“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”
“!”
“พวกท่านดูสินางอัปลักษณ์มันทำร้ายข้า ดูสิเลือดข้าไหลอาบเต็มหน้าไปหมดแล้ว”
‘อยากรับบทเป็นเหยื่อสินะ ได้ข้าจะสอนพวกเจ้าเองว่าเหยื่อที่ดีต้องทำอย่างไร’
“หากพวกท่านมีตาก็คงเห็นว่านางเข้ามาทำลายข้าวของในบ้านของข้าอีกทั้งยังมาทุบตีหลานชายของข้าอีก แล้วยังกล้ามาทำตัวน่าสงสารใส่ความหาว่าข้าทำร้ายนางสตรีผู้นี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก”
“นั่นน่ะสิ”
เสียงของชาวบ้านต่างก็ไปในทิศทางเดียวกันกับมู่อิงเถาไม่มีใครเห็นด้วยกับฮูหยินน้อยผู้นั้นเลยสักคน
“นี่เจ้ากล้าใส่ความข้ากระนั้นหรือ”
“หรือไม่จริงล่ะคนบ้าที่ไหนจะทำลายข้าวของๆ ตนเองกันแล้วข้าก็เพิ่งกลับจากคลองท้ายหมู่บ้านจะไปมีเวลามาทำเรื่องระยำพวกนี้ได้อย่างไร”
มู่อิงเถาชี้ไปที่ถังใส่ผ้าห่มที่เพิ่งถูกซักมาหมาดๆ ทุกคนต่างก็เห็นว่านางพูดความจริงต่างจากฮูหยินน้อยผู้นั้นที่มีแต่ลมปากเท่านั้น นางที่เห็นท่าไม่ดีกำลังจะเดินหนีออกไปประจวบกับที่ฮูหยินใหญ่ซ่งเดินเข้ามาได้เวลาพอดี
“ท่านแม่เจ้าคะท่านมาพอดี ช่วยข้าด้วยนางอัปลักษณ์นี้ตีข้าๆ ก็เพียงแค่มาทวงเอาของที่นางขโมยออกมาจากบ้านของเราด้วยก็เท่านั้น ของชิ้นนั้นเป็นของๆ เรา ไม่สิมันเป็นของท่านเลยนะเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่ซ่งได้ยินดังนั้นก็หันขวับไปจ้องมองมู่อิงเถาด้วยแววตาเกลียดชังทันที
“เจ้าแอบเอาของในบ้านของข้ามาด้วยงั้นหรือ”
“ของอะไร”
“ยังจะทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก” ฮูหยินน้อยยังไม่ยอมหยุดพยายามพูดจาใส่ร้ายนางต่อ
“ของสกปรกในบ้านของพวกท่านข้าไม่มีทางหยิบมันออกมาให้แปดเปื้อนมือของข้าหรอก”
“หึ เช่นนั้นก็ลองดูซิว่าไม้เท้าของข้ายังจะทำให้เจ้าปากดีได้อยู่อีกหรือไม่”
ฮูหยินใหญ่ซ่งกำลังจะใช้ไม้เท้าหวดไปที่ตัวของมู่อิงเถาแต่ในขณะนั้นก็มีใครบางคนจับไปที่ไม้เท้าได้ทันเวลาพอดี
เป็นซ่งอวี่ถงที่จับไม้เท้านั้นไว้แน่นก่อนที่เขาจะดึงมันออกมาจากมือของฮูหยินใหญ่ซ่ง นางตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยวาจาหยาบคายออกมาทันที
“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครถึงกล้ามาขวางทางข้า ถอยออกไปข้าจะสั่งสอนนักอัปลักษณ์ผู้นี้”
“ท่านต่างหากที่ต้องถอยออกไป”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“เมื่อวานไม่ใช่ว่าท่านหรือที่ออกปากไล่พวกข้าออกจากบ้านใหญ่เป็นตายก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีกผู้ใหญ่บ้านก็ลงบันทึกไว้เรียบร้อยและเอารายชื่อพวกข้าออกจากบ้านตระกูลซ่งแล้ว ในเวลานี้แม้จะมีแซ่ซ่งแต่ก็ไม่ใช่ซ่งที่มาจากตระกูลของท่าน”
“นี่เจ้า!”
“ออกไปจากบ้านของข้าได้แล้วหากว่าพวกท่านยังกล้ามาทำลายของๆ พวกข้าและทำร้ายคนของข้าอีกก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
แววตาดุดันของซ่งอวี่ถงแลดูโหดเหี้ยมมากในสายตาของฮูหยินใหญ่ซ่ง นางเองก็ยังนึกหวาดกลัวบุรุษตรงหน้าไม่น้อยแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมลดราวาศอกเพราะกลัวตนเองจะเสียหน้าจึงเอ่ยออกไปเพียงว่า
“ข้าก็ไม่ได้อยากมาเหยียบที่นี่นักหรอกสกปรกถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่ว่ามาเอาของๆ ข้าคืนมีหรือที่ข้าจะเสียเวลามา”
“สิ่งนี้หรือที่ท่านอยากได้”
มู่อิงเถาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหญิงสูงวัยผู้นั้นก่อนจะชูมือขึ้นแล้วแสยะยิ้มออกมา
“เจ้ามาเอาไปสิ”
ฮูหยินใหญ่ซ่งสั่งฮูหยินน้อยให้รีบเข้าไปเอาของในมือของมู่อิงเถา นางเยาะยิ้มอย่างสะใจก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าของมู่อิงเถา
ขณะที่กำลังจะยื่นมือไปหยิบเอาของสิ่งนั้นแต่มู่อิงเถากลับปล่อยมือออกจนถ้วยกระเบื้องเคลือบที่ดูจะมีราคาสูงลิบลิ่วตกลงบนพื้นแตกกระจายไปทันที
“กรี๊ด! นังบ้ากล้าดีอย่างไรถึงทำของๆ พวกข้าแตกเช่นนี้เจ้าต้องชดใช้!”
“ใครบอกว่านี่เป็นของๆ เจ้ากัน กระเบื้องเคลือบนี้เป็นของที่ตระกูลมู่มอบมันให้กับข้าก่อนจะออกเรือน เป็นพวกเจ้าต่างหากเล่าที่ขโมยมันไปจากข้า ของมีราคาเช่นนี้ข้าเองก็นึกเสียดายแต่หากต้องตกไปอยู่ในมือของคนเช่นพวกเจ้า สู้ให้มันแตกไปแบบนี้ข้าสะใจกว่า”
“นังอัปลักษณ์!”
“หุบปาก! ออกไปจากบ้านข้าเดี๋ยวนี้”
“นังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าเจ้ากล้าดีอย่างไรมาไล่พวกข้า”
“หากว่านางไล่ท่านไม่ได้เช่นนั้นข้านี่ล่ะที่จะเป็นคนไล่ท่านเอง” ซ่งอวี่ถงที่ยืนดูเหตุการณ์นั้นก็เริ่มเหลืออดขึ้นมาแล้วเขาสาวเท้าก้าวเข้ามายืนตรงหน้าของฮูหยินใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ของเขาก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ฮูหยินซ่งข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าท่านจะเป็นคนใจหยาบถือสาแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ อะไรที่ไม่ใช่ของตนเองท่านก็ยังอยากได้อยากเอามาเป็นของตนเองให้ได้ช่างน่าแปลกใจเสียจริงที่ท่านพ่อชื่นชมท่านนักหนา”
“นี่เจ้ากล้าพูดจากับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“ท่านแม่กลับกันเถอะเจ้าค่ะคนมามุงดูกันใหญ่แล้ว” อยู่ๆ ฮูหยินน้อยก็เข้ามากระซิบนางเบาๆ ก่อนจะออกแรงดึงแขนของนางให้เดินออกไปจากที่แห่งนี้
“เมื่อครู่ไม่เห็นอาย”
ฮูหยินใหญ่ซ่งเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว นางเสียดายกระเบื้องเคลือบชิ้นนั้นจริงๆ เนื่องจากเป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนและน่าจะมีราคาที่สูงพอตัว น่าแปลกที่ครอบครัวตระกูลมู่ของนางที่ถือว่าไม่ได้ร่ำรวยมากแต่กลับได้ครอบครองของล้ำค่าเช่นนั้น
‘ไปได้มาจากไหนกันนะ’
แต่ในเมื่อมันแตกไปแล้วเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมายืนต่อล้อต่อเถียงกับคนถ่อยๆ พวกนี้ นางเหลือบไปมองมู่อิงเถาเล็กน้อยก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกจากบ้านซ่อมซ่อหลังนั้นด้วยความรวดเร็ว
“เฮ้อ...ไปได้เสียที” มู่อิงเถาพูดขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาซ่งหงอี้ที่กำลังนั่งจมปุกกับพื้นดินหน้าบ้าน
“หงเอ๋อเจ้าเจ็บมากหรือไม่”
“ท่านอาสะใภ้แผลเล็กแค่นี้ข้าไม่เป็นไร โอ๊ย!”
“อะไรกันข้าก็แค่จับเบาๆ เองนะ”
ซ่งอวี่ถงที่ยืนมองส่งฮูหยินใหญ่ซ่งอยู่นั้นก็หันกลับไปมองหลานชายของตนเองก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ เขา มือใหญ่จับแขนเล็กของหลานชายขึ้นมาตรวจสอบดูแล้วเหมือนโดนของแข็งทุบตีจนช้ำไปหมดไม่แน่อาจจะกระดูกหักไปแล้ว
มู่อิงเถาชำเลืองมองไปที่ซ่งอวี่ถงเล็กน้อยนางรู้อยู่เต็มอกว่าตอนนี้ซ่งหงอี้นั้นกระดูกแขนหักเป็นที่เรียบร้อย สงสารก็สงสารแต่ใจก็อยากจะรู้ว่าบุรุษตรงหน้าของนางนี้จะจัดการอย่างไรต่อไป
“เจ้าช่วยอยู่เป็นเพื่อนเขาทีข้าจะไปตามท่านหมอมาดูอาการเสียหน่อย”
“ท่านมีเงินงั้นหรือ”
“มีเพียงเล็กน้อยในตอนที่ข้าไปขายของป่าในเมืองได้หาเวลาว่างไปรับจ้างทำงานอยู่บ้าง เก็บเงินไว้ใช้ในบ้านน่ะ”
‘เป็นคนดีอะไรเช่นนี้นี่เป็นตัวร้ายแน่หรือนี่’
“จะว่าไปแล้วเหตุใดท่านถึงกลับมาเร็วนักล่ะหรือว่าลืมของ”
มู่อิงเถาเอ่ยถามซ่งอวี่ถงเมื่อเห็นว่าเขากลับมาเร็วกว่าที่ควรจะเป็นแม้หุบเขาจะอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านก็จริงแต่ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วยามในการเดินทางไปกลับแต่นี่เขากลับใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม[1] เท่านั้น
'ไปทำอะไรกันแน่นะ'
“ข้าเพียงแค่นำลอบดักสัตว์ไปวางไว้ก็เท่านั้นแล้วก็รีบกลับมาสังหรณ์ใจพิกลว่าที่บ้านอาจจะมีเรื่องแล้วก็มีจริงๆ ด้วย”
“ท่านอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะหงเอ๋อก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วอีกอย่างข้าคิดว่าบ้านใหญ่คงจะไม่กล้ามาละลานพวกเราไปอีกนานเลย” นางพูดขึ้นพลางลอบมองสีหน้าเป็นกังวลของซ่งอวี่ถง
“หากว่าท่านจะไปหาท่านหมอจริงเช่นนั้นก็รีบไปเถอะ นี่ก็ใกล้ยามซื่อ[2] แล้วกว่าจะเดินทางกลับเกรงว่าจะมืดค่ำไปเสียก่อน”
“อืม”
- - - - - - –
[1] หนึ่งชั่วยาม = 2 ชั่วโมง
[2] ยามซื่อ = 09.00-11.00 น.