ชามเปล่าใบเล็กถูกวางลงตรงหน้าฉัน พันไมล์จัดแจงทุกอย่างราวกับที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง เขาเริ่มพันเส้นบะหมี่ร้อน ๆ ใส่ชามตัวเอง และเริ่มทานราวกับว่ามันเอร็ดอร่อยซะเหลือเกิน ฉันมองทุกกิริยาของผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกอธิบายยาก
จู่ ๆ ภาพความทรงจำเก่า ๆ มันย้อนเข้ามาในสมอง ภาพวันวานของฉันกับพันไมล์ที่เคยมีร่วมกันมันฉายชัดเข้ามาราวกับกรอเทปกลับ รวมถึงภาพรอยยิ้มแสนอบอุ่นและแววตาอ่อนโยนที่ฉันไม่เคยลืมเลือนมาตลอดเวลาห้าปี
ก่อนที่คนคนนี้จะหายไปจากชีวิตของฉัน…
แกร็ง…
เสียงตะเกียบวางกระทบกับชามกระเบื้องฉุดสายตาคมให้ละจากบะหมี่ตรงหน้า ฉันเม้มปากแน่นพยายามข่มความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจไม่ให้แสดงความอ่อนไหวออกมาต่อหน้าเขา
“ฉะ ฉัน… ฉันขอตัวไปโทรศัพท์ก่อนนะ” ฉันหาเหตุผลมาอ้างเพื่อหลบฉากออกมาจากตรงนั้น เมื่อเดินออกมายืนนอกระเบียงห้องที่ตอนนี้ฝนกำลังโปรยปรายอย่างหนัก ฉันรีบยกมือขึ้นทุบอกข้างซ้ายตัวเองแรง ๆ เพื่อไล่ความอึดอัดภายในหัวใจออกไปทันที ละอองฝนสาดกระเซ็นมากระทบใบหน้าเบา ๆ ไม่ได้ช่วยทำให้ความร้อนรุ่มภายในจิตใจของฉันจางหายลงเลย
แกบ้าไปแล้วเหรอไกอา… จะไปคิดถึงอดีตนั่นอีกทำไม… แกกับเขาไม่ควรจะกลับมาพบกันอีกเลยจริง ๆ
มันไม่ควรเป็นแบบนี้… ฉันไม่ควรปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นกลับมามีอิทธิพลต่อหัวใจอีกแล้ว
.
.
.
[บทบรรยาย พันไมล์]
“…”
ตะเกียบถูกวางลงบนชามหลังจากร่างบางเดินออกไปนอกระเบียง ผมเบี่ยงใบหน้ามองตามหลังเธอไปจนลับสายตา ไกอาออกไปยืนตรงระเบียงแล้ว แต่ในความรู้สึกของผมมันเหมือนกับว่าเธอยังคงนั่งอยู่ตรงนี้… ตรงหน้าผม…
ผมรู้ว่ามันบ้ามาก… ผมไม่ควรมาอยู่ที่นี่… ไม่ควรกลับเข้ามาในชีวิตของผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว ผมควรจะปล่อยให้เธอได้มีชีวิตที่ดีและมีความสุขกับคนที่เธอรักและรักเธออย่างที่ผ่านมา
แต่พอคิดแบบนั้น… หัวใจผมแม่งเจ็บร้าวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เลยว่ะ
ยิ่งได้มาเห็นเธอ ได้สบตาเธอ ได้ใกล้ชิดเธอ ภาพในวันวานมันก็แล่นวาบเข้ามาในสมองจนผมตั้งรับแทบไม่ทัน ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะยังมีความรู้สึกรุนแรงกับเธอได้ถึงเพียงนี้
ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะมีอิทธิพลกับผมมากมายขนาดนี้
Rrr…
สายเรียกเข้าฉุดความคิดอันสับสนของผมให้กลับมาที่ปัจจุบัน ผมหลับตานิ่งชั่วครู่เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ เมื่อลืมตาขึ้นมองไปทางประตูระเบียงก็พบเพียงความเงียบงัน
ไกอาคงไม่อยากกลับเข้ามาเห็นหน้าผมอีก การที่เธอเดินเลี่ยงออกไปแบบนั้นอาจเป็นเพราะว่าเธอเองก็สับสนไม่ต่างจากผมสินะ ความเจ็บปวดในอดีตมันยังคงทำร้ายเราสองคนอยู่เสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มันก็คงยากที่จะลบเลือนจริง ๆ
“…” ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงขณะที่สายตายังคงจับจ้องบานประตูระเบียงเช่นเดิม ก่อนหยิบกระดาษโน๊ตขึ้นมาจดข้อความบางอย่างลงไปแล้วแปะมันไว้ข้างแจกันดอกไม้บนโต๊ะอาหาร
‘เรื่องหัวข้อวิจัย เฮียยินดีจะช่วยทุกอย่าง พร้อมเมื่อไหร่เข้าไปที่ร้านได้เลยนะ’
การกลับมาพบกันของเราสองคนในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะผมต้องการจะรื้อฟื้นเรื่องในอดีตให้ต่างคนต่างต้องเจ็บปวดอีก แต่ผมเพียงแค่ต้องการคำยืนยันในเรื่องที่พันเก้าขอร้องเอาไว้ เรื่องหัวข้อวิจัยของไกอานั่นแหละ ผมยินดีที่จะช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่ หากว่าเธอยังคงต้องการความช่วยเหลือจากผมนะ…
.
.
.
หลังเดินออกมาจากห้องของไกอาอย่างเงียบ ๆ โดยไม่บอกให้เจ้าของห้องรับรู้ ผมตรงมาที่รถของตัวเองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พบเธอมากนัก ผมปล่อยให้สายฝนเย็น ๆ ชะร่างกายโดยไม่คิดจะปิดบัง เพื่อหวังว่าความเย็นของเม็ดฝนอาจจะช่วยลดความว้าวุ่นในหัวใจของผมลงบ้าง ซึ่งมัน… ไร้ประโยชน์สิ้นดี
Rrr…
โทรศัพท์เครื่องบางสั่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมสอดตัวขึ้นมานั่งบนรถก่อนล้วงมันขึ้นมากดรับพร้อมหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ กระจกรถถูกแง้มลงเล็กน้อยเพื่อระบายควันสีขาวขุ่นออกจากตัวรถ
“อือ”
[ไมล์ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? ทำไมดึกป่านนี้แล้วยังไม่กลับเลยล่ะ เหมยเป็นห่วงมากเลยนะ] น้ำเสียงห่วงใยจากปลายสายสร้างความรู้สึกผิดขึ้นมาในใจ ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าเหมยหลินกำลังรอทานมื้อเย็นอยู่ที่ห้อง
“ขอโทษนะเหมย พอดีที่นี่ฝนตกหนัก ฉันเลยหาที่นั่งหลบฝนน่ะ” ผมไม่ได้โกหกเธอนะ เพียงแค่พูดไม่หมดเท่านั้น
[งั้นเหรอ…] ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่ว ๆ [เหมยก็เป็นห่วง โทรหาไมล์ไม่รับสาย คิดว่าเกิดเรื่องไม่ดีกับไมล์จนร้อนใจทำอะไรไม่ถูกเลย]
ผมแค่นยิ้มให้กับตัวเองอย่างนึกสมเพช ตลอดเวลาห้าปีที่คบกับเหมยหลินมา เธอดีกับผมเสมอ เธอทั้งจริงใจและซื่อตรง เธอรักผมมากแค่ไหนผมรู้ดี เพราะอย่างนั้นผมเลยไม่อยากทำให้เธอเสียใจ ที่ผ่านมาผมจึงไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนอีกเลยนับตั้งแต่คบกับเธอ
ทว่าตอนนี้… ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการที่ผมไม่มีใคร มันเป็นเพราะผมมีเหมยหลินข้างกายหรือเพราะมีเธอคนนั้นอยู่ข้างในใจมาโดยตลอดกันแน่…