“แม่...ฉันมีเรื่องอยากบอก”
มือที่ถือตะกร้าของแม่วารีหยุดชะงักอยู่กลางอากาศก่อนจะค่อย ๆ วางลงบนพื้นเสื่ออย่างระมัดระวัง ราวกับในใจมีบางอย่างเคลื่อนไหวแรงเกินกว่าจะยกมือทำต่อได้
เธอหรี่ตาลงนิดหนึ่ง มองคนทั้งคู่สลับกันช้า ๆ แววตานั้นแน่วแน่ มั่นคง และมีความนิ่งเงียบแบบคนที่ชินกับการใช้สายตาอ่านใจมากกว่าคำพูด
“อย่าบอกนะว่า กลับมาคราวนี้เพราะเรื่องที่ข้าคิด”
เสียงพูดไม่ได้ดัง แต่ฟังชัดเจนทุกถ้อยคำ
ทิพย์ธารายืนหลังตรงอยู่ข้างเอกภพ ไม่ตอบอะไรทันที สายตาหลุบต่ำลงนิดหนึ่ง ริมฝีปากขยับน้อย ๆ เหมือนจะพูด แต่ยังไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา
เอกภพมองเธอแวบหนึ่ง แล้วตัดสินใจพูดขึ้น
“แม่ครับ ผมกับธารา เราตัดสินใจจะแต่งงานกัน” เสียงของเขาดังชัดถ้อยชัดคำ เหมือนเตรียมใจมานานแล้วว่าจะต้องพูดประโยคนี้ให้แน่วแน่ที่สุด
ทิพย์ธาราสะดุ้งนิดหนึ่ง เหมือนคนโดนสะกิดกลางใจ เธอหันขวับมามองเขาด้วยสายตาตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบเสสายตาไปทางแม่วารี
ตึก ตึก ตึก...
เสียงหัวใจของเธอดังชัดในอกตัวเอง ทุกจังหวะเต้นเร็วเหมือนมีใครเร่งจังหวะอยู่ข้างใน
แม่วารีนิ่ง เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แม้จะไม่เอ่ยคำตอบในทันที แต่บรรยากาศรอบตัวก็เหมือนนิ่งไปทั้งหลังบ้าน
“แต่งงาน!” เสียงของเธอเบาลงกว่าปกติ แต่น้ำเสียงเย็นเยียบลงราวกับอากาศหลังฝนยามค่ำ
“เอ็งกินอยู่ยังไง ทำอะไร จะมีงานมั่นคงหรือยัง ข้าก็ไม่ยักรู้สักนิด แล้วนี่กลับมาบอกจะแต่งงาน?” เธอมองลูกสาวอย่างคนที่พูดมาจากความเหนื่อยล้า
“แค่คิดก็ไม่รู้จะร้องไห้หรืออะไรดี!” เสียงเธอขาดช่วงนิดหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะเข่าเบา ๆ แล้วลูบลงกับผ้าถุงอย่างใจลอย
“ข้าส่งเสียเลี้ยงดู ให้เรียน ยอมให้ไปทำงานไกลถึงกรุงเทพ เพื่อให้เอ็งได้ ‘เลือก’ ไม่ใช่เพื่อให้รีบออกไปจากชีวิตแม่"
ทิพย์ธาราขยับริมฝีปากช้า ๆ น้ำเสียงของแม่เหมือนมีอะไรบีบรัดอยู่ในอก เธอเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ ดวงตาที่เคยมีแววแน่วแน่ในตอนเดินเข้ามาเริ่มสั่นระริก
“แม่”
เสียงของเธอเบาเหมือนลมหายใจแผ่ว ๆ
“ฉันแค่รักพี่เอก แล้วก็กลับมาบอกแม่แค่นั้นเอง ไม่ได้รีบหนีไปไหนสักหน่อยนะแม่”
แม่วารีพ่นเสียง “หึ!” ออกมาจากลำคอแบบคนที่กลั้นอะไรไว้ไม่ได้แล้ว
“เดี๋ยวเอ็งแต่งงานก็ย้ายไปอยู่กับผัวเอ็งไกลลิบลับ! แล้วก็จะดูแลเอ็งได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้!”
เอกภพขยับปลายเท้าเล็กน้อย ก่อนจะสูดหายใจเบา ๆ
“แม่ครับ ผมมาขอเธอเป็นคู่ชีวิต ผมทำงานเก็บเงินมาหลายปี ผมพร้อมดูแลเธอจริง ๆ”
แม่วารีหันขวับไปมองเอกภพ แววตาคมดุขึ้นอีกเล็กน้อย
“พร้อมหรอ? งั้นเอ็งมาจากไหน เป็นใคร ทำอาชีพอะไร แล้วฐานะทางครอบครัวล่ะ?”
ทิพย์ธารารีบพูดขึ้นทันที เหมือนกลัวว่าจะกลายเป็นการซักฟอก
“แม่ พี่เอกเขาก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอกนะ เขามีแค่ความตั้งใจ และมันก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน”
“เอ็งแน่ใจหรอว่าแค่นี้พอแล้ว?” แม่วารีหายใจเฮือกใหญ่ หัวไหล่ขยับขึ้นนิดหนึ่งตามแรงลมหายใจ แล้วก็นิ่งมองลูกสาวเหมือนจะมองให้ทะลุเข้าไปถึงใจ
“จ่ะแม่” ทิพย์ธาราพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะพูดเสียงชัด
เธอหันไปมองเอกภพแวบหนึ่ง แล้วก็หันกลับมามองแม่อย่างแน่วแน่
“ก็ขนาดพ่อกับแม่ยังได้รักกันได้เลย จริงมั้ย”
“แต่ปากก็กัด ตีนก็ถีบแทบตาย แล้วเอ็งยังอยากจะเป็นเหมือนข้าหรอวะ” แม่วารีเงียบไปอึดใจ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ แล้วพูดเบา ๆ แต่หนักแน่น
ทิพย์ธารายืนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดแก้มที่เปียกน้ำตา แล้วพูดช้า ๆ ทีละคำ
“ฉันก็รักพี่เอกเหมือนที่แม่รักพ่อนั่นแหละ ให้ฉันได้รักกับพี่เอกเถอะนะ”
แม่วารีไม่ตอบในทันที เธอนั่งนิ่งเหมือนคนคิดอะไรในใจอยู่นาน ดวงตาเธอยังจ้องที่ลูกสาวเหมือนกำลังประเมิน
แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนแววตาไปอย่างช้า ๆ จากแข็งเป็นอ่อน แต่ก็ไม่ได้ละความจริงจังลงไปเลย
“นี่เอ็งขอร้องข้าเป็นครั้งที่สองแล้วนะเว้ยนังธารา” แม่พูดพลางถอนหายใจยาวออกมาจากอก หัวไหล่ของเธอลู่ลงอย่างเห็นได้ชัด
“... ข้าก็ไม่อยากเป็นคนขัดอนาคตของลูกตัวเองหรอก”
“พอแล้วว่ะ”
ทิพย์ธารายืนนิ่ง ดวงตาเธอสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ริมฝีปากขยับน้อย ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
แม่วารีหันไปมองเอกภพอีกครั้ง แววตายังแข็งอยู่บ้าง แต่น้ำเสียงเปลี่ยนไปแล้ว
“ดูแลลูกข้าให้ดี ถ้าเอ็งทำมันเสียใจ ข้าก็ไม่ไว้หน้าเอ็งนะไอ้หนุ่ม”
เอกภพโค้งศีรษะลงต่ำอย่างเคารพ
“ผมสัญญาครับแม่”
“เอาเถอะ อยากจะรักนักก็รักไปให้สุด แต่แม่มีเรื่องหนึ่งจะพูดกับเอ็งทีหลังนะ ไว้ค่อยคุยกัน” แม่วารีพยักหน้าเบา ๆ เหมือนเพิ่งปลดบางอย่างที่เคยแบกไว้ลงจากบ่า
ทิพย์ธารารับคำเบา ๆ
“จ้ะแม่”
แม่วารีหมุนกายช้า ๆ แล้วเดินเข้าครัวไปอย่างเงียบงัน ทิ้งให้ใต้ถุนบ้านเงียบลงอีกครั้ง
เอกภพยืนเงียบอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะขยับมือมากุมมือเธอไว้แน่น
“ไม่คิดว่าจะผ่านได้เลย” เขาพูดช้า ๆ แต่เสียงนั้นเต็มไปด้วยลมหายใจที่เหมือนเพิ่งระบายความหนักออกจากอก
ทิพย์ธาราหันมายิ้มให้เขาทั้งน้ำตา
“ฉันเองก็เหมือนกัน”
ทิพย์ธารา เอกภพ แม่วารี และพ่อพนา นั่งล้อมรอบโต๊ะไม้ขนาดกลางที่ตั้งอยู่กลางห้องครัวของบ้านชั้นเดียวแบบไทยชนบท โต๊ะเก่า ๆ ที่ผ่านกาลเวลามานานนั้นเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน แต่กลับดูอบอุ่นอย่างประหลาดเพราะสิ่งที่อยู่บนนั้น กับข้าวบ้าน ๆ หอมกรุ่นควันจาง ๆ ลอยคลุ้งตลบอยู่เหนือจาน แกงส้มผักรวม ปลาทูทอดน้ำปลา ไข่เจียวฟู ๆ กับน้ำพริกกะปิที่วางอยู่ตรงกลาง
เสียงช้อนกระทบจานเบา ๆ ดังขึ้นสลับกับเสียงข้าวสวยหอมร้อน ๆ ถูกตักลงจาน อากาศเย็นหลังฝนตกทำให้มื้อเย็นธรรมดาดูมีมิติมากกว่าทุกวัน
แม่วารีค่อย ๆ ตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวนิ่ง ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในแววตายังแฝงความห่วงใย
“ถ้าจะแต่งงานกันจริง ๆ ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม เรื่องงานแต่งข้าว่าไม่ต้องให้มันใหญ่โตมากหรอก อบอุ่นเรียบง่ายก็พอ”
“ฉันก็คิดแบบนั้นนะแม่ ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องพิธีรีตองมากเกินไป ขอแค่คนที่เรารักอยู่ด้วยกันในวันนั้นก็พอแล้วจ้ะ” ทิพย์ธารายกแก้วน้ำขึ้นจิบเบา ๆ ก่อนจะวางลงช้า ๆ แล้วพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
เอกภพที่นั่งถัดออกไป เอียงตัวเข้าหาแม่วารีเล็กน้อย เขาวางช้อนลงบนขอบจานแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแน่วแน่แต่สุภาพ
“ผมเองก็คิดเหมือนกันครับ ไม่อยากให้เป็นภาระใคร โดยเฉพาะแม่วารีกับพ่อพนา เรื่องสถานที่กับอาหาร พี่จะจัดการเองให้เรียบร้อย พี่มีแบบในใจอยู่บ้างแล้ว”
“เจ้าบ่าวขยันดีนี่หว่า แบบนี้น่าจะสบายใจได้!” พ่อพนา หัวเราะเบา ๆ พลางตักไข่เจียวเข้าปาก แล้วพูดขึ้นขณะเคี้ยวไปด้วยอย่างสบายใจ
แม่วารีวางช้อนลงบนจาน แล้วเช็ดปากเบา ๆ ด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้า ๆ
“แต่เรื่องแขกนี่... เอ็งก็เลือกให้มันดี ๆ นะ อย่าให้มันวุ่นวาย ไม่ต้องชวนกันทั้งตลาดหรอก เอาแต่คนที่สำคัญกับชีวิตเราจริง ๆ ก็พอ”
“แค่ญาติใกล้ ๆ เพื่อนสนิท แล้วก็คนที่เรารู้ใจจริง ๆ แหละแม่” ทิพย์ธาราหยิบถ้วยน้ำพริกมาเลื่อนเข้าหาตัว แล้วตักพอคำลงบนข้าวในจาน
“เสื้อผ้าเจ้าสาวนี่ เอาแบบเรียบง่าย แต่ดูดีไว้ก่อนล่ะธารา อย่าไปหาชุดลูกไม้รุงรังแพง ๆ เลย ประหยัดไว้ใช้วันหน้า” พ่อพนานั่งพิงเก้าอี้ไม้เก่า ๆ เล็กน้อย แล้วหยิบถ้วยแกงส้มขึ้นมาตักน้ำราดข้าว พูดขึ้นเรื่อย ๆ ไปตามบทสนทนา
แม่วารียิ้มมุมปาก แล้วเหลือบมองลูกสาว
“ไม่ต้องห่วงหรอกตาพนา ข้ามีผ้าสวย ๆ อยู่หลายผืน ที่เก็บไว้จากสมัยยายของเอ็งโน่น ยังใหม่อยู่เลย ข้าจะลองเอามาทำชุดให้ธารามันใส่ในงานดู”
ทิพย์ธาราหันไปทางแม่ทันที ดวงตาเป็นประกาย
“จริงหรอแม่! ฉันดีใจนะเนี่ย”
แม่วารีหันไปมองสามี “พ่อพนาก็ช่วยลูกมันจัดที่จัดทางเอา ข้าจะเย็บชุดให้ ถึงไม่ได้แพง แต่ก็อยากให้มันสวยสุดในงานนั่นแหละ”
“ได้ซี้! งานนี้ข้าจัดให้สุดตัว ใครไม่อยากมีลูกเขยก็ช่าง ข้าน่ะอยากมี หลานข้าก็อยากมีฮ่า ๆ!” พ่อพนาพยักหน้าหงึก ๆ หัวเราะในลำคอ
เอกภพกับทิพย์ธาราหัวเราะตาม เสียงหัวเราะดังสะท้อนอยู่ใต้หลังคาบ้านไม้ ผสานกับเสียงจานข้าวที่ขยับเบา ๆ ไปมา
“โต๊ะจีนสามสี่โต๊ะพอไหมครับแม่?” เอกภพถามเบา ๆ พลางตักปลาทูวางลงในจานทิพย์ธารา
“พอแล้วล่ะ สำหรับญาติ ๆ ใกล้ชิด ข้าคิดว่าโต๊ะเดียวหรือสองก็พอแล้ว ไม่ต้องเยอะ” แม่วารีหรี่ตามองลูกเขยในอนาคต แล้วพยักหน้าเชื่องช้า
“ที่เหลือก็แบ่งไว้สำหรับแขกฝั่งเอ็งล่ะเอกภพ ญาติ พ่อแม่เพื่อนบ้างอะไรบ้าง แต่ก็อย่าเยอะจนแม่ธารามันเครียด” พ่อพนาวางช้อนลงแล้วลูบคางเบา ๆ ก่อนจะเอ่ย
เอกภพพยักหน้ารับอย่างสุภาพ “รับทราบครับ”
“ข้าว่าจะเหมาโต๊ะจีนจากบ้านตาแช่ม ญาติข้าข้างบ้าน เอ็งจำได้ไหมธารา บ้านที่ขายหมูตอนปีใหม่ประจำน่ะ” แม่วารีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วพูดขึ้น
ทิพย์ธาราพยักหน้าทันที “จำได้แม่ ลูกเขาเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับฉันเลยด้วย”
“บ้านนั้นฝีมือดี ไม่แพงด้วย ไปวัดไปวาได้ ไม่ต้องกลัวโดนโก่งราคาแบบพวกเจ้าดัง ๆ” พ่อพนาก็เสริม
เสียงสนทนายังดำเนินไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เรียบง่ายและอบอุ่น ทุกคำพูดเหมือนเติมไฟอุ่น ๆ ลงในหม้อแกงจืดกลางโต๊ะ อาหารยังคงพร่องลงทีละนิด เสียงจิ๊บจั๊บของจั๊กจั่นเริ่มดังแทรกเข้ามาแผ่วเบาจากท้องทุ่งนอกบ้าน บอกให้รู้ว่าอีกไม่นานดวงอาทิตย์จะลับขอบนาไปแล้ว…