“เชี่ย… ยัยนี่คือทอมที่มึงบอกว่าพลาดเหรอวะ ถามจริง?”
ฉันมองพี่โลกิสลับกับพี่ฌอนด้วยความงุนงง ตอนแรกก็แปลกใจเหมือนกันที่เห็นว่าทั้งสองคนรู้จักกัน แต่ที่ไม่เข้าใจเลยก็คือทำไมพี่ฌอนต้องทำท่าอึกอักขนาดนั้นด้วย พี่โลกิก็แค่ถามว่าเรารู้จักกันหรือเปล่าเท่านั้นเอง มันตอบยากตรงไหนเหรอ?
แต่… ไอ้คำถามของพี่โลกิตอนนี้เนี่ยสิที่ทำฉันสงสัยยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
ทอม? พลาด? หมายความว่าไงวะ…
“มะ ไม่ใช่เว้ย! ไอ้สิงห์มันมีธุระจะคุยกับกู ยัยนี่ก็เลยตามมันมาด้วยเฉย ๆ” พี่ฌอนปฏิเสธเสียงแข็งก่อนหันมาหาฉัน “พี่เธอกลับไปแล้ว เธอก็กลับไปได้ล่ะ”
อ้าว… อยู่ ๆ ก็ไล่กันอย่างนี้เลยเหรอวะ เรื่องอะไร ใครจะยอม
“แต่ฉันมีเรื่องจะคุยกับรุ่นพี่”
“คะ คุย? คุยอะไร! ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเธอสักหน่อย” พี่ฌอนรีบปฏิเสธ เขามองไปทางพี่โลกิอย่างระแวงก่อนทำท่าจะเดินหนีไป แต่ฉันไม่ยอมง่าย ๆ เอื้อมคว้าแขนเขาไว้แล้วดึงกลับมา ร่างสูงชะงักตามแรงดึงนั้น เขาหันมองฉันด้วยสีหน้าตกใจ คงคิดไม่ถึงว่าฉันจะรั้งแขนเขาไว้
“ก็บอกว่ามีเรื่องจะคุยไง จะให้คุยตรงนี้? หรือจะไปคุยที่อื่น?” ฉันเลิกคิ้วถาม พี่ฌอนทำหน้าเหมือนคนจะขาดใจตาย เขามองพี่โลกิที่ยืนมองพวกเราด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ มันดูเหมือนรอยยิ้มของพวกวายร้ายมากอ่ะ
“เออ ๆ คุยก็คุย แต่ไม่ใช่ตรงนี้เว้ย! มานี่เลย!” สุดท้ายพี่ฌอนคว้าข้อมือฉันแล้วดึงให้เดินออกมาจากตรงนั้น หน้าฉันร้อนวูบวาบยามมองข้อมือตัวเองที่ถูกจับกุมอยู่ สัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือหนามันคุ้นเคยเสียจนหัวใจเต้นระรัว
อ่า... นี่ฉันชอบเขามากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
.
.
.
“มีอะไร ว่ามา”
ร่างสูงกอดอกถามเมื่อพาฉันเข้ามาในห้องเตรียมการสอนห้องหนึ่ง ฉันมองรอบห้องด้วยความไม่คุ้นตา ฉันเรียนคณะเดียวกับพี่ฌอนแต่กลับไม่เคยเดินมาถึงห้องนี้เลยแฮะ ดูจากสภาพโต๊ะและเก้าอี้ที่ไร้ระเบียบแล้ว ห้องนี้คงไม่ได้ใช้เปิดสอนนานแล้ว
“นี่ห้องอะไรเหรอ?” ฉันเดินมาหยิบจับอุปกรณ์มิเดียหน้าตาแปลก ๆ บนโต๊ะด้วยความสนอกสนใจ แต่ถูกมือหนาแย่งกลับคืนไป เงยหน้ามองก็พบกับสายตาตำหนิ
“อย่าจับของคนอื่นมั่วซั่วสิ นี่มันงานพวกฉันนะ พังขึ้นมาเธอมีปัญญาชดใช้ไหม?” ไม่รู้ว่าวันนี้พี่ฌอนเป็นอะไร ทำไมเขาถึงดูเกรี้ยวกราดตลอดเวลาแบบนี้นะ เมื่อวันก่อนเขายังใจดีปกป้องฉันอยู่เลย
“นี่ห้องทำงานของพวกรุ่นพี่เหรอ? โอ้โห เป็นรุ่นพี่ปีสามนี่ดีนะ มีห้องส่วนตัวซะด้วย” ฉันกวาดสายตามองทั่วห้องอีกครั้ง ที่นี่น่าจะเป็นห้องที่ทางคณะไม่ได้ใช้งานแล้ว พวกพี่ฌอนถึงได้เข้ามาใช้ห้องนี้ได้
“นั่นมันใช่ประเด็นไหม เธอมีอะไรจะคุยกับฉันไม่ใช่?” พี่ฌอนพิงสะโพกสอบกับโต๊ะ ท่าทางเขาดูเหนื่อย ๆ “ตกลงมีเรื่องอะไร?”
ฉันจ้องหน้าเขานิ่งอย่างเพ่งพินิจ โอ้โห… เขาหล่อเหลาเอาการเลยนะเนี่ย ทำไมที่ผ่านมาฉันไม่เคยสังเกตเลยนะ ดวงตาคมเฉี่ยว จมูกโด่งสวย ริมฝีปากหนาอมชมพูหน่อย ๆ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกใจเต้นตึกตัก สเปคฉันชอบผู้ชายสไตล์นี้เหรอเนี่ย…
“นะ นี่… เธอจะจ้องหน้าฉันอีกนานไหม ถึงฉันจะเป็นผู้ชายแต่ก็เขินเป็นนะเว้ย!”
ฉันกะพริบตาเรียกสติตัวเองกลับมา เห็นพี่ฌอนหูแดงชัดเจนเลย นี่เขาเขินฉันจริง ๆ เหรอ…
“ตกลงมีเรื่องอะไรจะคุย ถ้าไม่พูดฉันจะกลับแล้วนะ”
“เดี๋ยวสิ!” ฉันพุ่งตัวไปคว้าข้อมือหนาอีกรอบ คราวนี้พี่ฌอนไม่ได้มีท่าทีตกใจเหมือนตอนแรก เขาแค่มองมาด้วยสายตาติดรำคาญ ฉันจึงปล่อยมือออกเปลี่ยนเป็นล้วงหยิบของบางอย่างในกระเป๋าแทน “คือ… คืนนั้น…”
“คืนนั้น?” พี่ฌอนทวนคำเมื่อเห็นฉันอ้ำอึ้ง ดวงตาคมหรี่มองกัน “อย่าบอกนะว่าจะมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากฉันอ่ะ ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าคืนนั้นฉันเมามาก ฉันพลาด และฉันก็จะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้นด้วย”
มือที่กำลังหยิบของสิ่งนั้นชะงักกึก เงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวสูงกว่าด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก มันรู้สึกเจ็บ ๆ จุก ๆ ยังไงไม่รู้ น่าแปลกมาก… ทั้งที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ฌอนพูดแบบนี้สักหน่อย แต่ทำไมครั้งนี้ฉันกลับรู้สึกแบบนี้ก็ไม่รู้
“ถ้าเธอไม่พอใจ จะฟ้องพ่อหรือพี่ชายเธอให้มากระทืบฉันก็ได้นะ แต่จะให้รับผิดชอบฉันคงทำไม่ได้” ถึงขนาดยอมเจ็บตัว นี่เขาใช่พี่ฌอนตัวจริงหรือเปล่าเนี่ย จากที่เคยฟังพวกพี่แฝดพูดถึง พี่ฌอนเป็นคนนิสัยกะล่อน เอาตัวรอดเก่งสุด ๆ ไม่ใช่เหรอ? เขาไม่น่าจะยอมเจ็บตัวง่าย ๆ แบบนี้นะ
“แน่ใจเหรอ? พ่อเสือกระทืบดุนะ พี่ไหวเหรอ?” ฉันลองหยั่งเชิงถาม ลอบยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าหล่อ ๆ ชะงักค้าง ดวงตาคมหลุกหลิกทันที อยู่ ๆ ก็รู้สึกสนุกอยากจะแกล้งเขาต่อ “ยิ่งพวกพี่แฝดด้วยนะ เห็นหน้าสวย ๆ หวาน ๆ แบบนั้นจริง ๆ แล้วโรคจิตสุด ๆ อ่ะ พี่เป็นเพื่อนกับพวกเขามานานน่าจะรู้สันดานกันดี ส่วนพี่ธันย์… แม้นิสัยปกติจะเหมือนพ่อพระประจำบ้าน แต่นั่นมันแค่ร่างอวตารของซาตานเท่านั้นแหละ ถ้าพวกเขารู้ว่าฉันถูกพี่ฟันแล้วทิ้งละก็…”
“เฮ้ย! พอเลย ๆ ๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ยิ่งฟังยิ่งขนหัวลุก!” พี่ฌอนโวยวายลั่นห้องก่อนเดินวกวนไปมาเหมือนคนคิดไม่ตก “ให้ตายดิ! เธอคิดจะขู่ฉันใช่ไหมวะ”
“ฉันไม่ได้ขู่สักหน่อย ก็แค่เล่าสู่กันฟัง”
“เล่าสู่กันฟังบ้านป้าเธอสิ เอาซะเห็นภาพเลย เวรเอ๊ย!” เขายังสบถไม่หยุด คงจะหงุดหงิดถึงขีดสุดจริง ๆ ฉันขยับยิ้มเต็มแก้มยามมองหน้าพี่ฌอนที่ยังเดินวนไปมา
ถ้าพวกพี่ชายฉันคือซาตาน ฉันเองก็คงจะเป็นซาตานน้อยไม่ต่างกัน ไอ้นิสัยขี้แกล้ง เห็นคนจิตตกแล้วสนุกนี่มันอยู่ในสายเลือดจริง ๆ สินะ
“แล้วตกลงรุ่นพี่จะรับผิดชอบฉันไหม?” ฉันแกล้งถาม
เอาจริง ๆ ไม่ได้ต้องการให้เขารับผิดชอบอะไรหรอก ก็แค่อยากแกล้งเขาเท่านั้นแหละ ก็ใครใช้ให้เขามันน่าแกล้งแบบนี้ล่ะ
“ไม่! ฉันรับผิดชอบไม่ได้ ฉันคบกับเธอไม่ได้หรอกสวย”
“ทำไม? หรือว่ารุ่นพี่มีแฟนแล้ว?”
นั่นสิ… ฉันก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย
“อะ เออใช่! ฉันมีแฟนแล้ว และก็รักแฟนมาก ๆ ด้วย ฉันไม่อยากมีปัญหากับแฟน เธอคงเข้าใจฉันใช่ป่ะ” พี่ฌอนรีบตอบอย่างไม่ลังเล ทว่าหัวใจฉันมันเจ็บจี๊ดขึ้นมาราวกับมีใครเอามีดมาแทงก็ไม่ปาน
พี่ฌอนมีแฟนแล้วงั้นเหรอ…
“เหรอ…” ฉันสตั้นไปเกือบนาที มันอึ้งจนพูดอะไรไม่ถูก ไปต่อไม่เป็นเลย จากตอนแรกแค่อยากแกล้งเขาเล่น ๆ กลับกลายเป็นฉันเอามีดปักหัวใจตัวเอง
นี่ฉันเผลอตกหลุมรักคนมีเจ้าของแล้วงั้นเหรอ…
บ้าเอ๊ย… อกหักตั้งแต่รักครั้งแรก มึงมันโคตรน่าสมเพชเลยไอ้สวย!