“เดี๋ยวนี้ลูกไปค้างข้างนอกบ่อยๆ ตกลงลูกไปนอนบ้านเพื่อนคนไหน?” เสียงของบิดาที่เอื้อนเอ่ยถามดังมาจากห้องหนังสือ เรียกทับทิมที่กำลังจะก้าวขาขึ้นบันไดชะงักงัน
“ทับทิมไปค้างกับดาวมาค่ะ” หญิงสาวหันมาฉีกยิ้มกลบเกลื่อนความผิด ก่อนจะเดินเข้าไปหาท่านในห้องทำงาน แล้วตรงเข้าไปกอดและออดอ้อนท่าน เหมือนสมัยที่ยังเป็นเด็ก
สองปีมานี้หาเรื่องโกหกบิดาสารพัดอ้างโน่น อ้างนี่ตลอด ในยามไปค้างที่คอนโดของดนัย จนตอนนี้หมดหนทางที่จะอ้างชื่อเพื่อนคนนั้นคนนี้แล้ว สงสัยต้องแอบเช่าอพาท์เมนต์ใกล้ที่ทำงานสักแห่งแล้วล่ะ จะได้ไม่ต้องแอบอ้างใครอีก นอกจากบอกว่าอยากพักผ่อนจากเครียดเรื่องงาน
“แล้วไป ลูกเป็นผู้หญิงควรรักตัวสงวนตัวเยอะๆ ผู้ชายที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของเราจะได้เห็นค่า” ประโยคของบิดาทำให้ทับทิมอยากจะบอกท่านว่า ไม่ทันแล้วค่ะคุณพ่อ ลูกสาวของคุณพ่อสึกหรอหมดแล้วด้วยฝีมือของอดีตว่าที่ลูกเขยอย่าง ดนัย ประไพพรรณ
“ค่ะคุณพ่อ รักคุณพ่อที่สุดเลย”
“อ้อนพ่อแบบนี้มีอะไรหื้อ?”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่อยากอ้อน”
“ช่วงนี้ลูกเหนื่อยมากไหม?” คุณเสกอดที่จะถามบุตรสาวคนเล็กไม่ได้ ช่วงนี้บริษัทกำลังอยู่ในช่วงที่ขาขึ้น งานจึงล้นมือ โชคดีที่ยังมีคนของธาวินคอยช่วย จึงแบ่งเบาภาระเขาและทับทิมได้ค่อนข้างมาก ไม่อย่างนั้นคงแย่แน่ๆ
“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ เพราะทับทิมมีกำลังใจดีนี่คะ”
“กำลังใจ…?” สีหน้าของบิดาทั้งจับผิดและอยากรู้ เรียกทับทิมหัวเราะเบาๆ
“ก็คนนี้ไงคะ ที่เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดของทับทิม” กล่าวจบ จึงหอมแก้มสากระคายของบิดาฟอดหนักๆ ได้ยินเสียงหัวเราะราวกับอารมณ์ดีในเวลาต่อมาจากท่าน ฝ่ามือหนายับย่นตามอายุเลื่อนมาลูบเรือนผมยาวสยายของเธอเบาๆ
“ขึ้นไปพักเถอะ พรุ่งนี้มีประชุมเช้าไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะคุณพ่อ คุณพ่อก็พักบ้างนะคะ อย่ามัวแต่นั่งทำงานจนเพลินล่ะ” ทับทิมบอกด้วยความเป็นห่วง ก่อนออกไปฉวยหอมแก้มบิดาอีกข้าง จากนั้นจึงพาตัวเองออกจากห้องทำงานของบิดา
คุณเสกมองแผ่นหลังเล็กๆ ของลูกสาวคนเล็กแล้วได้แต่ยิ้มกับตัวเองคนเดียว จากนั้นหันไปทางรูปถ่ายของภรรยาคนที่สองซึ่งจากไปแล้วเมื่อต้นปี แล้วเอ่ยเสียงพร่า
“ลูกสาวของเราเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ แถมยังทำงานเก่งด้วย”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสองสามปีมานี้ที่บริษัทก้าวกระโดด จนเป็นที่รู้จักและไว้วางใจจากลูกค้า ส่วนหนึ่งมาจากทับทิม ที่สำคัญบุตรสาวยังสร้างผลงานจนเข้าตากรรมการ ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นรองประธานบริษัท แถมยังควบตำแหน่งอีกสองตำแหน่งไปพร้อมๆ กันด้วยวัยเพียงยี่สิบกว่าเท่านั้น
******
ประชุมช่วงเช้าเสร็จ ช่วงบ่ายทับทิมขับรถซีดานสีเข้มออกมาพบลูกค้าในโรงแรมแห่งหนึ่ง เธอได้ยินพนักงานและหัวหน้าฝ่ายประสานงานบอกว่าลูกค้ารายนี้เอาใจยาก แถมขึ้นชื่อในเรื่องขี้เหวี่ยง ขี้วิน เนื่องจากสามีเป็นถึงนักธุรกิจแถวหน้าและมีอำนาจทางด้านการเงินพอตัว ทับทิมซึ่งไม่เคยพบลูกค้าดังกล่าว เธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะรับมือยากเหมือนอย่างในข่าวลือไหมจึงรับอาสางานนี้
พอได้พบกับอีกฝ่ายแล้ว เธอรับรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เขาเล่าลือกัน นอกจากท่าทางทรงอำนาจแล้วน้ำเสียงของหล่อนเฉียบแหลมแต่แน่นหนัก ฟังดูมีพลังมาก ส่วนการแต่งตัวนั้นบอกได้คำเดียว ว่าเครื่องประดับทุกชิ้นบนเรือนร่าง ล้วนแต่เป็นของแบรนด์เนม
“คุณแดงพอใจกับแบบของเราไหมคะ?” เอาจริงๆ นะ ปกติเธอเป็นคนที่กล้าหาญและพูดจาฉะฉาน แต่เมื่อต้องเผชิญกับลูกค้าเปรียบดั่งนางพญา เล่นเอาทับทิมประหม่าไปเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่โดยที่ไม่เปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอกำลังเกร็ง
ภายหลังจากวางแบบลงบนโต๊ะ หล่อนไม่ตอบ แต่หยิบเอสเพรสโซ่ในถ้วย ซึ่งยังมีควันลอยฟุ้งยกขึ้นจิบ จากนั้นคว้าแบบขึ้นมาดูอีกรอบทำให้คนมองคอยลุ้นจนตัวโก่ง
“ก็ใช้ได้นะ แต่ยังขาดบางอย่าง”
ความจริงแบบวาดนี้ใช้สถาปนิกมือหนึ่งของบริษัทออกแบบเลย ฝีมือชั้นเยี่ยมขนาดนั้นแต่ยังมีตำหนิ ทับทิมยอมรับว่าสตรีซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า เนี้ยบอย่างที่ทีมงานเล่าลือจริงๆ
ต่อมาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากฝ่ายตรงข้าม ทับทิมยิ่งรู้สึกเดาทางไม่ถูกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดและต้องการอะไร
“ดูหน้าคุณทับทิมเครียดจัง แค่นี้ถึงกับเครียดเลยหรือ?”
“คะ?” นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าลูกค้าช่างรับมือยาก
“คุณลองไปให้สถาปนิกในบริษัทของคุณดูสิว่ายังสามารถแก้ไขตรงไหนได้บ้าง แล้วค่อยนำแบบมาให้ฉันใหม่”
“ได้ค่ะ” เธอทำได้แค่รับคำ และเมื่อลูกค้าเดินออกไปพร้อมน้องหมาพันธุ์ชิสุห์สีขาว ทับทิมทำได้แค่มองตามแล้วถอนหายใจ มาดามแดงคงมีอำนาจอภิสิทธิ์มากจริงๆ ถึงได้สามารถพาน้องหมาเข้ามาในโรงแรมแห่งนี้ได้ ทั้งที่ที่นี่เข้มงวดอย่างกับอะไรดี
ทับทิมลงมือเก็บกระเป๋ารวมทั้งข้าวของที่พกมาด้วยขึ้นมา จากนั้นร่างบอบบางในชุดสูทสีดำสลับขาวออกจากร้านคาเฟ่แล้วมองหาร้านอาหาร เนื่องจากประชุมเสร็จ เธอรีบขับรถมาพบมาดามแดงที่โรงแรม ยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยง ตอนนี้เริ่มหิวบ้างแล้วล่ะ จึงเลือกทานข้าวในร้านอาหารของโรงแรม เพราะไม่อยากแวะที่ไหนอีก แต่ในระหว่างที่กำลังจะเดินเข้าไปในร้านอาหาร สายตาบังเอิญเห็นดนัยกำลังนั่งกินข้าวกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครเลยแต่เป็นไฮโซสาวที่ดนัยควงออกงานในคืนงานการกุศลด้วยนั่นเอง
ในจังหวะที่จะเอี้ยวตัวเดินออกไป เนื่องจากไม่อยากนั่งทานข้าวในร้านนี้แล้ว แต่ไฮโซสาวที่ชื่อเอ๋ เรียกรั้งเธอด้วยน้ำเสียงใส
“คุณทับทิม บังเอิญจังค่ะ”
ทับทิมทำได้แค่พยักหน้ายิ้มทักทายตอบ ก่อนจะขอตัวโดยอ้างว่ามีธุระต่อ ซึ่งหล่อนก็ไม่ได้รั้งเธอไว้อีก ขณะที่อีกคนนั้นกลับทำหน้าเรียบเฉย ต่างจากเมื่อครู่ก่อนที่จะเห็นเธอที่นี่ ทับทิมไม่รู้เลยว่าเมื่อหมุนตัวเดินจากไปแล้ว มีสายตาบางคู่ จับจ้องมองแผ่นหลังของเธอตลอด
ดนัยรู้ว่าทำไมวันนี้ทับทิมดูมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ซึ่งเขาพอจะรู้สาเหตุ จะให้เธอทำหน้ารื่นได้ยังไงในเมื่อเจอเรื่องหินมาขนาดนั้น ‘มาดามแดง’ ชื่อนี้ใครๆ ต่าง รู้จัก และหากไม่มีธุระด้วยก็คงไม่มีใครอยากเข้าใกล้
“พี่นัยมองอะไรคะ?”
ดนัยไม่ตอบ หากแต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะตักอาหารใส่จานหญิงสาวตรงหน้าราวกับจะเอาใจอีกฝ่าย ช่วงนี้เขาพยายามที่จะเรียนรู้และลองศึกษาดูใจกับหล่อนตามคำเรียกร้องของมารดา จึงต้องดูแลเอาใจอีกฝ่ายเป็นพิเศษ
“ทานข้าวเสร็จแล้วเราไปดูหนังต่อไหมคะ?”
“คงไม่ได้ครับ พอดีมีงานต่อที่ต้องไปจัดการ ไว้พี่พาไปดูวันหลังนะครับ”
“ได้ค่ะ พี่นัยน่ารักที่สุด”
“แล้วรักไหมครับ?”
“พี่นัย…”
ดนัยกดยิ้มมุมปากให้กับท่าทางเอียงอายของหญิงสาวตรงหน้า อัญชลีน่ารัก อ่อนหวาน จนน่าทะนุถนอม หากได้ศึกษาใกล้ชิดกับหล่อน ไม่แน่อาจจะตกหลุมรักเธอได้ไม่ยาก