EP.18 [ตอบแทน]

1493 Words
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน หนึ่งนาที… ห้านาที… หรือสิบนาที เราสองคนสบตากันนิ่งงันอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีคำพูดใด ๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง ดวงตาคมเข้มแสนมีเสน่ห์จับจ้องมาที่ฉัน แววตาคู่นั้นสะท้อนภาพใบหน้าของฉัน ราวกับว่าเวลานี้แววตาของเขามีเพียงแค่ฉันคนเดียว… ครืน… เปรี้ยง! แสงสว่างวาบส่องสว่างไปทั่วบริเวณพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องย้ำเตือนว่าฝนกำลังจะตกหนัก ฉันผละสายตาไปจากพันไมล์เพื่อเบือนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า สายฟ้าสีขาวฟาดฟันเป็นทางยาวบนท้องฟ้ามืดสนิทอย่างน่ากลัว พยากรณ์อากาศวันนี้แจ้งเตือนว่าพายุจะเข้าและฝนจะตกหนักตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า ตึก… เสียงฝีเท้าเคลื่อนไหวตรงหน้าทำให้ฉันละสายตาจากท้องฟ้ากลับมามองต้นเสียงอีกครั้ง เป็นพันไมล์นั่นเอง… เขาหันหลังแล้วเดินไปจากฉัน… ร่างสูงเดินฝ่าความมืดออกไปท่ามกลางแสงสว่างแล่นวาบของสายฟ้า ฉันยืนมองภาพนั้นด้วยหัวใจสับสนอย่างหนัก เขากำลังบาดเจ็บ… และฝนกำลังจะตก… มันไม่ดีแน่ถ้าปล่อยให้เขากลับไปในสภาพแบบนั้น ถ้าหากเขาเปียกฝน บาดแผลที่เอวอาจจะติดเชื้อได้ และคนอย่างพันไมล์ไม่มีทางไปโรงพยาบาลเด็ดขาด เขาดื้อด้านอย่างกับอะไร ทำไมฉันจะไม่รู้… ตึก ๆ หมับ… “…” ฉันก้าวเร็ว ๆ ตามหลังร่างสูงไปไม่กี่ก้าวก่อนจะเอื้อมคว้าท่อนแขนแกร่ง พันไมล์หยุดเดินแล้วหันกลับมามองฉันด้วยแววตาประหลาดใจ คงคาดไม่ถึงว่าฉันจะรั้งเขาไว้สินะ “เฮียบาดเจ็บ…” ฉันกล่าวพลางหลุบตามองรอยเลือดบนชายเสื้อบริเวณเอวของเขา เลือดสีแดงเข้มเริ่มซึมออกมาจนเห็นได้ชัด ฉันเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “คอนโดฉันอยู่แถวนี้ เฮียไปทำแผลที่ห้องฉันก่อนเถอะนะ” ฉันไม่รู้ว่าพันไมล์กำลังทำสีหน้าแบบไหน หรือเขากำลังมองฉันด้วยสายตาอย่างไร เพราะฉันไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาเลย มันเป็นเรื่องยากมากถ้าหากจะต้องสบตากับเขาในตอนนี้ มันยาก… เกินจะอธิบายได้จริง ๆ และเมื่อพันไมล์เอาแต่ยืนเงียบ ฉันจึงไม่อยากฝืนใจเขา มือที่จับแขนแกร่งคลายออกช้า ๆ ฉันควรจะเลิกสนใจเขา อีกไม่นานฝนก็จะตก ฉันไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ และไม่ควรรั้งให้เขาเสียเวลาไปมากกว่านี้ด้วย ฉันยังคงก้มหน้ามองพื้นราวกับว่ามันน่าดูเสียเหลือเกิน ก่อนตัดสินใจเดินผ่านร่างสูงออกมาโดยไม่พูดอะไรอีก ฉันไม่ควรรั้งเขาไว้ตั้งแต่แรก ไม่ควรทำแบบนั้นเลย… เธอเป็นใคร เขาเป็นใคร ก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอไกอา เธอลืมไปแล้วเหรอ… เธอต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการลืมเขา… ต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการเลิกสนใจเขา… อยู่ดีไม่ว่าดี… หาเรื่องให้ตัวเองเจ็บปวดแท้ ๆ ยัยโง่… ปรี้นนน! “ว้าย!” ฉันหวีดเสียงร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าตัวเองมัวแต่เดินคิดฟุ้งซ่านโดยไม่ทันได้ดูว่าเผลอก้าวเท้าเลยเส้นถนนออกมา กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงบีบแตรดังสนั่นพร้อมกับแสงไฟจากหน้ารถจักรยานยนต์คันหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง พรึ่บ ในชั่ววินาทีก่อนที่รถคันนั้นจะพุ่งมาหา ร่างของฉันถูกวงแขนแกร่งของใครคนหนึ่งกอดรัดจากด้านหลัง เขาดึงฉันกลับมายืนบนฟุตบาทได้ทันท่วงที ขณะที่รถคนนั้นขับขี่ผ่านไปโดยไม่คิดจะจอดมองฉันเลยสักนิด “แฮ่ก…” เสียงหอบหายใจดังผะแผ่วข้างใบหูเรียกสติที่หลุดลอยของฉันกลับมาทีละนิด วงแขนแกร่งยังคงกอดรัดรอบเอวฉันแน่น แผ่นหลังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของเขาผู้นั้น ก่อนเสียงกระซิบคุ้นเคยดังขึ้นอย่างดุดัน “อยากตายหรือไง เดินเหม่อลอยไม่เคยเปลี่ยนเลยจริง ๆ” หัวใจฉันกระตุกวาบด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ไม่ต้องหันมองฉันก็รู้ว่าเจ้าของวงแขนนี้เป็นใคร เขามักจะบ่นฉันแบบนี้เสมอเวลาที่ฉันเดินไม่มองทางหรือชอบเหม่อลอย ผู้ชายที่ทั้งปากร้าย เจ้าอารมณ์ และเอาแต่ใจ หากทว่ากลับใจดีและแสนอบอุ่น… ผู้ชายที่ครั้งหนึ่งฉันเคยรักอย่างหมดหัวใจ… “เฮียไมล์…” “…” วงแขนแกร่งผละออกจากร่างกายฉันอย่างช้า ๆ ร่างสูงถอยตัวออกห่างไป ฉันหันกลับมาคว้าแขนเขาไว้อีกครั้ง คราวนี้ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้เขาเดินหนีไปอีกแล้ว “เฮียช่วยฉันไว้ ให้ฉันตอบแทนเฮียบ้างสิ” พันไมล์จ้องหน้าฉันนิ่ง ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ และก็ไม่อยากรู้ด้วย ฉันผละสายตาหนีแล้วเดินไปทางคอนโดตัวเอง พอเห็นว่าร่างสูงไม่เดินตาม ฉันจึงเดินย้อนกลับมาดึงแขนเสื้อเขาเบา ๆ แล้วลากให้เขาเดินตาม จนสุดท้ายเขาก็ยอมก้าวเท้าตามฉันมาในที่สุด . . . ตลอดระยะทางเต็มไปด้วยความเงียบงัน เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน ฉันยังคงจับแขนเสื้อพันไมล์เช่นเดิม หากคนอื่นมองมาอาจจะเข้าใจว่าเรากำลังเดินจูงมือกัน ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นฉันเองที่จับชายแขนเสื้อเขาไว้ ในใจฉันคิดจะปล่อยมือออกจากเขานะ แต่ไม่รู้ทำไมมือมันถึงยังจับแน่นอยู่อย่างนั้น เมื่อลิฟต์เคลื่อนมาถึงชั้นเจ็ด ฉันจึงปล่อยมือออกจากแขนเสื้อพันไมล์ ฉันเหลือบมองใบหน้าหล่อแสนหวานเล็กน้อย แววตาคมสวยกำลังจับจ้องมาที่ฉันอย่างไม่วางตา ฉันเม้มปากนิด ๆ พลางเบือนหน้าหนีแล้วเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องตัวเอง กริ๊ก… ประตูห้องถูกเปิดออกช้า ๆ อากาศเย็นเฉียบจากภายในห้องแผ่กระทบใบหน้าเบา ๆ ฉันแทรกตัวเข้ามาโดยไม่ลืมหันกลับไปหาร่างสูงที่ยังคงยืนอยู่หน้าประตูห้อง เขามองเข้ามาในห้องเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง “เข้ามาเถอะ วันนี้ฉันอยู่คนเดียว” ฉันเปิดประตูออกกว้างเป็นการเชื้อเชิญร่างสูงเข้ามาในห้อง พันไมล์มองตาฉันชั่วครู่ก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาตามคำเชิญ ฉันปิดประตูลงพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อเรียกสติให้กับตัวเองแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา “เฮียเข้าไปล้างแผลในห้องน้ำก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวฉันหยิบกล่องพยาบาลให้” พันไมล์หันกลับมามองฉันแล้วหันไปมองประตูห้องน้ำตามทิศทางที่ฉันชี้บอก เขาถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกช้า ๆ สีหน้านิ่งเรียบไร้ความเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น ถึงเขาจะไม่แสดงความเจ็บปวดออกมาแต่ฉันดูออกนะว่าบาดแผลนั่นกำลังเลือดออกจากการขยับตัวมากเกินไป “ค่อย ๆ ถอดสิเฮีย เลือดออกใหญ่แล้ว” ฉันอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปช่วยเขาถอดเสื้อคลุมออก สายตาหลุบต่ำมองบาดแผลข้างเอวเขาอย่างกังวล เสื้อสีขาวด้านในตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงจนน่ากลัว “เลือดออกขนาดนี้น่าจะไปหาหมอนะ” “ไม่ไป” นั่นเป็นประโยคแรกนับตั้งแต่ฉันลากเขาให้เดินตามมา พันไมล์หลุบตามองกันด้วยสายตาเรียบนิ่ง ฉันชะงักเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงระยะของใบหน้าที่ใกล้กันจนเกินพอดี “ดื้อไม่เปลี่ยนเหมือนกันสินะ” ฉันเบือนหน้าหนีพลางบ่นอุบอิบด้วยความลืมตัว ได้ยินเสียงหึในลำคอจากคนสูงกว่าเบา ๆ จึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเผลอพูดอะไรไม่เข้าท่าออกมา ฉันเม้มปากอย่างขัดใจตัวเองก่อนเดินเลี่ยงเข้าไปในครัวเพื่อหยิบกล่องพยาบาลจากตู้เคาน์เตอร์ออกมา ซ่า… เสียงจากห้องน้ำบ่งบอกว่าพันไมล์เข้าไปล้างแผลแล้ว ฉันวางกล่องพยาบาลลงบนโต๊ะแล้วถอดเสื้อคลุมตัวเองออกบ้าง หลังจากแขวนเสื้อคลุมเสร็จหันกลับมาก็พบกับร่างสูงในสภาพท่อนล่างสวมเพียงกางเกงยีนตัวเดียว ส่วนท่อนบนเปลือยเปล่ายืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ฉันนิ่งไปหลายวินาทีขณะมองภาพนั้น นานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันไม่ได้เห็นเขาใกล้ ๆ แบบนี้…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD