[พร้อมหน้าพร้อมตา]
.
.
.
“ลุงไมล์กลับมาแล้วเหรอฮะ เย้ ๆ” เสียงทักทายจากเด็ก ๆ เรียกรอยยิ้มจากผม นับพันตรงเข้ามาหาผมคนแรก ก่อนจะตามมาด้วยอักษาและอัลญ่าลูก ๆ จอมแสบของอัลฟ่า ผมมองเด็กผู้ชายที่อายุน่าจะเท่ากับนับพันซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้านิ่ง ๆ เย็นชา ๆ แบบนี้ คงจะเป็นเดวิลลูกไซเรนท์แน่ ๆ ผมไม่ค่อยได้เจอครอบครัวมันเท่าไหร่ เพราะนาน ๆ จะรวมตัวกันที ส่วนมากเจอแต่พ่อมันซะส่วนใหญ่เลยจำหน้าลูก ๆ มันไม่ค่อยได้
ส่วนครอบครัวอัลฟ่า ผมได้เจอลูกมันบ่อย ๆ เวลาแวะมาหาหลาน ๆ เพราะบ้านมันอยู่ติดกับบ้านพันเก้า ผมเลยพอจะจำหน้าหลาน ๆ ได้บ้าง
“ไงมึง นึกว่าตายห่าไปแล้ว”
เชื่อแล้วว่าคนอย่างไซเรนท์มันตายยาก นินทาไม่ทันจบก็โผล่หน้ามาเลย มันเดินจูงมือเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าตาน่ารักคนหนึ่งเข้ามา นี่คงจะเป็นเพลงพรายลูกสาวคนเล็กของมัน ผมละสายตาจากหลานขึ้นมองไอ้คนพ่อที่มองมาด้วยสายตาเรียบนิ่ง เวลาผ่านแต่สันดานยังเหมือนเดิมจริง ๆ
“คนหล่ออย่างกูยังอยู่ค้ำฟ้าไปอีกนานว่ะ” ผมไหวไหล่เบา ๆ แล้วหันไปจัดแจงแจกของฝากให้กับเด็ก ๆ ทั้งเจ็ดคน เหมยหลินเดินเข้ามาช่วยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอรักเด็กมากแค่ไหนผมรู้ดี เวลากลับมาเมืองไทยเธอมักจะชวนผมมาหาเด็ก ๆ เสมอ
“อ้าว มาถึงแล้วเหรออาตี๋” ผู้ชายวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขามเดินออกมาจากในบ้านพร้อมผู้หญิงวัยกลางคนหน้าตาสวยสง่า บนใบหน้าของท่านทั้งสองประดับรอยยิ้มใจดี ท่านนั่งลงตรงหัวโต๊ะ ตำแหน่งประธานบ้าน คนอื่น ๆ จึงเดินมานั่งตาม ในขณะเด็ก ๆ ยังคงสนุกสนานกับการแกะของขวัญจากผม
“เพิ่งมาถึงฮะเตี่ย สวัสดีเตี่ยกับม้าฮะ” ผมพนมมือไหว้พ่อกับแม่พร้อมกับเหมยหลิน เธอนอบน้อมกับพวกท่านมาก พ่อแม่ผมเอ็นดูเธอมากเช่นกัน
“เป็นยังไงกันบ้างล่ะ ไม่กลับบ้านเป็นปี ๆ เลยนะไอ้ตัวดี”
“นั่นสิ ไม่แวะมาเที่ยวบ้านม้าบ้างเลยนะหนูเหมย น่าน้อยใจจริงเชียว”
เหมยหลินมองผมเล็กน้อยก่อนจะหันไปยิ้มให้กับพ่อแม่ขี้ใจน้อยของผม ก่อนจะมาที่นี่พวกเราเตรียมตัวเตรียมใจโดนตัดพ้อไว้แล้วล่ะ เพราะรู้ตัวดีว่าไม่ได้กลับบ้านมานานมาก ด้วยภาระหน้าที่และปัญหาติดพันร่วมปีที่ฮ่องกงทำให้ผมปลีกตัวกลับเมืองไทยค่อนข้างยาก โดยเฉพาะปัญหาทางด้านสุขภาพของเหมยหลินด้วย
“เหมยขอโทษเตี่ยกับม้าด้วยนะคะ เป็นเพราะสุขภาพของเหมยไม่ดีเอง ทำให้ไมล์ต้องลำบาก” ผมบีบมือบางอย่างให้กำลังใจ ทุกคนบนโต๊ะทำหน้ากระอักกระอ่วนตาม ๆ กัน
“โธ่ ไม่ต้องคิดมากนะจ๊ะหนูเหมย ม้าก็น้อยใจไปอย่างนั้นแหละ เตี่ยกับม้าเข้าใจหนูนะลูก” แม่รีบพูดทำลายบรรยากาศมาคุ “หนูคบกับอาตี๋มาตั้งนานแล้ว หนูก็เหมือนลูกสาวม้าอีกคน ไม่ต้องคิดมากนะจ๊ะ”
“นั่นสิเจ้เหมย พวกเรารู้ว่าเจ้ไม่ค่อยแข็งแรง อีกอย่างเฮียกับเจ้ไม่ได้กลับบ้านเป็นปี ๆ ก็ใช่ว่าเราจะไม่ได้เจอกันสักหน่อย เตี่ยกับม้าน่ะไปเที่ยวฮ่องกงบ่อยกว่าอยู่เมืองไทยเสียอีก” คำพูดของพันเก้าเรียกรอยยิ้มจากผม บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง ยิ่งได้ยินเสียงปรบมือรับคำพูดของผู้เป็นแม่จากพริบพราวก็ยิ่งทำให้ทุกคนมีรอยยิ้ม ความไร้เดียงสาของเด็ก ๆ สร้างบรรยากาศดี ๆ ให้กลับมาในทันที
“เปาะ แปะ ไปเที่ยว ๆ”
“เอาล่ะ ๆ เตี่ยว่าเรามาเริ่มทานกันดีกว่า เอ้อว่าแต่มาครบกันแล้วใช่ไหม” ประธานใหญ่ของบ้านปรบมือสร้างบรรยากาศให้คึกคักขัดกับบุคลิกน่าเกรงขามโดยสิ้นเชิง
“ยังเลยเตี่ย ขาดยัยไกอาอีกคน” ผมชะงักไปเล็กน้อยตอนได้ยินชื่อคุ้นหูจากน้องสาว พันเก้าหันไปสะกิดแขนนำทัพที่กำลังแกะของขวัญให้จอมพลเบา ๆ “เฮีย โทรหาน้องสาวเฮียหน่อยสิ เก้าไม่ได้พกโทรศัพท์”
“อือ ๆ” นำทัพผงกศีรษะรับก่อนจะล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อสายหา ‘ไกอา’ น้องสาวต่างแม่ของมัน และยังเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทของพันเก้าน้องสาวของผมด้วย ทุกคนบนโต๊ะอาหารเริ่มทานกันแล้ว แต่ผมกลับทานอะไรไม่ลง ทั้งที่เหมยหลินพยายามตักอาหารใส่จานให้ แต่สายตาผมมันดันมองไปทางนำทัพอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่รู้ตัว
“ว่าไงบ้างเฮีย ยัยนั่นถึงไหนแล้ว”
“มาถึงแล้ว กำลังเดินเข้ามา”
แกร๊ง!
“เป็นอะไรหรือเปล่าไมล์” เสียงทักห่วงใยจากผู้หญิงข้างกายเรียกสติผมกลับมา ตอนนี้สายตาของนำทัพกับพันเก้ามองมาทางผมด้วยความฉงนเช่นกัน ผมยกน้ำขึ้นดื่มดับความรู้สึกแปลก ๆ ของตัวเองแล้วหันไปยิ้มตอบเหมยหลิน
“ช้อนมันลื่นน่ะ ไม่มีอะไร…”
“อ๊ะ ยัยไกอามาพอดีเลย”
ผมเผลอบีบแก้วในมือเล็กน้อยตอนพันเก้าส่งเสียงทักทายผู้มาใหม่ ก่อนสายตาจะเลื่อนไปมองเธอคนนั้น ร่างบางในชุดเสื้อโค้ชสีขาวสะอาดตายืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าสวยหวานประดับรอยยิ้มน่ารัก ดวงตาสวยทอประกายระยิบระยับจนหัวใจผมแทบจะหยุดเต้น
กี่ปีแล้วนะ… เราไม่ได้พบกันตรง ๆ แบบนี้มากี่ปีแล้วนะ… ไกอา
.......................
ฝากคอมเม้นท์พูดคุยกับไรท์ได้น้าาา ไรท์ไม่ดื้อค่าาาา