มู่อิงเถาเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ มาสองสามอย่างเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยนางจึงเดินเข้าไปในห้องนอนตั้งใจจะไปดูอาการของเด็กชายอีกสักเล็กน้อย
แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องแล้วประตูที่ถูกแง้มออกมาเพียงเล็กน้อยมองเห็นคนด้านในที่กำลังลงมือเช็ดเนื้อตัวให้เด็กชายอย่างเบามือ
ทุกท่วงท่าของเขาช่างดูอ่อนโยนยิ่งนัก นางไม่อยากรบกวนทั้งคู่ตั้งใจจะเดินกลับไปในครัวแต่แล้วเสียงของซ่งอวี่ถงก็ดังแว่วออกมาจากในห้อง
“เจ้าไม่เข้ามาล่ะ” มู่อิงเถาหันกลับไปมองเขาด้วยความรวดเร็ว ยังคงงุนงงไม่น้อยที่คนผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่านางมายืนอยู่ตรงนี้หรือว่าเพราะว่านางเดินเสียงดังจนทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวกระนั้นหรือ
‘คงต้องรีบลดน้ำหนักเสียแล้ว’
หญิงสาวค่อยๆ แง้มประตูเปิดออกก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนที่มีร่างสูงนั่งอยู่ข้างเตียงยังคงจ้องมองหลานชายของเขาไม่วางตา
“ดูเหมือนหงเอ๋อจะไม่ทรมานมากเท่าใดแล้วนะเจ้าคะ”
“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น อีกสองวันข้าจะเข้าเมืองไปสำนักบัณฑิตขอลาหยุดสักเจ็ดวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าคะพวกข้าอยู่ได้”
“แต่หงเอ๋อบาดเจ็บเพียงนี้หากว่าบ้านนั้นมาระรานพวกเจ้าอีกจะทำอย่างไร ไม่ได้หรอกข้าไม่ไว้ใจ”
“ทำมาก็ทำกลับสิ”
แม้ซ่งอวี่ถงจะเห็นวีรกรรมของนางมาแล้วแต่เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดีจะทิ้งพวกนางไว้ที่นี่เพียงลำพังได้อย่างไร แต่ก่อนก็ยังมีพี่รองและพี่สะใภ้รองอยู่ด้วยแต่วันนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้วที่เป็นที่พึ่งสำหรับนางและหลานชายคนนี้
“ข้าอยู่ได้น่า” มู่อิงเถายังคงยืนยันคำเดิมแต่ซ่งอวี่ถงก็เอาแต่ส่ายหน้าให้นาง
“หลังกลับจากสำนักบัณฑิตข้าจะลองไปหาบ้านเช่าดูด้วย”
“บ้านเช่า? ในเมืองเป่ยเย่นั่นน่ะหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว ข้าตั้งใจจะให้พวกเจ้าไปอยู่ที่นั่นด้วยจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลอีก”
“ไม่เอาน่าท่านพี่จะไปเช่าให้เปลืองเงินทำไมกันเล่า ข้าดูแลหงเอ๋อได้หากว่าพวกนั้นมาระรานพวกข้าอีกข้าจะ…เอ่อจะ”
‘จะอะไรดีล่ะ’
“จะอะไรงั้นหรือ แม้ข้าจะเห็นว่าเจ้าปกป้องตัวเองได้แต่อีกไม่นานถึงอย่างไรแล้วพวกเราทั้งหมดก็ต้องย้ายเข้าเมืองกันอยู่ดีหาใช่จะอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่”
‘ไม่เอานะชะตาของข้าใกล้ขาดแล้วหรือ’
“เงินในบ้านของเราก็มีเพียงน้อยนิดไม่ใช่หรือหากท่านนำไปเช่าบ้านอีกแล้วพวกเราจะกินจะอยู่อย่างไรต่อไปกันเล่า”
“ไว้ข้าจะจัดการเอง”
“จัดการเอง? ท่านจะจัดการอย่างไรล่ะเจ้าคะ” มู่อิงเถาเริ่มคิดหนักขึ้นทุกที อยู่ๆ ก็รับรู้ได้ว่าสายตาเย็นเยือกนั้นกำลังจับจ้องมองนางอยู่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบเข้ากับดวงตาคมกริบของบุรุษตรงหน้า เขามองนางก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ดูเหมือนว่าเจ้าไม่อยากไปจากที่นี่”
“คือว่าข้า”
ซ่งอวี่ถงจ้องมองนางอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันกลับไปจ้องมองหลานชายของเขาอีกครั้งแล้วนิ่งเงียบไป ไม่รู้เลยว่าในใจของเขากำลังคิดการสิ่งใดอยู่กันแน่
‘จะเพราะเหตุใดกันนะที่ทำให้เขากลายเป็นคนร้ายกาจไปได้แล้วนางควรที่จะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้ชีวิตของนางอยู่รอดไปจนกว่าจะได้กลับบ้านกัน’
“พรุ่งนี้ข้าจะขึ้นเขาอีกครั้งฝากเจ้าดูแลเขาด้วย”
“ขึ้นเขา?”
“อืม ไปหาของป่ามาขายเพิ่มอีกสักหน่อยน่ะข้าต้องเก็บเงินเอาไว้มากๆ จะได้พาพวกเจ้าไปอยู่ด้วยกันให้เร็วที่สุด”
ไม่รอให้นางได้ถามสิ่งใดอีกเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินไปหยิบเอาท่อนฟืนที่ตัดไว้มาก่อกองไฟความร้อนจากเปลวไฟทำให้นางเริ่มรู้สึกอบอุ่นขึ้น
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นไปจ้องมองคนตรงหน้าในชั่วเวลาสั้นๆ เสี้ยวหน้าคมคายของชายหนุ่มฉายแววดุดันออกมาแต่แล้วก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเขารับรู้ได้ว่านางกำลังจ้องมองเขาอยู่
“คือว่าข้าง่วงแล้วท่านนอนเป็นเพื่อนหงเอ๋อแล้วกันนะเจ้าคะ”
“อืม”
มู่อิงเถารีบลุกขึ้นก่อนจะเดินไปนอนบนเตียงอีกฝั่งหนึ่งนางหันไปจ้องมองซ่งอวี่ถงอีกครั้งก็เห็นว่าเขาได้ทิ้งกายลงนอนด้านข้างของเด็กชายแล้ว เขาใช้แขนแกร่งก่ายหน้าผากของตนเองดวงตาคู่คมก็ปิดลงความเงียบงันนั้นทำให้นางคิดว่าเขาคงจะหลับไปแล้ว
มู่อิงเถาหันหลังให้คนทั้งคู่ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงเพราะความเหนื่อยล้าทำให้นางเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เพียงไม่นานซ่งอวี่ถงก็ลืมตาตื่นขึ้นก่อนจะค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงแล้วเดินย่องไปที่เตียงของนางด้วยย่างก้าวที่เบาที่สุด
เขายืนจ้องมองใบหน้าของมู่อิงเถาด้วยแววตาที่แปลกไปจากเดิมความรู้สึกบางอย่างยังคงหลงเหลืออยู่ภายในใจ 'เหตุใดต้องเป็นนาง!'
มู่อิงเถาครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ๆ นางก็รู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนมีใครบางคนกำลังบีบคอของนางอย่างไรอย่างนั้น แต่แล้วความรู้สึกที่เหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจก็เบาบางลงใบหน้าที่กำลังขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดนั้นก็คลายลงเรื่อยๆ รู้สึกถึงความอบอุ่นเคลื่อนขึ้นมาจนถึงลำคอ
นางพยายามปรือตาขึ้นมากลับพบเพียงภาพที่เลือนลางเห็นเป็นเพียงร่างสูงของชายหนุ่มที่เดินกลับไปยังเตียงอีกฝั่งแล้ว
‘เมื่อครู่มันอะไรกันความรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตายนั้นน่ะ อย่าบอกนะว่า!...’
มู่อิงเถาพยายามข่มตาลงแต่ก็ไม่สามารถสลัดความคิดบ้าๆ นั่นออกไปจากหัวของนางได้
‘ลิงฮุย เจ้าอยู่หรือไม่’
มู่อิงเถาพยายามเรียกหลิงฮุยเจ้าของมิติวิเศษเพื่อสอบถามสิ่งที่เกิดขึ้นกับนางในเวลานี้แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเงียบไป
‘นอนหลับอย่างนั้นหรือเจ้าบ้าลิงฮุยเอ้ย! เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้กลับพึ่งพาอะไรไม่ได้เอาเสียเลย ให้ตายสิแล้วข้าจะหลับตาลงไปได้อย่างไรกันนะ’
-เช้าวันต่อมา-
“อะ อาสะใภ้เหตุใดขอบตาของท่านถึงได้…”
“อะไรหรือ”
“ไม่มีอะไรหรอกขอรับข้าคงตาไม่ดีเอง”
มู่อิงเถาไม่สนใจเขานางหันไปมองซ่งอวี่ถงที่กำลังเก็บของลงตะกร้าก่อนที่เขาจะก้มหน้าก้มตามัดเชือกกับซี่ไม้หลายชิ้นเพื่อทำบางสิ่งบางอย่างๆ ขะมักเขม้น เมื่อรู้สึกถูกจ้องมองเขาก็เงยหน้าขึ้นมาทันใดจนอีกฝ่ายถึงกลับสะดุ้งตกใจอย่างไม่ทันตั้งตัว
“อะ เอ่อ ท่านทำอะไรอยู่งั้นหรือ”
“ทำลอบดักปลา”
“ท่านทำเป็นหรือ”
“ข้าเป็นลูกชาวนานะเครื่องมือพวกนี้ล้วนทำเป็นตั้งแต่เด็กแล้ว”
“น่าทึ่งเสียจริง”
มู่อิงเถาทำใจกล้าเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เขาก่อนจะจ้องมองลอบดักปลาที่ซ่งอวี่ถงทำขึ้นมาจากไม้ไผ่ ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินของสิ่งนี้เพราะชาติที่แล้วของนางๆ เองก็เคยได้ยินมาบ้างแต่นั่นก็เป็นวิถีชีวิตของคนชนบทไม่ใช่ในเมืองหลวงปักกิ่งที่นางอาศัยอยู่ แน่นอนว่านางย่อมไม่เคยเห็นของจริงมาก่อนนั่นเอง
“ท่านพ่อของข้าเคยสอนให้ใช้นกจับปลา”
“นกจับปลา?”
“ใช่ แต่ว่าพักนี้จับนกว่ายากกว่าจับปลาเสียแล้ว”
“ฮ่าๆๆ จริงหรือนี่”
“เสร็จแล้วล่ะเจ้ารอข้าอยู่ที่บ้านกับหงเอ๋อ ข้าจะขึ้นเขาเสียหน่อยไปไม่นานหรอกเดี๋ยวก็กลับแล้ว”
“ข้าไปด้วย”
“ไม่ได้! แล้วใครจะดูแลหงเอ๋อกันเล่า”
เวลานี้หงเอ๋อก็เจ็บป่วยอยู่หากนางเป็นอะไรขึ้นมาอีกคนมีหวังเขาคงต้องหยุดพักการเรียนต่อไปอีกหลายวันเป็นแน่
“ท่าอาสามข้าอยู่ได้ขอรับท่านปิดประตูให้แน่นหนาก็พอแล้ว น่าแปลกที่วันนี้ข้ากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่าเมื่อวานนี้แล้ว”
“จริงหรือ”
“ใช่ขอรับ”
“หรือจะเป็นเพราะยาที่อาสะใภ้ประคบให้ข้าก็เป็นได้ไหนจะยาที่ท่านอาซื้อมาให้ข้าอีก ดังนั้นข้าอยู่ได้พวกท่านรีบไปเถอะข้าไม่อยากให้ท่านอาขึ้นเขาเพียงลำพังมีอาสะใภ้อยู่ด้วยข้าก็อุ่นใจแล้ว”
ซ่งหงอี้ยิ้มให้เขาเล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็คลายใจลงไปอย่างมาก
“ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
“ขอรับ”
“ไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”