ค.ศ.1991 (พ.ศ.2534) ชานเมืองพิษณุโลก
“กริ๊งๆ”
เสียงกระดิ่งจักรยานดังสลับกับเสียงหัวเราะของวัยรุ่นสาวสองคนที่กำลังปั่นจักรยานผ่านถนนลูกรังคดเคี้ยว ริมทางเต็มไปด้วยทุ่งนาเขียวขจีที่ลมเย็นพัดยอดต้นข้าวพลิ้วเป็นระลอกๆ เหมือนคลื่นน้ำ
แดดยามเย็นย้อมท้องฟ้าเป็นสีส้มทอง เสียงวิทยุจากร้านขายของชำริมทางของยายบุญยังเปิดเพลงดังคลออยู่ไกลๆ เป็นเพลงลูกกรุงที่ยายบุญ แม่ค้าร้านขายของชำน่าจะร้องคลอตามได้ทุกคำ
“ธารา! อย่าขี่เร็วสิ! ฉันกินลูกชิ้นมาเมื่อกี้ เดี๋ยวมันจะย้อนกลับขึ้นมา!” เสียงโวยวายของ แป้ง เพื่อนสนิทที่หน้าตามีฝุ่นติดแก้ม แถมยังหอบแฮ่กๆ ตามหลังธารามาติดๆ
แฮ่ก ๆ แฮ่ก ๆ
“ก็เธอมัวแต่แวะซื้อลูกชิ้นหน้าร้านยายบุญ! ฉันเลยต้องปั่นนำก่อนไงล่ะ เร็วสิแป้งใกล้จะถึงแล้ว!” ทิพย์ธาราหันมาหัวเราะ ดวงตาเปล่งประกายรับกับแสงแดดยามเย็น ผมสั้นบ๊อบปลิวไหวตามแรงลม
แป้งย่นจมูก “อร่อยจะตาย! ไม่แวะกินวันนี้ คืนนี้ก็นอนไม่หลับเอาน่ะสิ!”
ทั้งสองคนยังแข่งกันปั่นต่อไป และจวนจะถึงบ้านของแป้งร่ำเต็มทีแล้ว
ทันใดนั้น ธาราก็ร้อง “อุ๊ย!” แล้วเบรกกระทันหัน จนแป้งร่ำต้องเบรกตามและจอดแทบไม่ทัน
“อะไรอีกล่ะ คราวนี้?”
“ดูนั่นสิ... หมา!”
หมาสีดำตัวกลม ๆ วิ่งออกมาจากซอกรั้วบ้าน มันวิ่งตัดหน้าจักรยานของทิพย์ธารา พร้อมคาบรองเท้าแตะข้างหนึ่งออกจากบ้านแป้งร่ำไปต่อหน้าต่อตาของเธอทั้งสองคน
“โอ้ย! นั่นรองเท้าฉัน!!!”
แป้งร่ำกรี๊ดลั่น พร้อมกับขว้างกระเป๋านักเรียนลงพื้นแล้วกระโจนลงจากจักรยาน
โครมม...
“เจ้าบุญล้น!! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!”
ทิพย์ธาราหัวเราะลั่นจนตัวงอ
“รองเท้าข้างเดียวไม่เป็นไรหรอกมั้งแป้ง เดี๋ยวบุญล้นมันกัดเอานะ!”
“มันใหม่! พ่อฉันเพิ่งซื้อให้! แล้วดูสิ นังแป้งคนนี้จะมีรองเท้าดีๆใส่ไปเที่ยวแบบคนอื่นเขามั้ยเนี่ย อย่าให้ชั้นจับแกได้เชียวนะไอ้บุญล้น!”
แป้งวิ่งไล่หมาไปจนเกือบสุดซอยหน้าโรงสี ส่วนธาราปั่นจักรยานตามอย่างกลั้นขำไม่อยู่ เสียงแป้งตะโกนไล่หลังหมาสลับกับเสียงเห่าของเจ้าบุญล้นทำให้คนแถวนั้นหันมาดูอย่างขำขัน
ท้ายที่สุดแป้งร่ำก็ได้รองเท้าคืน...หลังจากแลกด้วยลูกชิ้นไม้สุดท้ายที่เหลืออยู่ในถุง
“จำไว้นะธารา! ถ้ามีวันไหนที่หมามันคาบกระเป๋าเธอไป ฉันจะไม่ช่วยเด็ดขาด!”
“โอ๋ๆ ขอโทษนะคุณเจ้าของรองเท้าทองคำ ฮ่าๆ!”
ทั้งสองหัวเราะประสานกันอีกครั้ง ก่อนจะกลับขึ้นจักรยาน ขี่ต่อไปตามทางฝุ่นเก่า ๆ ที่ทอดยาวไปจนลับสายตา
แกร่ก ๆ แกร่ก ๆ
เสียงจักรยานดังคลอไปกับเสียงจิ้งหรีดยามเย็น ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากส้มทองเป็นม่วงอมชมพู ลมเย็นเริ่มพัดแรงขึ้น พัดเศษดอกหญ้าปลิวล้อไปกับล้อจักรยานคู่ขนาน
“ธารา…”
“หืม?”
“บางทีฉันก็คิดนะ ว่าเราจะได้ปั่นจักรยานแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน อีกไม่นานเราก็จะเรียนจบกันแล้วอ่ะ...”
“นั่นสิ ถ้าเราเรียนจบหลังจากนี้ก็คงทำงานกันแล้วมั้ง”
“ทำงานน่ะหรอ ฉันอยากไปทำงานที่กรุงเทพ อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง เค้าว่ากันว่ารายได้ดีเชียวนะ ถ้าเรียนจบเธอไปกับฉันไหม”
“คงไม่ล่ะฉันเป็นห่วงแม่อ่ะ อีกอย่างถ้าแม่ให้ไปฟ้าก็คงผ่าลงกลางบ้านฉันพอดี”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก เธอก็บอกแม่เธอสิว่าจะส่งเงินกลับมามากๆ ที่บ้านเธอจะได้ไม่ละบากกันไง อีกอย่างฉันก็ไม่ได้อยากไปอยู่คนเดียวหรอกนะ ฉันก็อยากมีเพื่อนไปด้วยอ่ะ มันสบายใจกว่าเยอะ เธอไปกับฉันนะ ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปนานแค่ไหนกันน้าที่สาวน้อยคนนี้จะมีโอกาสติดปีกอีกครั้ง…”
แป้งร่ำพูดทิ้งท้ายให้ทิพย์ธาราได้คิดตาม
“ฉันขอคิดดูก่อนนะ! ปั่นไปเหอะ เย็นแล้ว เดี๋ยวแม่ฉันเอาไม้เรียวไล่ตีเอา ฮ่าๆ!”
“แล้วเจอกันนะธารา”
“อืม…เธอน่ะปั่นดีๆนะแป้ง ถ้าเธอล้มแขนหักอีกฉันไม่รู้ด้วยนะ”
สองสาวโบกมือร่ำลากันเหมือนกับทุกวัน แป้งร่ำเลี้ยวเข้าไปยังซอยลูกรังเล็กๆ ล้อกระทบกับก้อนกรวดขรุขระไปจนสุดซอย
...
ทิพย์ธาราจอดจักรยานไว้ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน เสียงล้อหยุดหมุนครืดเบาๆ ก่อนที่เธอจะหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นพาดบ่า
แกร่ก...
เสียงบันไดไม้ดังสะเทือนเบา ๆ เมื่อทิพย์ธาราก้าวขึ้นไปทีละขั้น รองเท้าผ้าใบเลอะฝุ่นจากถนนลูกรังขูดกับเนื้อไม้ที่เริ่มผุกร่อนตรงมุม เธอเหนื่อยเล็กน้อยจากการปั่นจักรยาน แต่หัวใจกำลังเต้นแรงด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจบอกชื่อได้
แอ๊ด...
ประตูไม้บานเก่าถูกผลักเบา ๆ ให้เปิดออก แต่ยังไม่ทันที่ทิพย์ธาราจะก้าวเข้าไปเต็มตัว...
แกร๊ง!!
เสียงกะละมังอลูมิเนียมหล่นกระทบพื้นดังก้องไปทั้งบ้าน ตามมาด้วยเสียงแหลมสูงของแม่วารีที่ฟังออกทันทีว่าไม่ได้เรียกด้วยความดีใจ
“ทิพย์ธารา! นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว!” เธอชะงักขาไว้ตรงธรณีประตู ลมหายใจติดขัดขึ้นมาเฉียบพลัน
“แม่… ฉันแค่แวะส่งแป้ง แล้วก็…”
“แล้วก็อะไร! แล้วก็ไม่ได้ล้างจาน! ไม่ได้ซักผ้า! แล้วก็ไม่ได้หุงข้าวใช่ไหม! นี่แม่ต้องกลับมาทำเองหมดใช่ไหม!”
เสียงตวาดของแม่พุ่งใส่หน้า ทิพย์ธาราเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสบตากับแม่วารีเพียงวูบเดียว ก่อนจะรีบก้มลงมองปลายเท้าตัวเอง
เธอเม้มริมฝีปากแน่น มือที่ถือสายกระเป๋านักเรียนสั่นน้อย ๆ จากแรงที่พยายามควบคุมอารมณ์
“ข้าบอกไว้แล้วใช่ไหม! ถ้าไม่ทำ ก็ไม่ต้องกินข้าวเย็น!” เธอสูดลมหายใจเข้าลึก
“แม่…”
คำพูดของเธอแทบจะหลุดออกมาอย่างแผ่วเบาเหมือนเสียงลม กระนั้นก็ยังไม่ทันจบประโยค...
ฟึ่บ!
เสียงผ้าพลาสติกเสียดสีกับอากาศ ก่อนที่ไม้แขวนเสื้อสีเขียวจะฟาดฉับลงที่น่องของเธออย่างแรง
เพี๊ยะ!
เสียงฟาดนั้นดังก้อง ราวกับมันสะท้อนอยู่ในอกทิพย์ธารายิ่งกว่าที่ผิวหนัง
“โอ๊ย! แม่!”
เธอทรุดตัวลงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งจับที่น่อง อีกข้างยังคงกำสายกระเป๋าไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยแม้แต่เสี้ยววินาที
แม่วารียืนอยู่ตรงนั้น มือถือไม้แขวนเสื้อแน่น ดวงตาดุดันและคิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นร่องลึก ฟันขบกันแน่น
“ไปทำงานบ้านให้เรียบร้อย ทีหลังถ้ายังทำตัวเหลวไหลแบบนี้อีกก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปไหน!”
ทิพย์ธารานิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีปากสั่นไหวเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเธอก็ไม่พูด เธอเพียงแค่ลุกขึ้นช้า ๆ เพราะความเจ็บ แล้วเดินลากขาไปยังมุมบ้านที่วางไม้ถูพื้นไว้
เธอไม่ได้หันไปมองแม่วารีอีกเลย
มือข้างหนึ่งจับด้ามไม้ถูไว้แน่น แล้วค่อย ๆ โน้มตัวลงไปคว้าผ้าถูที่ถูกมัดติดไว้ที่ปลายไม้ น้ำจากผ้าที่อมน้ำอยู่แล้วซึมเปื้อนกับชายกระโปรงนักเรียน แต่เธอก็ไม่สนใจ
ครืดด...
เสียงไม้ถูลากครืดกับพื้นไม้เก่าดังขึ้นพร้อมกับลมหายใจอ่อน ๆ ที่เธอระบายออกมาทางจมูก แรงที่ใช้ถูไม่เบาเหมือนทุกวัน เธอกดไม้ลงแรงขึ้น จนได้ยินเสียง "อื๊ดด" ของไม้อัดเสียดสีกับน้ำและฝุ่น
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินจากห้องครัวไปห้องน้ำ แล้วกลับมาอยู่ที่บันได เสียงแม่ยังไม่จางหายไปง่าย ๆ
“เอ็งนี่ไม่เคยทำอะไรให้มันเป็นเรื่องเป็นราวกับเขาสักอย่าง!”
เสียงนั้นไม่ดังนัก ไม่ได้ตะโกนเหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลับเจ็บลึกกว่าเดิม
เธอกัดฟันแน่น ไม่ยอมให้น้ำตาไหลลงมา ไม่ใช่เพราะไม่เจ็บ... แต่เพราะเธอรู้ว่าถ้าร้องไห้ตอนนี้ มันจะไม่มีใครฟัง และมันจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
มือที่ถูพื้นยังกดแรงลงอีกนิด เหมือนจะระบายทุกความอัดอั้นผ่านแรงที่มีอยู่ในร่างเล็ก ๆ นี้
ใต้ถุนบ้านไม้กรอบเก่าเงียบลงไปชั่วขณะเสียงจิ้งหรีดร้องจากชายคาบ้านดังแผ่ว ๆ ราวกับคอยเตือนให้ใครบางคนอดกลั้น
ไฟดวงเดียวในห้องส่องกลางบ้าน เห็นเงาของจานข้าวสามสี่ใบกับปลาทูทอดที่ยังมีไอจาง ๆ ลอยอยู่เหนือเนื้อสีทองกรอบ
ทิพย์ธารานั่งพับเพียบตรงข้ามแม่วารี มือข้างหนึ่งคีบช้อน ข้างหนึ่งวางนิ่งบนตัก เธอตักข้าวเข้าปากช้า ๆ เคี้ยวแทบไม่รู้รส ลอบมองแม่ที่นั่งเงียบ ๆ เป็นพัก ๆ
วารีกินไปเงียบ ๆ สีหน้าเคร่งขรึม คิ้วขมวดเป็นปม มือที่ถือช้อนก็ตักช้า ๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะกิน
จนเมื่อเงียบอยู่นาน ธาราก็กลั้นใจเอ่ยเสียงเบา
“...แม่”
วารีเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สบตาลูกตรง ๆ
“หือ?”
ธาราวางช้อนลงบนจาน เสียงดังแผ่ว แล้วพูดเสียงตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม
“เดือนหน้าฉันเรียนจบแล้วนะ... ฉันคิดว่า... จะไปหางานทำที่กรุงเทพ”
คำพูดยังไม่ทันจาง มือของวารีที่ถือช้อนก็ชะงักค้างกลางอากาศ สีหน้าที่เคร่งอยู่แล้วก็เริ่มแข็งขึ้นกว่าเดิม
“…ว่าไงนะ?” เธอวางช้อนลงกับจานทันที เสียงดัง กริ๊ง! จากนั้นดันตัวขึ้นนั่งตรง เอียงตัวมาทางลูกสาวนิด ๆ สายตาเริ่มดุขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ไปกรุงเทพ? จะหนีกูไปอยู่กรุงเทพเลยหรอ เมืองหลวงมันไม่ใช่ที่สำหรับเด็กบ้านนอกอย่างมึงหรอก!”
ทิพย์ธารายังคงนั่งนิ่ง ดวงตาเริ่มแดง น้ำเสียงยังเรียบแต่แน่วแน่
“ฉันไม่ได้อยากหนีแม่... แต่ฉันอยากไปทำงาน” เธอพูดช้า ๆ มือวางไว้บนตักนิ่ง
“ฉันก็จะส่งเงินกลับมาให้ เราจะได้สุขสบายกว่านี้นะแม่...”
“มึงมีไม่พอรึไง? บ้านก็มีให้อยู่ ข้าวก็มีให้กิน ยังจะไปดิ้นรนหาอะไรอีก!” วารีขยับตัวเหมือนหงุดหงิด คำพูดแทบจะสวนขึ้นมาทันที
“ใจเย็น ๆ นะแม่วารี... ฟังเหตุผลมันสักหน่อยดีไหม” พ่อพนาที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ริมเสากลางบ้าน เอนตัวขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงกล่อมกล่อม
วารีหันไปมองผัวแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาทางลูก สีหน้าเริ่มเข้มขึ้น
ทิพย์ธารายังไม่ยอมลดเสียง
“แม่... ฉันอายุสิบแปดแล้วนะ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ไปคนเดียว แป้งก็ไปด้วย”
“ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ถ้ายังหากินเองไม่ได้ ก็ยังเป็นเด็กกะโปโลอยู่วันยังค่ำ!”
“ฉันก็กำลังจะไปทำงานเพื่อหากิ...” เธอยังพูดไม่ทันจบ
“เงียบ!!” วารีตวาดเสียงดัง ลั่นห้อง
เสียงนั้นทำให้บ้านเงียบกริบลงไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงลมข้างนอกที่ยังพัดผ่านปลายชายคา
เธอลุกขึ้นรวดเร็ว มือหนึ่งยกชายผ้าถุง อีกมือก้าวฉับ ๆ ไปยังฝาผนังที่มีไม้พายทำครัวพิงไว้
ธาราขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาเบิกขึ้นนิด ๆ แต่ยังไม่หนี
วารีเอื้อมมือไปหยิบไม้พายขึ้นครึ่งทาง มือที่จับแน่น สั่นเล็กน้อย
พ่อพนาเอ่ยเสียงดังนุ่ม “แม่วารี!”
วารีชะงัก หันหน้ามามองผัว คิ้วยังขมวดแน่น ก่อนจะหยุดมือไว้กลางอากาศ
เธอสูดลมหายใจแรง ๆ สองครั้ง ลดมือลงอย่างหงุดหงิด แล้วหันกลับมาทางลูก
“ข้าไม่ให้ไป!” วารีทิ้งไม้ลงพื้น ขยับตัวหันหลังให้ทั้งพ่อและลูก ก้าวยาว ๆ ฉับ ๆ ขึ้นบันไดบ้าน
เสียงฝีเท้าเธอดัง ตึง ๆ ๆ ไปตามไม้กระดานเก่า ก่อนจะเงียบไป เหลือเพียงแสงไฟสีเหลืองนวลที่ยังคงส่องลงบนโต๊ะกลางห้อง
ปลาทูในจานเย็นลงจนไม่มีไออีกต่อไปแล้ว
“แม่เอ็งแค่ไม่อยากให้อีหนูไปลำบากห่างอกเค้าเท่านั้นแหละ” พ่อพนาขยับตัว เอนตัวเข้ามาใกล้ เอ่ยเบา ๆ
ทิพย์ธารายังไม่หันไปมองพ่อ พูดเสียงแผ่วแต่ติดจะขื่น
“ฉันว่าเค้ากลัวจะไม่มีที่ระบายอารมณ์มากกว่ามั้งพ่อ”
“อีหนู... พูดถึงแม่แบบนั้นไม่ค่อยจะน่ารักสักเท่าไรเลยนะ พ่อว่า” พ่อพนาหลุบตา ถอนใจเบา ๆ
เธอยิ้มจาง ๆ เหมือนรู้ตัวว่าพูดแรงไป น้ำตายังคลอในตาเช่นเดิม
“งั้นก็ขอให้แม่เชื่อว่าฉันจะทำให้ได้...สักครั้งก็ยังดี”
ตีห้ากว่าๆ เป็นเวลารุ่งสางของเช้าวันใหม่ แม่วารีเพิ่งกลับมาจากไปขุดหน่อไม้เพื่อมาขายในตลาดนัดเช้าหน้าหมู่บ้าน
เป็นเวลาเดียวกับที่ทิพย์ธาราตื่นออกไปจูงวัวออกจากคอก หุงข้าว ทำกับข้าว ก่อนที่จะแต่งตัวเพื่อเตรียมจะไปโรงเรียนเหมือนกับทุกวัน
ก๊อกแก๊ก ๆ ...
ทว่าวันนี้เหมือนเวลาในบ้านหยุดเดิน แม่วารีกับทิพย์ธาราเงียบใส่กันแม้ว่าจะต้องทำกิจวัตรต่างๆ เหมือนที่เคยทำทุกวันก็ตาม แต่ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้พูดอะไรด้วยกันสักคำ
ดูเหมือนจะมีแค่พ่อพนาที่ไม่ได้มีอะไรแปลกไป
“เงินอยู่บนหลังตู้เย็นนะอีหนู” พ่อพนาตะโกนขึ้นมาจากสวนผักหลังบ้าน
ฉับ...ฉับ...
“ขอบคุณจ่ะพ่อ” ทิพย์ธาราพูดพลางพนมมืออยู่คนเดียว พ่อน่าจะไม่เห็นด้วยซ้ำ
“แม่ ฉันไปโรงเรียนแล้วนะ”
เธอตะโกนขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีเสียงตอบรับจากคนเป็นแม่ ก่อนที่เธอจะควบจักรยานคันเก่งที่อยู่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน แล้วเธอก็ออกจากบ้านเพื่อไปโรงเรียนตามเคย
“จะต้องบอกแม่ยังไงดีวะ” ทิพย์ธาราคิดในหัวก่อนจะพูดออกมา
“ให้แป้งทำสรุปเกี่ยวกับที่ที่จะไปดีป่าววะ”
“แต่ถ้ายิ่งเห็นแล้วยิ่งไม่ให้ไปล่ะ”
“แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้นะเว้ย”
“โอ้ย…เครียดโว้ย…”
ธาราพึมพำคนเดียวก่อนที่จะตะโกนออกมา ขณะที่เธออยู่บนจักรยานของเธอ และเธอก็กำลังปั่นไปเรื่อยๆ