ่งรากลามขึ้นมาเกยขอบถนน
เขาบิดกุญแจดับเครื่อง เสียงเครื่องยนต์เงียบลงในทันที โลกภายนอกพลันเต็มไปด้วยเสียงอื่นแทน เสียงรถเข็นขายเต้าหู้ทอด เสียงเด็กในชุดนักเรียนเตาะแตะเดินตามแม่ เสียงปิดประตูเหล็กม้วนของร้านโชห่วยใกล้ ๆ ดังแกรกกราก
เอกภพหันมามองเธอช้า ๆ ใบหน้าของเขาซีกหนึ่งมีแสงแดดเฉียงเช้าทาบไว้ ดวงตานิ่งไม่กล่าวสิ่งใดในวินาทีแรก เขาเพียงใช้มือลูบผมเธอเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเหมือนกลัวปลุกบางอย่างในตัวเธอ
“ถึงแล้ว”
ทิพย์ธารากะพริบตาช้า ๆ อย่างคนเพิ่งตื่นจากการงีบแบบไม่รู้ตัว เธอหันหน้ามองรอบด้านตามแสงแดดที่เปลี่ยนทิศ
เธอพยักหน้าเบา ๆ คล้ายจะตอบคำพูดของเขาช้า ๆ แต่ไม่มีเสียงใดเปล่งออกมา
เอกภพเปิดประตูฝั่งคนขับ เสียงบานประตูรถเก่าดังเอี๊ยดคล้ายเสียงถอนใจ เขาลงมายืนเต็มความสูง จากนั้นเดินอ้อมหน้าไปยังอีกฝั่งอย่างไม่รีบร้อน เขายื่นมือเปิดประตูให้เธอ ลมหายใจเขาเป็นจังหวะ เส้นเลือดที่ขมับเต้นจาง ๆ
“ที่นี่หรอ ที่พี่เอกอยู่” เธอพูดเสียงเบาเหมือนพูดกับตัวเอง
เอกภพพยักหน้า “ห้องชั้นสอง ปลายทางเดินฝั่งขวา”
เขาพูดแล้วมองตามสายตาเธอ ซึ่งไล่ไปตามแนวบันได และช่องทางเดินที่ยาวจนถึงสุดตึก
“แป้งเองก็คงยังไม่รู้ว่าฉันกลับมาจากงานแต่งแล้ว แล้วก็จะมาอยู่กับพี่ที่นี่”
เธอพูดโดยไม่หันมา ดวงตาเธอยังคงมองตรงไปข้างหน้า ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อย
“พี่ก็ยังไม่ได้บอกวิไลว่ากลับมาแล้ว” เอกภพมองเธอจากข้างหลัง ก่อนตอบช้า ๆ
เสียงเด็กเล็กคนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าหอพร้อมกล่องข้าวในมือ ทิพย์ธาราหันไปมองตาม เสียงรองเท้าแตะปะทะพื้นคอนกรีตดังแปะ ๆ แล้วไกลออกไป
เธอถอนหายใจหนึ่งครั้งเบา ๆ ก่อนจะหันหน้ากลับมาอีกครั้ง
ชีวิตใหม่เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางเมืองใหญ่ที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีเพื่อน ไม่มีแม่ ไม่มีเงาอดีต มีเพียงคนสองคน กับความกล้าที่ต้องใช้ทุกลมหายใจ แม้แต่ “แป้ง” เพื่อนสนิทที่เคยมาด้วยกัน ยังไม่รู้ว่าเธอมาอยู่ที่นี่ เพราะหอพักนี้เป็นที่เดียวกับที่เอกภพอยู่ในปัจจุบัน.
เย็นวันหนึ่งหลังจากที่เอกภพกับทิพย์ธาราหนีจากพิษณุโลกมาได้เกือบอาทิตย์ ทั้งสองกลับมาที่ร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งเดิม ท่ามกลางเสียงรถสัญจรไปมา เสียงคนพูดคุย และกลิ่นอาหารทะเลผสมกลิ่นควันไฟจากเตาถ่านที่ยังคงลอยอบอวลอยู่ในอากาศ
ร้านนี้เป็นที่แรกที่พวกเขาเจอกันครั้งแรกในกรุงเทพฯ เป็นที่ที่เอกภพเคยขอทิพย์ธาราแต่งงานด้วยเช่นกัน
เอกภพกวาดตามองไปรอบ ๆ ร้านที่มีโต๊ะไม้เก่า ๆ วางเรียงอยู่เรียบง่าย แสงไฟจากโคมไฟเก่าตัวเล็กสาดส่องลงบนโต๊ะอย่างอบอุ่น
ทิพย์ธารานั่งอยู่ข้าง ๆ เขา เส้นผมดำยาวสลวยพาดทับไหล่ข้างหนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติ
เอกภพยื่นมือส่งแก้วน้ำพร้อมกับถามเสียงเบา
“อร่อยไหม?”
ทิพย์ธาราเอียงหน้ามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะตอบพลางรับช้อนข้าวไป
“อร่อยมาก”
ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่กับเขาอย่างรู้ใจ ไม่มีคำพูดใดมากไปกว่านั้น
จังหวะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อดังกระแทกเข้ามาในร้าน
“ธารา! พี่เอก!”
ทิพย์ธาราสะดุ้งเล็กน้อย เธอรีบหันไปทางต้นเสียงทันที
เสียงเร่งฝีเท้าจากสองร่างที่คุ้นเคยเข้ามาใกล้ แป้งร่ำกับวิไลรัตน์ เพื่อนสาวทั้งสองคน วิ่งตรงเข้ามาพร้อมลมหายใจที่ยังไม่ทันได้หายเหนื่อย สีหน้าตื่นตระหนกปนดีใจ
แป้งร่ำสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีฟ้าอ่อน ลายพิมพ์เล็ก ๆ ด้านหน้า เสื้อผ้าของเธอสะท้อนความเป็นวัยรุ่นในยุค 1990 เธอก้าวเข้ามากอดทิพย์ธาราแน่นจนเจ้าตัวแทบเซไปข้างหลัง
วิไลรัตน์ยืนข้าง ๆ ในชุดเสื้อแขนยาวลายดอกไม้กับกางเกงผ้าลินินสีอ่อน เธอเหลือบตามองเอกภพอย่างแววตาสงสัย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดเจน
“ทำไมกลับกรุงเทพกันเร็วนักล่ะ ตอนอยู่ที่งานแต่ง พี่เอกบอกว่าจะอยู่ที่นู่นก่อนนี่นา”
แป้งร่ำตัดบททันทีด้วยความสงสัย
“นั่นสิ ทำไมมาอยู่ที่นี่แล้วล่ะ จะกลับมาทำงานแล้วหรอ”
ทิพย์ธาราหลบตาเล็กน้อย พูดเสียงเบา ๆ
“ฉันเพิ่งไปลาออกมาวันนี้เองล่ะ”
แป้งร่ำขมวดคิ้ว เอียงศีรษะเล็กน้อย ราวกับกำลังคิดทบทวนคำพูดของเพื่อน
“ห้ะ! หรือว่าเธอจะลาออกกลับไปอยู่กับน้าวารีที่พิษณุโลกแล้วหรอ”
เสียงของแป้งร่ำแฝงความสงสัยหนักแน่น ดวงตาคู่คมของเธอจับจ้องทิพย์ธาราราวกับจะอ่านความจริงออก
ทิพย์ธารากลอกตาเล็กน้อย อ้าปากจะตอบ แต่กลับเงียบและยอมให้อ้อมแขนของแป้งร่ำโอบกอดแน่นขึ้นอีกครั้ง
“เปล่าอะ ฉันจะย้ายมาอยู่กับพี่เอก”
เอกภพที่นั่งข้าง ๆ วางมือบนตักตัวเองแล้วยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก ดวงตายังคงเคร่งขรึม จ้องมองไปที่ใดที่หนึ่งราวกับมีอะไรซ่อนอยู่
แป้งร่ำแหย่งเสียงล้อเลียน
“งั้นย้ายไปอยู่กับพี่เอก ก็ไม่เห็นต้องย้ายงานเลยนี่นา”
“แหม มีสามีแล้ว ทิ้งฉันไปเลยนะเพื่อนรัก” เธอหัวเราะเบา ๆ พลางทำท่าทางหยอกล้อ
ทิพย์ธาราขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบาง ๆ และชะงักมือที่วางอยู่บนตักแป้งร่ำ
“ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ” เธอก้มหน้าลง มือเริ่มขยุ้มชายเสื้อพลางพูดเสียงต่ำ
“ก็เพราะก่อนหน้านี้ ฉันเขียนจดหมายกับบ้านทุกเดือน แม่รู้แน่นอนว่าฉันทำงานที่ไหน”
ความเงียบเข้าปกคลุมทุกคนในร้าน ต่างก้มหน้าสบตากันอย่างลึกซึ้ง
แป้งร่ำเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ท่าทางเหมือนกำลังพิจารณาอย่างหนักแน่น
“แต่แม่ของธารารู้ที่ทำงานเธอ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่นา?” วิไลรัตน์เอ่ยเสียงสงสัย
ทิพย์ธารากลั้นหายใจ มือที่เคยขยุ้มชายเสื้อขยับลงมาวางทาบบนตักอย่างลวก ๆ ก่อนยกมือขึ้นลูบคางอย่างช้า ๆ
ไม่มีใครพูดอะไรต่อไป ทุกคนเงียบกริบ
แป้งร่ำสังเกตแววตาของทิพย์ธารา น้ำเสียงเริ่มต่ำลง พร้อมความมั่นใจ
“งั้นก็ทะเลาะกับน้าวารีอีกล่ะสิ” แป้งร่ำพูดขึ้นเบา ๆ แล้วแทรกขึ้นอย่างชัดเจน พลางคิดในใจ “ฉันว่าฉันรู้แน่ ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ทิพย์ธาราก้มหน้าลงเล็กน้อย กดริมฝีปากแน่น ดวงตาเปลี่ยนเป็นรอยย่นเล็ก ๆ ที่มุมข้าง ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้า ๆ
“อืม ถึงแม่จะยอมให้ฉันแต่งงานกับพี่เอก แต่แม่ก็ยังหาวิธีสารพัดไม่ให้ฉันกลับมาด้วยจนกว่าจะมีเงินตั้งตัวให้พร้อมก่อน” เสียงของเธอเบาลงอย่างชัดเจนเมื่อพูดถึงแม่วารี “ฉันเลย หนีมา”
แป้งร่ำขมวดคิ้วทันที
“ห้ะ! เธอหนีน้าวารีมาหรอ แบบนี้ไม่ดีแน่ ๆ ฉันว่าไม่นานแม่เธอต้องมาตามหาที่นี่แน่”
ทิพย์ธารายิ้มบาง ๆ มือสองข้างจับกันแน่น
“คงไม่ตามมาหรอก ฉันหนีมาขนาดนี้ แม่คงทิ้งฉันไว้ตามยถากรรม ไม่สนใจอะไรฉันอีกต่อไปแล้วล่ะ แต่ฉันแค่กลัว...ว่าอาจจะเจอ ฉันยังไม่พร้อมรับอะไรตอนนี้ทั้งนั้นอะ”
แป้งร่ำถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม
“แล้ว เธอจะกลับไปหาน้าวารีอีกไหม นานไหมเธอถึงจะกลับไปหาน้าวารี”
วิไลรัตน์เองก็หันมาสนใจคำถามนั้น มองไปที่ทิพย์ธาราด้วยสายตาห่วงใย
ทิพย์ธารานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอหันไปสบตาเพื่อน ๆ ด้วยความเงียบ ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“แม่ขอห้าหมื่นบาทเป็นเงินตั้งต้น มันเป็นจำนวนที่มากพอจะทำให้ฉันสบายได้อีกครึ่งชีวิตเลยนะ ให้พี่เอกทำงานหนักอยู่คนเดียว คงไม่มีทางหาได้ง่าย ๆ หรอก”
เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อน น้ำเสียงหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าถามฉัน ฉันไม่รู้หรอกนะว่าจะได้กลับไปหาแม่ตอนไหน”
“แต่ถ้าฉันมาช่วยพี่เอกทำงานด้วย อย่างน้อยสักสี่ห้าปี ก็คงพอกลับไปได้แล้วล่ะ
เอกภพเอื้อมมือมาวางทับบนมือเธอเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ
“พี่จะเริ่มหางานที่ฝั่งธนฯ ให้ธารา อาจจะเป็นงานโรงงาน งานรายวันอะไรก็ได้ที่พี่พอทำได้ อยู่ด้วยกันก่อน ค่อย ๆ เริ่มใหม่”
แป้งร่ำเงยหน้าขึ้น ทำหน้าเศร้าเล็กน้อย
“หมายความว่า เธอก็จะย้ายไปอยู่กับพี่เอกเลยเหรอ?”
“ใช่ ฉันคงไม่ได้กลับมาบ่อยนัก ฉันไม่อยากให้แม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ถ้ายังวนเวียนแถวนี้ ถ้าเค้าตามมาจริง ๆ ฉันต้องเจอเขาแน่ ๆ”
“แต่ถ้าแม่มาตามหาฉัน แล้วเจอเธอ” ทิพย์ธาราเว้นจังหวะคำพูดไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะหันไปสบตาแป้งร่ำตรง ๆ เธอกะพริบตาเบา ๆ ราวกับจะปรับแววตาให้มั่นคงขึ้น แต่สุดท้ายก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เธอก็บอกเอาตัวรอดไปเลยนะ บอกไปว่าฉันไม่ได้กลับมาหาเธอที่นี่ก็ได้ แต่อย่าโทษตัวเองนะแป้งร่ำ”
แป้งร่ำนิ่งไปเพียงครู่ ริมฝีปากที่เคยเผยอรอยยิ้มอยู่เสมอ กลับแน่นสนิทจนเห็นขอบฟันเล็กน้อย คิ้วเรียวของเธอขมวดเข้าหากัน จนเกิดรอยย่นระหว่างหว่างคิ้วชัดเจน
“ไม่ต้องบอกฉันก็ทำอยู่แล้วยัยเพื่อนรัก” เธอพูดพลางเบือนหน้ามองตรงไปยังถนนฝั่งตรงข้าม มือหนึ่งยกขึ้นลูบต้นคอ ราวกับต้องการปลดความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้น
“ถึงจะผิดศีลก็เถอะ” เสียงเธอเบาลงเมื่อพูดประโยคหลัง แต่ยังเจือความหนักแน่นอยู่ทุกถ้อยคำ
ทิพย์ธาราหลุดหัวเราะออกมาแผ่ว ๆ ริมฝีปากโค้งขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่แดงอยู่ก่อนหน้านั้นเริ่มคลอไปด้วยน้ำใส ๆ แต่ยังไม่ปล่อยให้หยดลงมา
จากเพื่อนคนแรกที่ย้ายเข้ามากรุงเทพพร้อมกัน ในวันนั้นที่ยังไม่มีใคร ไม่มีแม้ที่พักเป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่มีแม้โต๊ะกินข้าวดี ๆ ให้นั่งด้วยกัน แต่มีแป้งร่ำ มีคนคนนี้อยู่เคียงข้างเสมอ
เธอยื่นมือออกไปช้า ๆ นิ้วเรียวสั่นนิดหน่อย ก่อนจะเอื้อมไปจับมือทั้งสองคนแน่น ทั้งแป้งร่ำและวิไลรัตน์ที่อยู่ข้างกันต่างยื่นมือออกมาโดยไม่ต้องพูดคำใด
“แต่เรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ใจฉันก็ยังมีพวกเธอเสมอ ‘แม่คิวปิดน้อย’ ของฉัน”
คำพูดนั้นทำให้แป้งร่ำกับวิไลหลุดยิ้มออกมาพร้อมกัน ท่ามกลางอารมณ์ปนเปของความเศร้าและความผูกพัน
เอกภพที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ ยิ้มอุ่น ๆ แล้วพูดขึ้นเสียงนุ่ม
“พอทุกอย่างเข้าที่ เดี๋ยวพี่จะเขียนจดหมายมาเล่าให้ฟังนะ สัญญาเลย”
“แน่นะตาโย่ง” วิไลยิ้มบาง ๆ
เอกภพหลุดหัวเราะเบา ๆ
“ขอบใจมากนะยัยหวึ่ง”
แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันตรงนั้น เป็นเวลาใกล้ ๆ กับที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าไปอีกวัน...