“เอ้า เป็นไรไปวะไอ้ฌอน ทำหน้าเหมือนอมขี้”
“อมขี้พ่องสิ กูจะกลับแล้ว!”
พี่ฌอนเดินฟึดฟัดสวนพี่ตุลย์ที่กำลังเดินเข้าอู่มาพอดี แต่เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกพี่สิงห์ที่ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าอู่ดักทางไว้
ฉันมองสองคนนั้นคุยกันไกล ๆ ก่อนละสายตากลับมามองพี่ชายตัวเองที่ยืมล้วงกระเป๋ามองมาทางนี้ สีหน้าพี่ตุลย์บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังจับผิดกัน
“มะ มองอะไรเล่า”
“แกนั่นแหละมองอะไร พักนี้รู้สึกจะมองมันบ่อยนะ” ปกติพี่ตุลย์เป็นคนไม่สนโลก ไม่สนคนรอบข้าง ชอบอยู่แต่ในโลกของตัวเอง แต่ถ้าลองได้สนใจอะไรสักอย่างขึ้นมานี่ก็น่ากลัวไม่หยอกเชียว
“ก็มองพี่สิงห์ไง ผิดตรงไหนอ่า” ฉันเสสายตากลับมา หยิบเครื่องมือเตรียมจะนอนลงบนกระดานเลื่อนเพื่อซ่อมรถต่อ แต่ยังไม่ทันจะไถลตัวเข้าใต้รถก็ถูกมือหนาของพี่ชายตัวเองรั้งไหล่ไว้ซะก่อน “ทะ ทำอะไรเนี่ย”
พี่ตุลย์จ้องตาฉันนิ่ง นานแล้วที่ไม่ค่อยเห็นเขามองฉันด้วยสายตาจริงจังแบบนี้
“อย่าเล่นกับไฟ ถ้าไม่อยากโดนไฟเผาตาย”
“…พะ พูดอะไรของพี่ ไฟเฟยอะไรเล่า สวยไม่เคยเล่นไฟสักหน่อย” ฉันนิ่งไปชั่วขณะกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ
“งั้นก็อย่าหน้าแดงเพราะความร้อนของไฟสิ” พี่ตุลย์ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วเดินไปทางหลังอู่เพื่อเข้าบ้าน ฉันยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองที่ยังคงความร้อน
หน้าฉันแดงขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย…
“…ส… สวย…”
เพราะอย่างนี้พี่ตุลย์ถึงคิดว่าฉันมองพี่ฌอนใช่ไหมนะ…
“ไอ้สวยโว้ย!”
“ฮะ… อ้าวไอ้ไค มึงมาเมื่อไหร่เนี่ย” ฉันหันมองร่างสูงของเพื่อนสนิทที่มายืนโบกไม้โบกมือตรงหน้าฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันทำเสียงฮึในลำคอก่อนอ้อมมานั่งยอง ๆ ตรงปลายเท้าฉัน
“เหม่ออะไรอยู่วะ แล้วนั่นซ่อมไรอยู่ ให้กูช่วยมะ”
“อ้อ เออ มึงมาก็ดีเลย ช่วยกูฮีลไอ้นี่หน่อยสิ มันตายมาสองวันแล้ว เจ้าของมันเป็นพี่ที่กูรู้จักอ่ะ” ฉันลุกขึ้นแล้วดันตัวไคโรให้ไปนั่งบนกระดานเลื่อนแทน มันทำเสียงเหอะใส่
“ได้ทีก็ใช้กูเลยนะ”
“แหม ก็มึงอยากเกิดมาอัจฉริยะทำไม ใช้ความจีเนียสของมึงให้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนบ้างอะไรบ้าง” ฉันยิ้มพลางนวดไหล่ให้เพื่อนรักอย่างเอาอกเอาใจ ไคโรมันอัจฉริยะเรื่องการเรียนมาก ๆ ตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว เมื่อก่อนมันก็ซ่อมรถไม่เป็นหรอก ไม่รู้ทำไมอยู่ ๆ ถึงมาสนใจด้านยานยนต์ซะได้ พอฉันถามมันก็ตอบว่าไม่รู้จะเรียนอะไรก็เลยเลือกเรียนตามฉัน ทั้งที่หัวกะทิแบบมันสอบหมอหรือนิติได้สบาย ๆ เลยเหอะ
“กูไปอาบน้ำแป๊บ มึงก็นั่งรอหน้าบ้านไปก่อน เดี๋ยวมาคุยเรื่องบทกันต่อ เออ มีเหล้าอยู่ที่บาร์มึงหยิบมาตั้งวงรอได้เลยนะ”
ฉันหันมองตามเสียงพูดคุยของพี่สิงห์ที่กำลังเดินผ่านฉันไปทางด้านหลังอู่เพื่อเข้าบ้าน เขาเดินเข้ามาพร้อมพี่ฌอนที่ตอนแรกคิดว่าจะกลับบ้านไปแล้ว เราเผลอสบตากันโดยบังเอิญ ก่อนดวงตาคมหลุบมองมือฉันที่ยังคงวางอยู่บนไหล่ไคโร ริมฝีปากหนายกขึ้นนิด ๆ คล้ายยิ้มหยันกัน
อะไร… มีอะไรน่ายิ้มแบบนั้นเหรอ?
“ทำไรกันวะนั่น” พี่สิงห์ขมวดคิ้วมองมาทางฉัน
“หะ อะไรอ่ะ?” ฉันทำหน้าเหลอหลา
“แกจะจับไอ้ไคกดเหรอสวย คร่อมซะ…”
หะ… ว่าไงนะ?
ฉันรีบก้มมองท่าทางตัวเองทันที ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในท่าชันเข่าลงบนกระดานเลื่อนข้างหนึ่งโดยมีไคโรนั่งอยู่ใต้ร่าง ส่วนมือทั้งสองข้างกำลังจับไหล่มัน พอเงยหน้ามองไคโรก็พบว่ามันกำลังมองฉันอยู่เหมือนกัน ฉันรีบผละตัวออกแล้วลุกขึ้นยืน
ท่าทางมันล่อแหลมสุด ๆ เลยนี่หว่า ไม่รู้ตัวเลยง่า!
“พูดบ้า ๆ สวยก็แค่นวดไหล่ให้มันเฉย ๆ เอง จิตอกุศลนะพี่อ่ะ”
“อ๋อเหรอ ก็ท่าแกมันพาให้คิดนี่หว่า นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นไอ้ไคนะ เดินเข้าไปถีบละเนี่ย”
“ทำไม หวงสวยเหรอ” ฉันยกยิ้มมุมปากถาม
“เออสิ ถึงแกจะเป็นทอม แต่ก็เป็นเพศหญิงไงสวย จะให้ใครมาเจาะไข่แดงแกง่าย ๆ ได้ไง”
ฉันสะดุ้งกับคำว่าเจาะไข่แดงของพี่สิงห์ และคงไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่สะดุ้ง เพราะร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างพี่สิงห์ก็แอบชักสีหน้าเหมือนกัน
“ทอมบ้าอะไรล่ะ! สวยบอกกี่ทีแล้วว่าไม่ใช่ทอม” ฉันเถียงอย่างพยายามเบี่ยงประเด็น
“อ๋อเหรอ แล้วคิดว่ามีใครมองแกเป็นผู้หญิงมั่งวะ” ฉันเกลียดคำว่าอ๋อเหรอของพี่สิงห์มาก!
“มะ มีสิ! ไอ้ไคไง!”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่ายอมไม่ได้… ยอมให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าฉันเป็นทอมไม่ได้ โดยเฉพาะพี่ฌอน ฉันก็เลยลากไคโรมาเป็นพยานยืนยันความเป็นผู้หญิงในครั้งนี้ด้วย
“จริงอ่ะ? มึงมองไอ้สวยเป็นผู้หญิงด้วยเหรอวะไอ้ไค”
คราวนี้สายตาพี่สิงห์เปลี่ยนไป เขามองไคโรด้วยสายตาเรียบนิ่งจนผิดปกติ ไคโรจ้องตาตอบโดยไร้ความหวั่นเกรงต่อสายตาพิฆาตคู่นั้น
“ใช่ ผมมองสวยแบบผู้ชายมองผู้หญิง”
เห็นไหม... เอ๊ะ… เดี๋ยวนะ… คำตอบนี้มันทะแม่ง ๆ ไปไหมอ่ะ?!