ว่าที่ลูกสะใภ้

1232 Words
บทที่ 1 ว่าที่ลูกสะใภ้              เสียงฝ่ามือหนักๆ ที่กระทบลงใบหน้าของใครบางคนจนเกิดเสียงดังสนั่นอยู่ภายในห้องนอนของ สุนิสา บุตรสาวคนโตของคุณมณีรินทร์และคุณทรงพล เจ้าของห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศทำเอาเหล่าบรรดาสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าห้องต่างพากันสงสารคนถูกกระทำไม่ได้ แต่ใครเลยจะกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งเมื่อต่างก็รู้ๆ กันดีอยู่แล้วว่าฤทธิ์เดชของคุณหนูคนโตแห่งบ้านศุภรักษ์นั้นร้ายกาจเพียงใด             “ฉันบอกแกกี่ครั้งกี่หนแล้วห๊ะนังริน ว่าชุดพวกนี้เวลาซักให้ซักมือเท่านั้น! แกคิดว่าตัวหนึ่งมันราคาเท่าไหร่ห๊ะอีโง่!” สุนิสาตวาดใส่หน้าน้องสาวต่างมารดาที่เธอและผู้เป็นแม่เกลียดชังจับหัวใจก่อนจะปาเอาชุดเดรสแบรนด์เนมหรูในมือ ใส่หน้าของอีกฝ่ายเข้าเต็มแรง             “รินขอโทษค่ะคุณสา เดี๋ยวรินเอาไปซักให้ใหม่นะคะ” ปภาวรินทร์ร้องบอกทั้งน้ำตา ใบหน้าอ่อนหวานมองพี่สาวก็ไม่เคยอนุญาตให้เธอเรียกว่าพี่เลยสักครั้งทั้งๆ ที่เธอกับสุนิสาต่างก็มีพ่อคนเดียวกัน             พ่อที่ไม่เคยเห็นเธอเป็นลูกเลยสักครั้ง…             พ่อที่เลี้ยงดูเธอมาแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่เคยแสแย ไม่เคยสนใจ   ไม่เคยแม้กระทั่งส่งมอบความรักความเอาใจใส่ให้กับเธอเลย             อาจเป็นเพราะเธอมันคือลูกคนใช้ ลูกที่เกิดจากมารดาของเธอซึ่งเคยทำงานในบ้านหลังนี้ฐานะคนใช้ หญิงสาวไม่รู้เรื่องอะไรมากนักเพราะไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะเอ่ยเรื่องนี้ออกมา  เธอรู้เพียงแต่ว่าแม่ของเธอเคยทำงานในบ้านหลังนี้ในฐานะคนใช้ก่อนจะได้เสียกับพ่อของเธอและให้กำเนิดเธอขึ้นมา แต่โชคร้ายที่วันนั้นแม่ของเธอตกเลือดมากจึงทำให้เสียชีวิต ทอดทิ้งให้เธอต้องเผชิญกับความโหดร้ายจากทุกๆ คนส่วนใหญ่ภายในบ้านหลังนี้มักจะมอบให้กันตามลำพัง ไม่ว่าจะเป็นพ่อ พี่สาว หรือแม้แต่แม่เลี้ยงที่แสนจะใจร้าย             ทุกคนต่างลงความเห็นและมักจะพูดกรอกหูอยู่เสมอๆ ว่าเธอไม่สมควรเกิดมาเพื่อเป็นจุดด่างพร้อยให้กับผู้เป็นพ่อแท้ๆ เลย แต่ในเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องยอมรับชะตากรรมของตัวเองต่อไป ชะตากรรมที่เธอเองก็เลือกไม่ได้ต่อให้เธออยากเลือกแค่ไหนก็ทำไม่ได้อยู่ดี             “ย่ะ! อย่าทำพลาดอีกไม่งั้นฉันเอาแกตายแน่ ออกไปได้แล้ว!” สุนิสาตวาดลั่นอีกรอบ ทั้งๆ ที่วันนี้มันคือวันสำคัญของเธอแท้ๆ แต่ก็ต้องมาหงุดหงิดแต่เช้าเพราะนังน้องนอกคอกทำเรื่องใส่กัน             หญิงสาวคิดก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหาชุดที่คิดว่าสวยที่สุดมาลองสวมใส่ในการออกเดทกับแฟนหนุ่มของตัวเองต่อไป             โดยหารู้เลยไม่ว่าการตัดสินใจออกจากบ้านตั้งแต่เช้าในวันนี้นั้นมันจะทำให้เธอต้องพลาดกับโชคชิ้นใหญ่ไปตลอดกาลเลยก็ว่าได้               รถคันหรูค่อยๆ จอดเทียบที่หน้าคฤหาสน์หลังงามของเพื่อนรักที่ไม่ได้พบเจอกันมานานนับปีๆ นายมานพ สุริวงศ์ภพ เจ้าของเหมืองแร่ชื่อดังค่อยๆ ก้าวลงมาจากรถก่อนจะลอบมองคฤหาสน์หรูใจกลางกรุงของเพื่อนพร้อมรอยยิ้มพออกพอใจ การชอบทำอะไรให้ยิ่งใหญ่สมฐานะแบบนี้ รับรองว่าเขามาไม่ผิดบ้านแน่             “เดี๋ยวก่อนสิจ๊ะหนู” ชายชราเอ่ยเรียกหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งบังเอิญเดินผ่านมาไว้ จนเมื่ออีกฝ่ายหันมาจึงส่งยิ้มอบอุ่นให้ รอยยิ้มที่ทำให้ปภาวรินทร์รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนจากคนตรงหน้า ความอ่อนโยนที่เธอไม่เคยได้รับจากใครคนไหนมาก่อน             “คุณลุง มีอะไรให้หนูช่วยรึเปล่าคะ” ชายชราจ้องมองหญิงสาวที่อายุน่าจะพอกับลูกชายของตนอยู่ครู่ใหญ่   จึงเอ่ยบอกถึงธุระออกไป             “ฉันมาหาคุณทรงพล ไม่ทราบว่าเขาอยู่รึเปล่า”             “คุณพ่อ…เอ่อคุณท่านอยู่ด้านในค่ะ คุณลุงคงจะเป็นแขกที่ท่านรออยู่ เชิญทางนี้เลยค่ะเดี๋ยวหนูพาไป” หญิงสาวที่พลั้งปากเรียกพ่อว่าพ่อหน้าเสียไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนพร้อมเดินนำอีกฝ่ายเข้ามายังตัวบ้านซึ่งก็มีพ่อกับแม่เลี้ยงเธอนั่งรออยู่ก่อนแล้ว             “ว่ายังไงไงไอ้นพ! ไม่ได้เจอกันเสียนาน กว่าจะโผล่หัวออกมาจากเหมืองได้นะ!” คำสนทนาที่สนิทสนมทำให้ปภาวรินทร์คิดเอาเองว่าแขกคนนี้คงจะเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อของเธอไม่ผิดแน่ หญิงสาวทำได้เพียงแค่คิดก่อนจะหมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป แต่ยังไม่ทันไรเสียงร้องเรียกจากแม่เลี้ยงนั้นก็ดังขึ้นจากด้านหลังเข้าเสียก่อนทำให้หญิงสาวไม่อาจที่จะพาตัวเองเดินจากออกไปอย่างที่ใจเธอต้องการ             “เดี๋ยวก่อนสิยัยริน! เข้าไปหาน้ำมารับแขกด้วยด้วย” คุณหญิงมณีรินทร์เอ่ยขึ้นสั่ง สายตาทอดมองลูกเลี้ยงด้วยความเกลียดชังจับใจจนมานพที่จ้องตามเริ่มรู้สึกแปลกแต่ก็ไม่เอะใจอะไร             “ได้ค่ะคุณผู้หญิง” ปภาวรินทร์ขานรับเพียงสั้นๆ ก่อนจะรีบพาตัวเองเดินหายไป ปล่อยให้พวกผู้ใหญ่ให้พูดคุยธุระกันตามลำพัง             “ไหนๆ ฉันก็มาถึงแล้ว เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”คุณมานพเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น ซึ่งจุดประสงค์ของการมาที่นี่ของเขานั้นก็ไม่ใช่เรื่องใดนอกจากเรื่องที่บุคคลตรงหน้าทั้งสองคนตัดสินใจโทรไปขอความช่วยเหลือ ซึ่งเขาเองก็เต็มใจที่จะช่วยเท่าที่พอจะช่วยได้บ้าง             “เอาสิ ก่อนอื่นฉันต้องขอโทษด้วยที่ต้องให้แกมาหาถึงที่ทั้งๆ ที่ฉัน…เป็นฝ่ายจะขอยืนเงินแกแท้ๆ ต้องขอโทษจริงๆ เพื่อน”             “อย่าคิดมากสิวะ เราเพื่อนกัน อะไรที่พอช่วยกันได้ก็ต้องช่วยกันไปก่อน ว่าแต่ครั้งนี้ขาดทุนหนักเลยเหรอ” เจ้าพ่อเหมืองใหญ่เอ่ยถามไถ่ อยากจะได้ข้อมูลมากกว่าที่คุยกันทางโทรศัพย์เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือเพื่อนรักที่เคยสนิทสนมกันตั้งแต่ครั้งสมัยเรียนได้ถูกวิธี             “ก็พอตัว ฉันผิดเองที่ไว้ใจคนผิด บอกตามตรงว่าตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร จะมีก็แต่แกที่พอจะนึกออก…” ซึ่งคุณมานพเองก็ยินดีที่จะช่วยเพื่อนรัก หากแต่การช่วยเหลือในครั้งนี้เขาเองก็คงต้องขอแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่างกับมันเหมือนกัน ข้อแลกเปลี่ยนที่ทรงพลเองก็ลำบากใจไม่น้อยเพราะยังไม่มีโอกาสได้เกริ่นบอกลูกสาวกับภรรยาก่อนล่วงหน้า บางเรื่องที่มันค่อนข้างสำคัญ  และเขาไม่สามารถชี้ขาดกับมันได้เพราะต้องถามความคิดเห็นของภรรยาและลูกเสียก่อน             
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD