เอกภพและทิพย์ธาราเดินออกมาจากร้านอาหารในช่วงค่ำ แสงไฟสีส้มจากหลอดไฟบนเสาเรียงรายตามริมถนนทอดเงาทาบลงบนพื้นคอนกรีต เสียงรถราวิ่งเบา ๆ อยู่ไกล ๆ ลมเย็นพัดผ่านต้นไม้ริมทางจนใบไหวเบา ๆ เส้นผมของทิพย์ธาราเสยขึ้นเล็กน้อยตามแรงลม เอกภพเหลือบมองเธอ แล้วจึงหยุดเดิน
เขาหันตัวเล็กน้อย ใช้สายตามองเธออย่างตั้งใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ยังอบอุ่น
“ธารา พรุ่งนี้พี่จะพาเธอกลับพิษณุโลกเลยนะ”
ทิพย์ธาราหยุดก้าว เท้าข้างหนึ่งยังค้างอยู่นิด ๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะหยุดกลางทาง มือเธอยกขึ้นจับสายกระเป๋าที่สะพายพาดบ่าอยู่ แล้วกำสายกระเป๋านั้นแน่นขึ้นนิดหน่อย ดวงตาเธอมองหน้าเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ริมฝีปากจะขยับออกช้า ๆ
“เอาอย่างนั้นเลยหรอพี่ ไปพรุ่งนี้เลยเหรอ? ฉันยังเตรียมใจไว้เจอแม่ไม่เสร็จเลยนะ”
แววตาคู่นั้นฉายความกังวลกับความลังเลออกมาอย่างชัดเจน
เอกภพพยักหน้าน้อย ๆ เหมือนรับรู้ถึงทุกสิ่งในคำพูดสั้น ๆ ของเธอ
“พี่รู้ มันอาจจะเร็วไปนิดสำหรับเธอ แต่ว่า บางทีมันก็ต้องเริ่มที่ก้าวแรก ถ้าเราเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีวันได้เจอกันจริง ๆ หรอก”
เขาไม่ได้กดดัน แต่ก็ไม่ผ่อนให้ง่าย ๆ
ทิพย์ธาราหลุบตาลงช้า ๆ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียงลมหายใจนั้นแทบจะกลืนไปกับเสียงลมที่พัดผ่าน ก่อนเธอจะพยักหน้าเบา ๆ
“ก็ได้ คืนนี้ฉันกลับไปเก็บเสื้อผ้า เตรียมของไว้ก่อน”
เธอพูดพลางยืดไหล่ขึ้นเล็กน้อย เหมือนพยายามจัดสมดุลน้ำหนักกระเป๋าให้ดีขึ้น แล้วสายตาก็เปลี่ยนเป็นเหมือนนึกบางสิ่งออก
“แต่พรุ่งนี้ เป็นวันทำงานฉันนะพี่”
เอกภพยิ้มออกมา มุมปากเขายกขึ้นนิด ๆ ไม่ใช่รอยยิ้มขำขันแต่เป็นแบบคนที่รู้อยู่แล้วว่าเธอต้องพูดอย่างนี้ เขาก้าวเข้ามาใกล้เธออีกก้าว หนึ่งมือสอดเข้าไปล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างสบาย ๆ อีกมือยกขึ้นลูบต้นคอช้า ๆ ก่อนจะพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพี่พาแวะที่ทำงานเธอ แจ้งหัวหน้างานตอนเช้าเลย ทั้งที่ทำงานพี่ ทั้งที่ทำงานเธอ แล้วเราค่อยไปกัน”
ทิพย์ธารายกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะปลายจมูกตัวเองเบา ๆ ทำท่าคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ หันกลับไปสบตาเขาอีกครั้ง
“แบบนั้นก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องขาดงาน หรือหายไปเฉย ๆ” เธอยิ้มบาง ๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเริ่มคลายความตึงเครียดลงไปบ้าง
เอกภพไม่พูดอะไร เขาเพียงแต่เอื้อมมือมาจับมือของเธอไว้แน่น ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบเบา ๆ ไปบนหลังมือที่เย็นเล็กน้อยจากอากาศยามค่ำ
“คืนนี้ก็รีบเก็บของ เตรียมพร้อมให้ดีนะ” เขาพูดช้า ๆ แต่แน่นแน่ ไม่เร่งรีบ
ทิพย์ธาราพยักหน้าอย่างมั่นใจขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย เธอขยับมือจับมือเขาตอบกลับ
“เราน่าจะถึงพิษณุโลกช่วงค่ำ ๆ พอถึงก็พักผ่อนก่อน ไปหาอะไรอร่อย ๆ กิน” เอกภพพูดต่อ เสียงของเขาแผ่วลงเมื่อเอ่ยถึงคำว่า ‘พิษณุโลก’ มันเป็นบ้านของเธอ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของบางอย่างใหม่ ๆ สำหรับเขาเหมือนกัน
“แล้ว… พี่จะไปบ้านแม่เลยไหม?” ทิพย์ธาราถามต่อ ขณะก้มหน้ามองพื้นเหมือนยังไม่แน่ใจคำตอบที่อยากได้
เอกภพส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่หรอก ค่อยไปบ้านแม่ตอนเช้า ให้เธอได้นอนเต็มที่ ตื่นมาแล้วจะได้พร้อมเจอแม่อย่างสดชื่นจริง ๆ”
ทิพย์ธาราฟังแล้วพยักหน้าช้า ๆ ยิ้มบาง ๆ เหมือนคนที่พยายามบอกตัวเองว่า มันจะไม่แย่อย่างที่กลัว
“ก็ดีเหมือนกัน ตื่นเช้ามาแล้วไปแบบมีสติหน่อย จะได้ไม่ตื่นเต้นจนลืมหายใจ”
เอกภพหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ รอยยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย แล้วจู่ ๆ เธอก็หันมาเอียงตัวมองหน้าเขานิ่ง ๆ
“ขอบคุณนะคะพี่ ที่อยู่ข้าง ๆ”
“ก็เธอเป็นของพี่ จะให้พี่ยืนอยู่ข้างหลังเธอเหรอ” เอกภพมองเธอแล้วบีบมือนั้นเบา ๆ น้ำเสียงทุ้มนุ่มลอดออกมาอย่างชัดเจน
“อืม…” ทิพย์ธารายิ้มตอบมุมปาก แล้วรับคำในลำคอ
น้ำเสียงนั้นแผ่วเบา คล้ายคนที่ยังไม่แน่ใจในทุกอย่าง แต่ก็ไม่ปฏิเสธ แล้วในแววตานั้นก็มีแววขี้เล่นบางเบาซ่อนอยู่
ท่าทีนั้นเองที่ทำให้เอกภพหลุดหัวเราะอีกครั้ง คราวนี้เสียงหัวเราะเต็มขึ้นนิดหน่อย แต่อ่อนโยน ไม่ได้กวนใด ๆ
เขากระชับมือเธออีกหน่อย ก่อนจะพูดชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ไปเถอะ พี่ไปส่งที่ห้อง เตรียมของให้เรียบร้อย เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าพี่มารับ”
“จ้ะพี่” เธอตอบรับแผ่วเบา แต่น้ำเสียงชัดเจน และนิ่งกว่าเดิมเล็กน้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น...
เอกภพเดินอ้อมมาช่วยเปิดประตูฝั่งของทิพย์ธารา แม้เธอจะไม่ได้ร้องขอ แต่เขาก็ยังทำอยู่ดี และเธอก็ยอมให้อย่างว่าง่าย ราวกับเป็นความเคยชินที่แสนอบอุ่น
เสียงประตูปิดลงเบา ๆ ทั้งสองคนขยับตัวอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางอากาศอุ่นอ่อนในรถ
“เฮ้ออ~”
ทิพย์ธาราเอนตัวลงพิงเบาะแล้วถอนหายใจยาวเหมือนคนที่เพิ่งแบกภูเขามาลูกหนึ่ง เธอปลดสายกระเป๋าถือวางไว้บนตัก ลูบผ้ากระโปรงช้า ๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองกระจกหน้ารถที่ยังเปิดภาพบ้านไร่และถนนลูกรังข้างหน้าไว้
เอกภพหันไปมองเธอนิดหน่อย ก่อนจะพูดเสียงเบา
“ว่าที่ภรรยาพี่เป็นอะไรไปแล้วนะ วันนี้ฤกษ์ดี ขอไม่มีเรื่องกลุ้มหน่อยเถอะน่า”
ทิพย์ธาราขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอื้อมมือมาลูบผมตัวเองรวบขึ้นแล้วปล่อยลงเบา ๆ
“ไอ้กลับไปบอกว่ามีงานทำแล้ว ชีวิตเป็นอยู่ดี กลับมาเยี่ยมเนี่ยสบายมาก แต่ตอนแนะนำตัวพี่เนี่ยสิ”
เธอหันมามองเขาแล้วทำหน้าจริงจังนิดหนึ่ง นั่งหลังตรง ริมฝีปากเม้มแน่นเหมือนกำลังฝึกซ้อมบทสนทนาในหัว
“กลุ้มไปก็ไม่ได้อะไร มากุมหัวใจพี่ดีกว่า” เขาพูดเสียงเรียบแต่ยิ้มกว้าง
“อีกแล้วเนี่ยพี่” เธอหันขวับมาทำหน้าค้อน
เอกภพหัวเราะเบา ๆ ยกมือขึ้นมาแล้ววางเบา ๆ บนศีรษะเธอ เขาใช้นิ้วลูบผมเธอเบา ๆ เหมือนลูบแมวน้อย เธอไม่ได้เบี่ยงตัวหลบ แค่หลับตาลงเหมือนรับไออุ่นจากมือนั้นชั่วครู่
“อะไรที่มันยังไม่เกิดก็อย่ากลุ้มไปเลย คนสวย” เขาลงท้ายด้วยน้ำเสียงขี้เล่นเล็ก ๆ
ทิพย์ธาราลืมตาขึ้นช้า ๆ แล้วทำหน้าตีหน้ายักษ์ เธอยกมือขึ้นมาจะตีแขนเขา แต่เขารีบยกแขนหนี
“โอ๊ะ ๆ พี่พูดจริงนะ!”
“ฉันจริงจังน่า พี่เนี่ย ติดเล่น” เธอส่ายหน้าช้า ๆ ยิ้มมุมปากน้อย ๆ
“โอ๋ ๆ พี่หยอกเล่นนิดหน่อยเอง อะไรที่มันยังไม่เกิดก็อย่ากลุ้มไปเลยธารา”
เขาหันไปมองหน้าเธอเต็ม ๆ คราวนี้ไม่ได้ยิ้ม แต่ดวงตาดูนิ่งและอ่อนโยนจนน่าแปลกใจ
“ก็บอกไปว่าพี่เป็นคนรู้ใจของธารานี่แหละ ไม่ต้องพยายามคิดบทสนทนาอะไรให้เครียดไปหรอกนะ”
เธอเงียบลงไปสักพัก มือหนึ่งกำชายกระโปรงไว้หลวม ๆ อีกมือหนึ่งวางบนหน้าตัก เอนศีรษะพิงกระจกหน้าต่าง
“…..”
“เฮ้อ! เด็กหญิงธาราเวลากลุ้มดูเหมือนเด็กงอแงมากกว่าผู้ใหญ่ที่มีเรื่องเครียดนะเนี่ย” เขาหัวเราะเบา ๆ พลางเอียงคอทำท่าดูเธอเหมือนกำลังจับผิด
เธอเบะปากน้อย ๆ อย่างไม่ยอมรับ ท่าทางเหมือนเด็กกำลังจะร้องไห้ แต่ก็ยังพอใจในการแหย่ของเขา คิ้วสองข้างชนกันเหมือนจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว
“มา พี่ร้องเพลงให้ฟัง” เขาพูดขึ้นพลัน
“พี่เอกร้องเพลงเป็นด้วยหรอ” ธาราหันมาทันที ตาโตขึ้นมาเหมือนเจอเรื่องแปลก
น้ำเสียงเธอมีแววแปลกใจปนท้าทายเล็กน้อย
“ธาราไม่รู้ซะแล้ว นี่น่ะช่องทางหาเงินวัยเด็กของพี่อีกทางเลยนะ” เขาทำเสียงภูมิใจแบบคนมีอดีตดี ๆ
“อย่างนั้นเลยหรอ ไหนพี่ลองร้องซิ” เธอยิ้มมุมปาก รอฟังอย่างตั้งใจ
เอกภพไม่รอช้า เขากระแอมเบา ๆ ก่อนจะเริ่มเปล่งเสียงฮัมเพลงช้า ๆ ท่ามกลางเสียงลมที่ลอดเข้ามาจากหน้าต่างเล็ก ๆ
“🎶…ลมโชยเบา ๆ พัดใจเรามาใกล้กัน…🎶”
เสียงเขานุ่มกว่าที่เธอเคยคิดไว้ ทิพย์ธาราขยับตัวเล็กน้อย กระพริบตาช้า ๆ เอนตัวลงอีกนิด แล้วไม่นานเธอก็หลับตาลง
เขาหันมามองก็พบว่าเธอเอนหัวพิงกระจกด้านข้าง หลับตาไปแล้วจริง ๆ ปากยังมีรอยยิ้มบาง ๆ เหลืออยู่
เอกภพหัวเราะเบา ๆ แล้วลดเสียงลงเป็นเพียงเสียงฮัมเบา ๆ ในลำคอ ขับรถไปอย่างระวัง ในใจแอบดีใจที่เขาทำให้เธอผ่อนคลายลงได้
สักพักเขาชะงัก หันมามองใบหน้าข้าง ๆ แล้วก็ขยับปากเรียก
“ธารา ๆ”
เธอขมวดคิ้วก่อนจะลืมตาขึ้นครึ่งหนึ่งอย่างงัวเงีย
“มีอะไรหรอพี่ ใกล้ถึงแล้วหรอ”
“กลับบ้านเธอไปทางไหนต่อหรอ พี่ไปไม่ถูก…”
ทิพย์ธารากระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะออกมา
“เอ้าพี่ ฉันลืมอะ ฮึ ๆ”
เสียงหัวเราะของเธอดังขึ้นเบา ๆ แล้วเขาก็หัวเราะตาม เสียงทั้งสองคนผสานกันเบา ๆ อยู่ในรถเล็ก ๆ คันนั้น ท่ามกลางถนนสายเล็กที่ทอดยาวผ่านทุ่งนาเขียวขจีสองข้างทางที่ไหวเอนตามแรงลม
“ถึงบ้านฉันแล้วนะพี่…”
ทิพย์ธาราพูดกับเอกภพ เธอยืนนิ่งอยู่ตรงหน้ารั้วไม้เก่า ๆ ที่ทาสีขาวไว้ตั้งแต่ปีก่อน สีเริ่มลอกตามกาลเวลา
เธอไม่แน่ใจนักว่าตัวเองยิ้มออกหรือไม่ แค่รู้สึกว่ามุมปากมันยกขึ้นนิดหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
เอกภพยืนอยู่ข้างเธอ ใกล้มากพอที่ไหล่ซ้อนกันอยู่ ใบหน้าเขานิ่งสนิท ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีแววตาหวั่นไหว แต่ลมหายใจเข้าออกของเขาสม่ำเสมอเกินกว่าจะเรียกว่าสบายใจ เขาเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะเหลือบตาไปที่ตัวบ้านที่เงียบผิดปกติ
“ไม่มีอะไรต้องกังวล” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้เบานัก แต่ก็ไม่ได้แข็งกร้าวอะไร มือหนายื่นมาจับมือเธอไว้แล้วบีบแน่นเบา ๆ
มือของทิพย์ธาราเย็นเล็กน้อย ปลายนิ้วเย็นเฉียบ เอกภพรับรู้ได้แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่เดินนำเธอไปช้า ๆ ก้าวเท้าขึ้นบนทางเดินหินที่วางเรียงกันเป็นแถวตรงหน้ารั้ว
แอ๊ดด...
เสียงประตูรั้วไม้ถูกดันให้เปิดออก เสียงบานพับที่ฝืดเล็กน้อยดังขึ้น แม้จะเบาแต่ก็ชัดพอจะให้คนในบ้านได้ยิน
แม่วารีนั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน ที่พื้นมีเสื่อเก่า ๆ ปูไว้ และตรงหน้าของเธอคือเข่งตะกร้าที่ทำจากเส้นตอกสีอ่อน เธอกำลังถักตะกร้าอย่างใจเย็น มือขยับช้า ๆ แต่มั่นคง ไฟจากหลอดกลมที่แขวนอยู่เหนือหัวส่องให้เห็นเงาของมือและไม้เส้นตอกบนพื้นไม้กระดาน
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่นิ่งของคนสองคนทำให้เธอเงยหน้าขึ้นช้า ๆ
สายตาแรกที่เธอเห็นคือใบหน้าของลูกสาว
แม่วารีหยุดมือที่กำลังถักทันที ดวงตาของเธอวาววับขึ้นมา เหมือนมีบางอย่างสะดุดอยู่ในอก
“อ้าว! ธารา”
เสียงของแม่ดังขึ้นตามจังหวะของลมหายใจที่เปลี่ยนไปนิดหนึ่ง มันไม่ใช่เสียงตกใจแต่เป็นความแปลกใจที่ไม่ทันตั้งตัว
“หายไปนานเป็นปีเลยนะเอ็ง ดีนะยังเขียนจดหมายมาให้พ่อเอ็งอ่านทุกเดือน”
น้ำเสียงของแม่ยังคงเรียบ ไม่เร็วไม่ช้า
สายตาของแม่มองเลยไปทางด้านหลังของทิพย์ธารา แล้วค่อย ๆ ขมวดคิ้วช้า ๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนอยู่ใกล้เกินกว่าจะเป็นแค่คนผ่านทาง
ดวงตาเธอเปลี่ยนเป็นแววระแวงแต่ไม่แสดงความโกรธ เพียงแต่ความสงสัยไหลมาเป็นระลอก
“เขาให้ลางานมาได้หรอ?” เสียงของแม่วารีไม่ได้ดังมากนัก แต่ทิพย์ธารารู้ดีว่าทุกถ้อยคำมีน้ำหนัก
เธอหันหน้าไปทางแม่ช้า ๆ ก่อนจะก้มหน้าจนเส้นผมด้านหน้าไหลลงมาปิดแก้มข้างหนึ่ง มือที่กำสายกระเป๋าแน่นอยู่เมื่อครู่คลายออกแล้วขยับไปประสานนิ้วกันตรงหน้าท้อง
เธอกลืนน้ำลายเงียบ ๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะพูดพึมพำออกมาเบา ๆ เหมือนคนที่เพิ่งกล้าพูดคำแรก
“แม่… ฉันมีเรื่องอยากบอก”